บทความที่แล้วพยายามจะให้ความหมายของ “กวีเกรียน” ว่ามีลักษณะอย่างไร แล้วเมื่อลองมาวิเคราะห์ พิจารณา สามารถสรุปรวบยอดได้ว่า กวีเกรียน นั้นเดินทางล้าหลัง อยู่ถึง 3 ก้าวด้วยกัน
ก้าวที่ 1 คือ ขาดการทบทวนอดีต ไม่สามารถนำอดีตมาเป็นบทเรียนได้ ไม่สามารถสกัดเก็บซับเอาข้อดี ข้อเสียในอดีตมาเป็นฐานคิดในการวิเคราะห์สังคมการเมือง
จะว่าไปบทเรียนในอดีตของสังคมไทยก็มีให้ศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง 2475, การต่อสู้ของเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการในอดีตหรือกระทั่งการต่อสู้อยู่ในป่าของพคท.ฯลฯ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเนื้อหาการต่อสู้อันเข้มข้นที่เป็นขุมทรัพย์ของการเรียนรู้และแรงดลใจ แต่กวีกลับเรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้แบบผิด ๆ
ก้าวที่ 2 คือ ตามสังคมไม่ทัน กวีอาจมัวเมาหมกมุ่นอยู่กับจิตวิญญาณหรืออะไรที่สูงส่งเสียจนไม่ทราบว่าโลกได้ก้าวไปถึงไหนแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่กวีมักจะมองไม่เห็นข้อดีของความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันและมักจะมีท่าทีต่อต้านความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในโลกทุนนิยม กวีต่อต้านทุนนิยมโดยไม่ตระหนักแม้แต่นิดเดียวว่าตนเองเป็นผู้หนึ่งที่ช่วย “แบก” ให้โลกแห่งทุนนิยมเคลื่อนไปข้างหน้า กวีประณามนายทุนในขณะที่นั่งดื่มไวน์ชั้นดีหรือใช้เทคโนโลยีที่นายทุนผู้นั้นเป็นเจ้าของ
ก้าวที่ 3 มองไปข้างหน้าไม่ได้ สองข้อที่กล่าวมาทำให้กวีไม่สามารถมองไปข้างหน้าอย่างถูกต้อง แม่นตรงได้ ไม่สามารถประเมินแนวโน้มหรือจับทิศทางความเป็นไปของโลกและสังคม ขาดวิสัยทัศน์ คาดการณ์ผิดพลาด
เป็นต้นว่า ไม่สามารถวิเคราะห์หรือมองไกลได้ว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตร ฯ นั้น ทำลายระบอบประชาธิปไตยและที่สุดแล้วจะทำลายความเข้มแข็งของภาคประชาชนลง เพราะแท้จริงแล้วการเคลื่อนไหวของพันธมิตร ฯ ดำเนินไปภายใต้เงาปีกของระบอบราชการที่มีศาลและกองทัพและข้าราชการระดับสูงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ในขณะที่ประชาชนที่เข้าร่วมนั้นเป็นเพียงบริวารเท่านั้น-ข้อสังเกตเช่นนี้ กวีเกรียนจะมองไม่เห็นเพราะเชื่อว่าข้าราชการระดับสูงหรือผู้ดีจะบันดาลให้ประชาชนมีความสุข ความเจริญได้ ในขณะที่นักการเมืองนั้นมีแต่จะโกงกิน
3 ก้าวที่เชื่องช้าของกวี ส่งผลให้กวีไทยเป็นอย่างที่เป็นอยู่ ขาดการยอมรับทั้งที่มีความสามารถ การเข้าร่วมกับพันธมิตร ฯ ยิ่งทำให้สภาพบรรยากาศของกวีไทยอาการหนักเข้าไปอีก ปัญญาชนได้แต่ส่ายหัว ในขณะที่ประชาชนเสื่อมศรัทธา
ในที่นี้จะขอหยิบยกบางบทกวีมาให้ลองอ่าน บทกวีที่ยกมาเป็นของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ หนึ่งในกวีที่ร่วมหัวจมท้ายกับพันธมิตรฯ มาตลอด เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ แล้วเข้าใจว่าเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เขียนบทกวีให้พันธมิตรฯ มากที่สุด แม้กระทั่งคืนวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา เขาก็ยังขึ้นเวทีพันธมิตรฯ พร้อมขลุ่ยคู่ชีพ ปลุกระดมมวลชนให้ร่วมกันล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
บทกวีชิ้นที่หยิบยกมานี้มีชื่อว่า “ทับซ้อน ทับทรวง” กล่าวถึงการสูญเสีย “เขาพระวิหาร” ซึ่งเนาวรัตน์มองว่าเป็นการ ”ประจานโง่ทั้งโลกา” แน่นอน เนาวรัตน์ มุ่งโจมตีรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ที่สนับสนุนกัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเขาพระวิหารตกเป็นของเขมรอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ศาลโลกตัดสินแล้ว การมุ่งโจมตีรัฐบาลสมัครในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องน่าสมเพชของกวี มากกว่าใครอื่น
เนาวรัตน์ ว่าต่อไปว่าการเสียเขาพระวิหารนั้น เสียศักดิ์ศรี เสียที่เกิดเป็นคนไทย จากนั้นก็โยงเข้าสู่เรื่องของทุนนิยมและรัฐบาลหุ่นเชิดแบบเดียวกับพันธมิตร ฯ
ผมเคยเขียนไปแล้วว่าบทกวีการเมืองนั้นให้งามทั้งเนื้อหาและภาษานั้นยาก บทกวีชิ้นนี้ของเนาวรัตน์ก็เช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่เรียกว่า “สุกเอาเผากิน” เพราะไม่มีอะไรเลยนอกจากการก่นด่าด้วยภาษาแบบเดียวกับที่พันธมิตรฯ ใช้ “ปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน” “อันธพาลครองเมือง”
บทกวีชิ้นนี้ของเนาวรัตน์ ไม่มีอะไรให้ตีความ ทื่อและเท่อ ขาดศิลปะ ลองอ่านดูเองก็แล้วกัน ผมคิดว่าบางทีบทกวีตามฝาผนังในห้องน้ำยังน่าอ่านกว่านี้อีก.
๏ ทับซ้อน ทับทรวง ๏
๑๏ เสียเขาพระวิหาร
ประจานโง่ทั้งโลกา
เสียสัจจะวาจา
จะรักษาอธิปไตย
๒๏ เสียศักดิ์และเสียศรี
ทั้งเสียทีที่เป็นไทย
เสียท่าพวกสาไถยเล่ห์กะเท่ พวกนายทุน
๓๏ ทับซ้อน กันซ้อนซับ
มันจับมือกันชุลมุน
เชิดรัฐบาลหุ่น
ที่หอกหักเข้าชักยนต์
๔๏ ผิดกฎ ว่ากฎผิด
ต้องติดกับว่าติดกล
แก้กฎ ด้วยโฉดฉล
เข้าปล้นชาติปล้นแผ่นดิน
๕๏ ย่อยยับแสนทรัพยา
ให้ผีบ้า ให้ห่ากิน
อาเพศ ทั้งปถพิน
พวกอันธพาลมันครองเมือง
๖๏ เสียเขา พระวิหาร
ประจานชั่วได้ทุกเรื่อง
ชั่วร้ายอันรุ่งเรือง
ระยำยำ ประเทศไทย
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
พ.๒๓/๗/๕๑