Skip to main content

-1-


ฉันมีวิธีเผชิญหน้ากับอาการนอนไม่หลับด้วยการนอนลืมตาอยู่ในความมืด พยายามไม่คิดอะไร แต่ดวงความคิดของฉันก็ไหลลอยไปสู่เรื่องนั้นเรื่องนี้ หวนรำลึกไปถึงสถานที่และผู้คนที่ฉันเคยพานพบประหนึ่งว่าฉันเพิ่งจากผู้คนและสถานที่เหล่านั้นมา


ภาพต่าง ๆ ไหลเลื่อนเข้ามาแล้ววนเวียนอยู่ภายในหัวกะโหลก การฆ่าตัวตายของเพื่อนที่ฉันคบหาด้วยวนเวียนเข้า ๆ ออก ๆ ในหัวสมองหลายต่อหลายครั้ง


ฉันแหงนหน้ามองดูนาฬิกา พรายน้ำเรื่อเรืองอยู่ในยามราตรี เป็นเวลาตีสอง เมื่อแน่ใจว่าไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ๆ ฉันจึงลุกเดินออกไประเบียงหลังห้อง มองลงไปเบื้องล่าง รู้สึกได้ว่ามีแรงจูงใจลึกลับบางอย่างที่เชื้อเชิญให้กระโดดลงไป


หากเป็นในป่าหรือท้องทุ่งชนบท คราที่นอนไม่หลับ ฉันจะใช้วิธีนอนนับดาว จ้องมองดูดวงดาวกะพริบ แสงกะพริบพรายแห่งดวงดาวนั้นแม้นว่ามาจากที่ไกลแต่ส่งความอบอุ่นและอ่อนโยนผ่านมาถึงได้ ฉันสามารถรู้สึกได้ด้วยผิวหนังของฉันเลยทีเดียว


เมื่อไหร่ก็ตามที่ท้องฟ้ายังเกลื่อนไปด้วยดวงดาวซึ่งนำฉันเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ โลกนี้ก็นับได้ว่ายังน่าอยู่”


-2-


แต่ที่โรงแรมคืนละร้อยกว่าบาทในต่างจังหวัดซึ่งฉันไม่คุ้นเคยนั้น การนอนไม่หลับทำให้ฉันต้องมาเผชิญหน้ากับความแปลกที่แปลกถิ่น แม้ว่าฉันได้ระหกระเหินไปตามที่ต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ ทว่าก็มีอยู่บ่อย ๆ ที่ความแปลกที่ แปลกทางทำให้นอนไม่หลับ


บรรยากาศและสภาพเก่าโทรมภายในห้องพักราคาถูกพาให้หดหู่ใจ แมลงสาบตัวโตนอนหงายท้อง ขายังสั่นกระตุกอยู่ในซอกมุมอับ ม่านสีชมพูขาดที่ขึงกั้นไว้ตรงหน้าต่างเป็นรอยกระดำกระด่างเพราะความเก่า สีทาฝาผนังกะเทาะออกเห็นเป็นรอยสกปรก สภาพทั้งหมดนี้ยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่ออยู่ภายใต้แสงนีออนสีขาวหม่น สิ่งแวดล้อมเช่นนี้เปรียบได้เหมือนกับอยู่ในงานศพ


ฉันมายังโรงแรมนี้ได้ตามคำบอกของคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างเมื่อฉันถามหาโรงแรมที่ราคาถูก เขาแนะทางให้ฉันอย่างกระตือรือร้น แต่ก็แนะนำต่อไปว่าฉันน่าจะพักโรงแรมที่ราคาแพงกว่านี้อีกสักหน่อยเพราะอะไร ๆ มันดีกว่ากันมาก เขาบอกว่าอย่าไปพักเลยโรงแรมถูก ๆ อย่างนั้นมันไม่ดี แต่เขาไม่บอกสาเหตุว่าทำไม เขาไม่บอกออกมาตรง ๆ ว่าโรงแรมที่ฉันไปพักนั้นมีนั้นเคยมีคนตายหลายคน ฉันมารู้เรื่องนี้ตอนที่ได้คุยกับแม่ค้าขายขนมคนหนึ่ง

ฉันแหงนมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ผนังห้องอีกครั้ง เป็นเวลาตีสอง เวลาตีสองไม่ดึกเลยหากว่าอยู่ในวงจรชีวิตของมหานครกรุงเทพ ฉันลุกขึ้นแต่งตัวตั้งใจจะออกเดินเที่ยวเตร่ คงจะมีสถานที่บางแห่งหรอกนะในยามนี้ ที่ฉันสามารถหาเพื่อนนั่งคุยหรือนั่งกินเหล้าได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็คงมีแสงไฟจากร้านรวงหรือตลาดโต้รุ่งที่ฉันพอจะใช้ขับไล่ความเปล่าเปลี่ยวออกไปได้บ้าง


-3-


คืนที่ผ่านมาฉันนอนค้างในวัดอันแสนสงบแห่งหนึ่ง ฉันบอกว่าต้องการกางเต็นท์นอนตรงไหนก็ได้แต่พระท่านบอกให้ฉันเข้ามาไปนอนในอุโบสถ แรกทีเดียวท่านอาจคลางแคลงใจฉันอยู่บ้างเพราะน้อยนักที่จู่ ๆ คนแปลกหน้าจะเข้ามาขอนอนในวัด แต่เมื่อได้คุยกันจนมั่นใจแล้วว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าคนผ่านทางเท่านั้น และพร้อมจะจากไปในวันรุ่งขึ้น พระท่านก็จัดแจงให้ฉันเข้าไปนอนในอุโบสถและเอากล้วยน้ำว้าหวีใหญ่มาให้กิน


เด็กวัดอายุประมาณแปดขวบหลายคนมาชวนฉันคุยขณะที่ฉันกำลังปูถุงนอนในอุโบสถ ฉันสบายใจที่ได้คุยกับเด็ก ๆ และเด็ก ๆ ก็ดูสนอกสนใจที่จะคุยกับคนแปลกหน้า


ความเหน็ดเหนื่อยทำให้ฉันหลับลงอย่างเป็นสุขโดยไม่ฝันถึงอะไรทั้งสิ้น การได้พักผ่อนในครั้งนี้ทำให้ฉันรู้ซึ้งถึงความการุณย์ของความหลับ


คลับคล้ายคลับคลาว่าฝันไปเมื่อได้ยินเสียงสวดมนต์กังวานก้องภายในพระอุโบสถ แต่แล้วสิ่งต่าง ๆ ก็ค่อยแจ่มชัดขึ้น ฉันลืมตาตื่นเพราะเสียงสวดประสานอันสดใสในวัตรปฏิบัติยามอรุณรุ่งของเหล่าสมณะ แสงเทียนวอมแวมอยู่ภายในอุโบสถ


เปลวเทียนส่ายไหวเมื่อสัมผัสกับกระแสเสียงสวดอันกลมกลืน ส่องต้องพระพักตร์อันสงบงามเปี่ยมเมตตาของพระพุทธรูปจนดูคล้ายกับว่าพระพุทธรูปนั้นมีชีวิต สำหรับคนบาปผู้ปรารถนาการไถ่ถอนแล้วการได้นิ่งมองและอยู่ใกล้พระปฏิมาช่วยให้สงบ และคลายความกังวลใจได้ไม่น้อย


กลิ่นธูปฉุน แสบจมูก ลอยอบอวลอยู่ในอากาศ มีลักษณะรุนแรงบางอย่างแฝงอยู่ในกลิ่นควันธูปนี้ กลิ่นแสบฉุนที่ผสานเข้ากับจีวรเหลืองของภิกษุซึ่งกำลังสวดมนต์ทำวัตรเช้าอย่างพร้อมเพรียงด้วยภาษาที่ถึงแม้ฉันจะคุ้นเคยแต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้ รวมทั้งแสงสว่างจากเปลวเทียนซึ่งยักย้ายส่ายไหวอยู่ไปมา ทำให้ฉันถึงกับงุนงงราวโดนสะกด


ระหว่างที่ถูกจู่โจมด้วยบรรยากาศอันขรึมขลังโดยไม่ทันระวังตัว ภาพอดีตในความทรงจำก็ผุดพรายไหลซ้อนเข้ามาอย่างแจ่มชัด บางเหตุการณ์เกิดขึ้นมานานจนฉันได้ลืมเลือนมันไปแล้วแต่กลับมาปรากฏตรงหน้าฉันอีกครั้ง เป็นเหตุการณ์ของอดีตซึ่งดำรงอยู่ด้วยตัวของมันเอง

ฉันมองเห็นแม่ซึ่งท่านได้ละจากโลกสู่ดินแดนอันไกลโพ้นเมื่อหลายปีก่อน ฉันมองเห็นหลานที่เพิ่งจากไป...


-4-


ฉันเดินแบกเป้ไปตามทางลูกรังกลางป่า สูดกลิ่นหอมฟุ้งของไม้ป่าหลายชนิดที่ฉันไม่รู้จัก นาน ๆ ครั้งหรือบางทีอาจเป็นเดือนตามคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ที่ด่านชายแดนถึงจะมีรถยนต์ผ่านมาบนทางเส้นนี้ เขาบอกว่าฉันควรจะรออยู่ที่ด่านดีกว่า เพราะถ้ามืดค่ำยังไงก็จะได้นอนเสียที่ด่านนี้เลย


ขณะที่ฉันลังเลว่าจะเดินเท้าต่อไปหรือจะรอคอยอยู่ที่ด่านนั้น รถยนต์คันหนึ่งก็แล่นเข้ามา เขาบอกว่ามาจากมหานครกรุงเทพ ขับมาเรื่อย ๆ ตามแผนที่เพื่อต้องการผจญภัย ท่องเที่ยวและเผอิญผ่านเข้ามาในเส้นทางนี้

 


พวกเขามากันสองคน เป็นคู่รักที่กำลังหวานชื่นดื่มด่ำ ทั้งสองไม่รังเกียจที่จะให้ฉันร่วมทางไปด้วย นอกจากไม่รังเกียจแล้วยังแสดงท่าดีอกดีใจที่จะมีเพื่อนร่วมทางไปด้วยเพราะทั้งสองคนนั้นยังไม่เคยมาตามทางสายนี้มาก่อนเลย พวกเขาชี้ให้ฉันดูแผนที่ว่าทางสายนี้จะพาไปสู่ที่ใดแล้วจะไปแห่งไหนกันต่อ


ทางแคบ ๆ และขรุขระเลียบไปตามไหล่เขา มีโค้งงอหักศอกอย่างน่าหวาดเสียวหลายต่อหลายจุดด้วยกัน


จากกระบะท้ายรถฉันสามารถทอดสายตามองออกไปได้กว้างไกล แลเห็นทัศนียภาพของหุบเขาเบื้องล่าง ซึ่งเรียงรายด้วยนาข้าวแบบขั้นบันไดสีเหลืองสุกปลั่งกระจัดกระจายอยู่ตามไหล่เนิน มีกระท่อมตั้งอยู่อย่างเจียมตนหว่างแปลงนาข้าวสีเหลืองนั้น


อากาศในยามเย็นช่างสดชื่นเป็นสุข จนฉันอดไม่ได้ที่สูดเข้าไปแรง ๆ แสงสีทองทาบทาหมู่บ้านชาวเขา ควันไฟลอยออกมาจากหลังคา ฉันรู้สึกหิวทันทีที่เห็นควันไฟลอยมาจากเรือนของชาวเขา


เมื่อฉันแลไปเห็นหมู่บ้านที่กระจุกตัวอยู่ในหุบเนินนั้น ฉันก็เกิดความต้องการที่จะแวะพักพูดคุยกับผู้คนบ้างสักคืน...


ฟ้ามืดค่ำลงในตอนที่ฉันยังนั่งอยู่ท้ายรถกระบะ น่าเสียดายที่ไม่อาจมองเห็นภูมิทัศน์สองข้างทางได้อีก อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ แต่ก็ยังสดชื่น บางช่วง ฝุ่นที่คละคลุ้งจากการทำถนน แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็ทำให้รู้สึกคอแห้ง


รถแล่นไปจนกระทั่งเข้าสู่ตัวเมืองและฉันก็ขอลง หาโรงแรมที่พัก


-5-


ฉันออกจากห้องพักในโรงแรม ฉันเดินเรื่อยเปื่อยไปตามทางยาวของถนนลาดยางในเมืองเล็ก ๆ อันเงียบเชียบยามค่ำคืนแห่งเดือนธันวาคม บรรยากาศที่มีลักษณะเฉพาะถิ่นทำให้ร่างกายฉันตื่นตัว


ความคิดฟุ้งซ่านที่กระจัดกระจายอยู่ในหัวกะโหลกหายไปสิ้น และเหลือไว้แต่สมองที่ว่างเปล่าเมื่อฉันเริ่มสาวเท้าออกเดิน


ฉันเดินไปตามถนนที่เกือบจะร้างไร้รถราและผู้คน อากาศกลางดึกของเดือนธันวาคมในทางเหนือนั้นเย็นเยือก

เช่นเดียวกับแมลงหลาย ๆ ชนิด ฉันพาตัวเองเข้าหาแสงไฟที่เห็นอยู่ลิบ ๆ …

 

 

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
บทความเรื่อง "แรงฤทธิ์ แต่อ่อนผล" ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในมติชนรายวันhttp://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01020352&sectionid=0130&day=2009-03-02 (วันที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11314) มีหลายประโยค หลายวลี หลายคำที่อ่านแล้วต้องส่ายหัวด้วยความอิดหนาระอาใจกับอคติและภูมิปัญญาของเขา แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่อ่านแล้วทำให้ผมสะดุดหยุดกึกในทันทีคือประโยคที่ว่า "ไม่ผิดอะไรที่จะรักทักษิณ แต่รักทักษิณและรักประชาธิปไตยพร้อมกันไม่ได้เพราะสองอย่างนี้ขัดแย้งกันเอง"
เมธัส บัวชุม
ผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง "ผู้หญิง 5 บาป" เพราะเคเบิลทีวีเอามาฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก อันที่จริงหนังเกรดต่ำแบบนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดอยากจะดูเลย แต่ผมก็เหมือนคนอื่น ๆ คือฉากรักร้อน ๆ ดิบ ๆ ที่ปรากฏอยู่มากมายสะกดให้ต้องหยุดดู หนังเรื่องนี้เหมือนหนังโป๊ะที่ดูแล้ว ถึงจุดออกัสซั่มแล้ว ไม่ควรจะมีอะไรให้พูดถึงอีกหรือหากอยากจะพูดถึงก็คงเป็นเรื่องความไม่เอาไหนของคนทำหนังที่อุตส่าห์ขนดาราและนักแสดงรับเชิญมาเพียบ แต่ทำได้เพียงแค่หลอกขายฉาก "เอากัน" เท่านั้น โดยให้ผู้หญิง 5 คนผลัดกันมาเล่าประสบการณ์ทางเพศที่โลดโผนโจนทะยาน (มีอะไรกับลูกศิษย์ตัวเอง โดนยามข่มขืน ได้กับวินมอไซค์)
เมธัส บัวชุม
31 มกราคมที่ผ่านมา ทีมงานความจริงวันนี้ สร้างปรากฏการณ์ "แดงทั้งแผ่นดิน- Red in The Land" ที่ท้องสนามหลวงด้วยประชาชนหลายหมื่น คนรวยคนจน นักวิชาการหัวก้าวหน้า นักปฏิวัติ คนรุ่นใหม่รุ่นเก่ามากันพร้อมหน้า บรรยากาศฮึกเหิมคึกคัก ส่งสัญญาณความไม่พอใจที่ล้นอกไปยังเหล่าศักดินา เขย่าขวัญพวกอมาตยาธิปไตยให้หยุดสำเหนียกให้มากก่อนจะกระทำการใด อันที่จริงการสำแดงพลังที่รัชมังคลาภิเษกเมื่อวันที่ 1 พ.ย.51 ที่ประชาชนเข้าร่วมงานอย่างอุ่นหนาฝาคั่งนั้นน่าพรั่นพรึงและเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าชาว “แดง” พร้อมชนกับซากเดนของระบอบศักดินาเพียงขอให้มีเงื่อนไขที่เอื้อหรือสถานการณ์สุกงอมพอเท่านั้น…
เมธัส บัวชุม
  ผมชอบดูและเล่นฟุตบอลแม้ว่าจะเล่นไม่ดีเลยก็ตาม  มันเป็นความบันเทิงและกีฬาที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเหมือนเข้าฟิตเนส  แต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผมไม่เคยชอบดูฟุตบอลไทยเลย อาจจะเปิดโทรทัศน์ไปเจอโดยบังเอิญ หยุดดูสักครึ่งนาที พอได้ยินเสียงพากย์ของนักพากย์กีฬาช่อง 7 ซึ่งไม่พากย์ไปตามเกมกีฬา หากแต่จ้องจะเข้าข้างทีมไทยท่าเดียวทำให้เสียอารมณ์จนต้องรีบเปลี่ยนช่องยิ่งเมื่อได้เห็นภาพข่าวนักฟุตบอลไทย แสดงอาการกักขฬะมีเรื่องวิวาทกับนักเตะต่างชาติอยู่บ่อย ๆ ด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกสมน้ำหน้า รู้สึกสมน้ำหน้ามากขึ้นเมื่อนักพากย์กีฬา…
เมธัส บัวชุม
ข่าวการตัดสินจำคุกชาวต่างชาติ “แฮร์รี่ นิโคไลเดส” ชาวออสเตรเลีย ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นนอกจากจะน่าอนาถใจไทยแลนด์แล้ว ยังสร้างแรงสะเทือนต่อสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” อยู่ไม่น้อยผมเคยคิดว่าไทยเป็นประเทศที่มี “เสรีภาพ” มากพอสมควร ถึงตอนนี้ก็ยังคิดเช่นนั้นอยู่ เพียงแต่ว่า “เสรีภาพ” ในไทยนั้นมี “เพดาน” กั้น มี “ขีด” ที่ข้ามไปไม่ได้ เราไม่อาจใช้เสรีภาพไปวิพากษ์วิจารณ์บางคนหรือบางองค์กรหรือเข้าไปตรวจสอบความโปร่งใสได้ เช่น องคมนตรี ศาล กองทัพ เสรีภาพที่เรามีอยู่จึงเป็น “เสรีภาพแบบพอเพียง”
เมธัส บัวชุม
การเมืองหลังการเข้ามาของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร คือการแข่งขันกันนำเสนอด้านนโยบายที่ตอบสนองความต้องการสิ่งอันเป็นปัจจัยพื้นฐานของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนระดับรากหญ้าซึ่งถูกละเลยมาตลอด ผลงานของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ยิ่งยงและพรรคไทยรักไทยที่ได้ทำไว้ในเรื่องการกำหนดนโยบายสำหรับคนยากคนจน และผลักดันสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมนั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงกระทั่งใครต่อใครพรรคประชาธิปัตย์ปากว่าตาขยิบลอกมาหน้าตาเฉย แม้แต่พรรคภูมิใจของเนวิน ชิดชอบที่เพิ่งเปิดตัวไปก็ชูเรื่องประชานิยมเป็นม็อตโตของพรรค
เมธัส บัวชุม
-1-เมื่อกลุ่มก่อการร้ายพันธมิตร ฯ แยกย้ายสลายตัว เดินลงจากเวทีหลังจากสร้างความยับเยินสาธารณะจนสาแก่ใจ แล้วส่งพรรคประชาธิปัตย์วิ่งราวเข้าไปเป็นฝ่ายรัฐบาลโดยผนวกรวมกลุ่มงูเห่าของพวกเนวิน ชิดชอบ เข้าไปด้วยแล้ว การเมืองก็หมดสีสันลงอย่างมากเหมือนกับละครน้ำเน่าที่ตัวอิจฉาหายไปจากจอ ยอมรับนะครับ ว่ากลุ่มก่อการร้ายพันธมิตรที่เป็นม็อบมีเส้นนั้นดึงดูดกระแสความสนใจการเมืองขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด แม้แต่คนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยใส่ใจเรื่องการเมืองเลยนั้นก็หันไปใส่เสื้อเหลือง เสื้อแดงกับเขาด้วย บางคนใส่ได้ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลืองแล้วแต่ว่ากระแสความนิยมของฝ่ายใดจะมาแรงกว่า
เมธัส บัวชุม
ชัยชนะที่ได้มาด้วยการฉ้อฉลของพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะมีผลลัพธ์ออกมาเป็นรูปธรรมด้วยการจัดตั้งรัฐบาลสมความมุ่งมาดปรารถนาที่รอคอยมาเกือบสิบปี แต่ก็ด่างพร้อยอย่างยิ่ง ไม่มีความสง่างามแม้แต่นิดเดียว ล่อนจ้อนน่าละอาย ผิดกติกามารยาทรวมไปถึงผิดกฏหมาย กระทั่งก่อให้เกิดความระอาเกลียดชัง บทบาทพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกข้างต้น ทำให้หลายคนตั้งฉายา สร้างวาทกรรมในการใช้เรียกขานพรรคประชาธิปัตย์ไปต่าง ๆ  นานาซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปในแง่ลบฉายาที่ 1 "รัฐบาลต่างตอบแทน" ตอบแทนกระทรวงกลาโหมให้กองทัพที่ยืนหยัดช่วยเหลือทั้งทางตรงทางอ้อมแก่พรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด…
เมธัส บัวชุม
  เป็นการพังทลายลงของสถาบันตุลาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความน่าเชื่อถือ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคการเมืองซีกรัฐบาลรวดเดียว 3 พรรค อย่างรวบรัดตัดความ เร่งร้อนลนลานและผิด ๆ ถูก ๆ นักวิชาการผู้เคารพในหลักการ และคอการเมืองทั้งหลายพากันวิพากษ์วิจารณ์กันขรมถึงสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำลงไป เริ่มตั้งแต่ประเด็นเรื่องคุณสมบัติของตุลาการผู้เอาตัวรอดด้วยการท่องคาถาคุณธรรม จริยธรรม เป็นนิจสิน อย่างนายจรัล ภักดีธนากุล ไปจนถึงการย้ายสถานที่พิจารณาตัดสินคดีอย่างปุบปับ รวมไปถึงการนำทหารป่าหวายเข้ามาอารักขาตุลาการ แทนที่จะหยุดยั้งเหล่ามารพันธมิตร บางคนต่อรองไว้ว่าร้อยนึงเอาบาทเดียว…
เมธัส บัวชุม
ไม่กี่วันที่ผ่านมาเราคงได้เห็นกันแล้วว่าลัทธิพันธมิตรสามารถทำอะไรได้บ้าง ลัทธิพันธมิตรทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าอยากทำ ตั้งแต่การปิดสี่แยกเพื่อให้การจราจรเป็นอัมพาต ยึดรถเมล์ ล้อมรัฐสภา ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ ไปจนถึงการปิดสนามบินเพื่อทำให้ผู้อื่น-ชาวต่างชาติ เดือดร้อนอย่างจงใจบัดนี้ ใครที่ยังเชื่อว่าลัทธิพันธมิตรชุมนุมแบบอหิงสาอันหมายความว่าไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้นคงจะปัญญาอ่อนเต็มที ใครที่ยังเห็นว่าลัทธิพันธมิตรเป็นการเมืองภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตยคงจะเป็นคนโง่ดักดาน และดังนั้นเพื่อชีวิตจะได้กลับสู่ความปกติ จึงควรหยุดให้ท้ายลัทธิพันธมิตรในทุกทาง…
เมธัส บัวชุม
อัสนี วสันต์ ในเพลง "ก็เคยสัญญา" เคยแหกปากตะโกนประโยคที่ว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน"  อันหมายถึงความรักที่แปรผันตามวันเวลาที่ผ่านพ้น   แม้ว่าจะสัญญากันไว้หนักแน่นก็ตาม ประโยคนี้ถูกตอกย้ำให้ฮือฮาอีกครั้งจากปาก แอ๊ด คาราบาว ผู้ซึ่งสวมบทนักร้อง นักดนตรี "เพื่อชีวิต"  วิพากษ์วิจารณ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่โฆษณามอมเมาให้คนซื้อทั้งที่ไม่มีคุณค่าสารอาหารแต่ประการใด แต่ในเวลาต่อมา แอ๊ด คาราบาว กลับมาทำธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลัง "คาราบาวแดง" อย่างที่รู้กัน เมื่อมีคนถาม แอ๊ด คาราบาว บอกง่าย ๆ ว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน"
เมธัส บัวชุม
เพราะว่าในนามของความถูกต้อง จะทำผิดอย่างไรก็ได้ ดังนั้นม็อบพันธมิตร ฯ จึงพากันทำผิดร้อยแปดพันเก้าประการ การกระทำทั้งร้อยแปดพันเก้าประการนั้นแม้จะเลวร้ายอย่างไรก็ไม่สำคัญนักเพราะถูกฉาบเคลือบไว้ในนามของความถูกต้อง เช่นนี้เองที่เป็นเหตุนำไปสู่คือปัญหาความขัดแย้งยุ่งเหยิงและความรุนแรงในทุก ๆ ทาง การหลบอยู่หลังวาทกรรมประเภท “กู้ชาติ” “พิทักษ์สถาบัน” ฯลฯ การหลงว่าตนเองหรือกลุ่มตนเองเป็นฝ่ายถูก เป็นฝ่ายจงรักภักดี รักชาติ ทำถูกกฏหมาย ตีตราฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายผิด ขายชาติ ไม่จงรักภักดี ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม เลว ดังนั้นในนามของความถูกต้อง จำเป็นต้องกำจัดให้หายไปไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม