Skip to main content

-1-


ฉันมีวิธีเผชิญหน้ากับอาการนอนไม่หลับด้วยการนอนลืมตาอยู่ในความมืด พยายามไม่คิดอะไร แต่ดวงความคิดของฉันก็ไหลลอยไปสู่เรื่องนั้นเรื่องนี้ หวนรำลึกไปถึงสถานที่และผู้คนที่ฉันเคยพานพบประหนึ่งว่าฉันเพิ่งจากผู้คนและสถานที่เหล่านั้นมา


ภาพต่าง ๆ ไหลเลื่อนเข้ามาแล้ววนเวียนอยู่ภายในหัวกะโหลก การฆ่าตัวตายของเพื่อนที่ฉันคบหาด้วยวนเวียนเข้า ๆ ออก ๆ ในหัวสมองหลายต่อหลายครั้ง


ฉันแหงนหน้ามองดูนาฬิกา พรายน้ำเรื่อเรืองอยู่ในยามราตรี เป็นเวลาตีสอง เมื่อแน่ใจว่าไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ๆ ฉันจึงลุกเดินออกไประเบียงหลังห้อง มองลงไปเบื้องล่าง รู้สึกได้ว่ามีแรงจูงใจลึกลับบางอย่างที่เชื้อเชิญให้กระโดดลงไป


หากเป็นในป่าหรือท้องทุ่งชนบท คราที่นอนไม่หลับ ฉันจะใช้วิธีนอนนับดาว จ้องมองดูดวงดาวกะพริบ แสงกะพริบพรายแห่งดวงดาวนั้นแม้นว่ามาจากที่ไกลแต่ส่งความอบอุ่นและอ่อนโยนผ่านมาถึงได้ ฉันสามารถรู้สึกได้ด้วยผิวหนังของฉันเลยทีเดียว


เมื่อไหร่ก็ตามที่ท้องฟ้ายังเกลื่อนไปด้วยดวงดาวซึ่งนำฉันเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ โลกนี้ก็นับได้ว่ายังน่าอยู่”


-2-


แต่ที่โรงแรมคืนละร้อยกว่าบาทในต่างจังหวัดซึ่งฉันไม่คุ้นเคยนั้น การนอนไม่หลับทำให้ฉันต้องมาเผชิญหน้ากับความแปลกที่แปลกถิ่น แม้ว่าฉันได้ระหกระเหินไปตามที่ต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ ทว่าก็มีอยู่บ่อย ๆ ที่ความแปลกที่ แปลกทางทำให้นอนไม่หลับ


บรรยากาศและสภาพเก่าโทรมภายในห้องพักราคาถูกพาให้หดหู่ใจ แมลงสาบตัวโตนอนหงายท้อง ขายังสั่นกระตุกอยู่ในซอกมุมอับ ม่านสีชมพูขาดที่ขึงกั้นไว้ตรงหน้าต่างเป็นรอยกระดำกระด่างเพราะความเก่า สีทาฝาผนังกะเทาะออกเห็นเป็นรอยสกปรก สภาพทั้งหมดนี้ยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่ออยู่ภายใต้แสงนีออนสีขาวหม่น สิ่งแวดล้อมเช่นนี้เปรียบได้เหมือนกับอยู่ในงานศพ


ฉันมายังโรงแรมนี้ได้ตามคำบอกของคนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างเมื่อฉันถามหาโรงแรมที่ราคาถูก เขาแนะทางให้ฉันอย่างกระตือรือร้น แต่ก็แนะนำต่อไปว่าฉันน่าจะพักโรงแรมที่ราคาแพงกว่านี้อีกสักหน่อยเพราะอะไร ๆ มันดีกว่ากันมาก เขาบอกว่าอย่าไปพักเลยโรงแรมถูก ๆ อย่างนั้นมันไม่ดี แต่เขาไม่บอกสาเหตุว่าทำไม เขาไม่บอกออกมาตรง ๆ ว่าโรงแรมที่ฉันไปพักนั้นมีนั้นเคยมีคนตายหลายคน ฉันมารู้เรื่องนี้ตอนที่ได้คุยกับแม่ค้าขายขนมคนหนึ่ง

ฉันแหงนมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ผนังห้องอีกครั้ง เป็นเวลาตีสอง เวลาตีสองไม่ดึกเลยหากว่าอยู่ในวงจรชีวิตของมหานครกรุงเทพ ฉันลุกขึ้นแต่งตัวตั้งใจจะออกเดินเที่ยวเตร่ คงจะมีสถานที่บางแห่งหรอกนะในยามนี้ ที่ฉันสามารถหาเพื่อนนั่งคุยหรือนั่งกินเหล้าได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็คงมีแสงไฟจากร้านรวงหรือตลาดโต้รุ่งที่ฉันพอจะใช้ขับไล่ความเปล่าเปลี่ยวออกไปได้บ้าง


-3-


คืนที่ผ่านมาฉันนอนค้างในวัดอันแสนสงบแห่งหนึ่ง ฉันบอกว่าต้องการกางเต็นท์นอนตรงไหนก็ได้แต่พระท่านบอกให้ฉันเข้ามาไปนอนในอุโบสถ แรกทีเดียวท่านอาจคลางแคลงใจฉันอยู่บ้างเพราะน้อยนักที่จู่ ๆ คนแปลกหน้าจะเข้ามาขอนอนในวัด แต่เมื่อได้คุยกันจนมั่นใจแล้วว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าคนผ่านทางเท่านั้น และพร้อมจะจากไปในวันรุ่งขึ้น พระท่านก็จัดแจงให้ฉันเข้าไปนอนในอุโบสถและเอากล้วยน้ำว้าหวีใหญ่มาให้กิน


เด็กวัดอายุประมาณแปดขวบหลายคนมาชวนฉันคุยขณะที่ฉันกำลังปูถุงนอนในอุโบสถ ฉันสบายใจที่ได้คุยกับเด็ก ๆ และเด็ก ๆ ก็ดูสนอกสนใจที่จะคุยกับคนแปลกหน้า


ความเหน็ดเหนื่อยทำให้ฉันหลับลงอย่างเป็นสุขโดยไม่ฝันถึงอะไรทั้งสิ้น การได้พักผ่อนในครั้งนี้ทำให้ฉันรู้ซึ้งถึงความการุณย์ของความหลับ


คลับคล้ายคลับคลาว่าฝันไปเมื่อได้ยินเสียงสวดมนต์กังวานก้องภายในพระอุโบสถ แต่แล้วสิ่งต่าง ๆ ก็ค่อยแจ่มชัดขึ้น ฉันลืมตาตื่นเพราะเสียงสวดประสานอันสดใสในวัตรปฏิบัติยามอรุณรุ่งของเหล่าสมณะ แสงเทียนวอมแวมอยู่ภายในอุโบสถ


เปลวเทียนส่ายไหวเมื่อสัมผัสกับกระแสเสียงสวดอันกลมกลืน ส่องต้องพระพักตร์อันสงบงามเปี่ยมเมตตาของพระพุทธรูปจนดูคล้ายกับว่าพระพุทธรูปนั้นมีชีวิต สำหรับคนบาปผู้ปรารถนาการไถ่ถอนแล้วการได้นิ่งมองและอยู่ใกล้พระปฏิมาช่วยให้สงบ และคลายความกังวลใจได้ไม่น้อย


กลิ่นธูปฉุน แสบจมูก ลอยอบอวลอยู่ในอากาศ มีลักษณะรุนแรงบางอย่างแฝงอยู่ในกลิ่นควันธูปนี้ กลิ่นแสบฉุนที่ผสานเข้ากับจีวรเหลืองของภิกษุซึ่งกำลังสวดมนต์ทำวัตรเช้าอย่างพร้อมเพรียงด้วยภาษาที่ถึงแม้ฉันจะคุ้นเคยแต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้ รวมทั้งแสงสว่างจากเปลวเทียนซึ่งยักย้ายส่ายไหวอยู่ไปมา ทำให้ฉันถึงกับงุนงงราวโดนสะกด


ระหว่างที่ถูกจู่โจมด้วยบรรยากาศอันขรึมขลังโดยไม่ทันระวังตัว ภาพอดีตในความทรงจำก็ผุดพรายไหลซ้อนเข้ามาอย่างแจ่มชัด บางเหตุการณ์เกิดขึ้นมานานจนฉันได้ลืมเลือนมันไปแล้วแต่กลับมาปรากฏตรงหน้าฉันอีกครั้ง เป็นเหตุการณ์ของอดีตซึ่งดำรงอยู่ด้วยตัวของมันเอง

ฉันมองเห็นแม่ซึ่งท่านได้ละจากโลกสู่ดินแดนอันไกลโพ้นเมื่อหลายปีก่อน ฉันมองเห็นหลานที่เพิ่งจากไป...


-4-


ฉันเดินแบกเป้ไปตามทางลูกรังกลางป่า สูดกลิ่นหอมฟุ้งของไม้ป่าหลายชนิดที่ฉันไม่รู้จัก นาน ๆ ครั้งหรือบางทีอาจเป็นเดือนตามคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ที่ด่านชายแดนถึงจะมีรถยนต์ผ่านมาบนทางเส้นนี้ เขาบอกว่าฉันควรจะรออยู่ที่ด่านดีกว่า เพราะถ้ามืดค่ำยังไงก็จะได้นอนเสียที่ด่านนี้เลย


ขณะที่ฉันลังเลว่าจะเดินเท้าต่อไปหรือจะรอคอยอยู่ที่ด่านนั้น รถยนต์คันหนึ่งก็แล่นเข้ามา เขาบอกว่ามาจากมหานครกรุงเทพ ขับมาเรื่อย ๆ ตามแผนที่เพื่อต้องการผจญภัย ท่องเที่ยวและเผอิญผ่านเข้ามาในเส้นทางนี้

 


พวกเขามากันสองคน เป็นคู่รักที่กำลังหวานชื่นดื่มด่ำ ทั้งสองไม่รังเกียจที่จะให้ฉันร่วมทางไปด้วย นอกจากไม่รังเกียจแล้วยังแสดงท่าดีอกดีใจที่จะมีเพื่อนร่วมทางไปด้วยเพราะทั้งสองคนนั้นยังไม่เคยมาตามทางสายนี้มาก่อนเลย พวกเขาชี้ให้ฉันดูแผนที่ว่าทางสายนี้จะพาไปสู่ที่ใดแล้วจะไปแห่งไหนกันต่อ


ทางแคบ ๆ และขรุขระเลียบไปตามไหล่เขา มีโค้งงอหักศอกอย่างน่าหวาดเสียวหลายต่อหลายจุดด้วยกัน


จากกระบะท้ายรถฉันสามารถทอดสายตามองออกไปได้กว้างไกล แลเห็นทัศนียภาพของหุบเขาเบื้องล่าง ซึ่งเรียงรายด้วยนาข้าวแบบขั้นบันไดสีเหลืองสุกปลั่งกระจัดกระจายอยู่ตามไหล่เนิน มีกระท่อมตั้งอยู่อย่างเจียมตนหว่างแปลงนาข้าวสีเหลืองนั้น


อากาศในยามเย็นช่างสดชื่นเป็นสุข จนฉันอดไม่ได้ที่สูดเข้าไปแรง ๆ แสงสีทองทาบทาหมู่บ้านชาวเขา ควันไฟลอยออกมาจากหลังคา ฉันรู้สึกหิวทันทีที่เห็นควันไฟลอยมาจากเรือนของชาวเขา


เมื่อฉันแลไปเห็นหมู่บ้านที่กระจุกตัวอยู่ในหุบเนินนั้น ฉันก็เกิดความต้องการที่จะแวะพักพูดคุยกับผู้คนบ้างสักคืน...


ฟ้ามืดค่ำลงในตอนที่ฉันยังนั่งอยู่ท้ายรถกระบะ น่าเสียดายที่ไม่อาจมองเห็นภูมิทัศน์สองข้างทางได้อีก อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ แต่ก็ยังสดชื่น บางช่วง ฝุ่นที่คละคลุ้งจากการทำถนน แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็ทำให้รู้สึกคอแห้ง


รถแล่นไปจนกระทั่งเข้าสู่ตัวเมืองและฉันก็ขอลง หาโรงแรมที่พัก


-5-


ฉันออกจากห้องพักในโรงแรม ฉันเดินเรื่อยเปื่อยไปตามทางยาวของถนนลาดยางในเมืองเล็ก ๆ อันเงียบเชียบยามค่ำคืนแห่งเดือนธันวาคม บรรยากาศที่มีลักษณะเฉพาะถิ่นทำให้ร่างกายฉันตื่นตัว


ความคิดฟุ้งซ่านที่กระจัดกระจายอยู่ในหัวกะโหลกหายไปสิ้น และเหลือไว้แต่สมองที่ว่างเปล่าเมื่อฉันเริ่มสาวเท้าออกเดิน


ฉันเดินไปตามถนนที่เกือบจะร้างไร้รถราและผู้คน อากาศกลางดึกของเดือนธันวาคมในทางเหนือนั้นเย็นเยือก

เช่นเดียวกับแมลงหลาย ๆ ชนิด ฉันพาตัวเองเข้าหาแสงไฟที่เห็นอยู่ลิบ ๆ …

 

 

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ท่ามกลางเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่จากนักวิชาการสายพันธมิตร, สื่อสายพันธมิตร, 40 สว. ลากตั้งสายพันธมิตร, พรรคการเมืองสายพันธมิตร, นักสิทธิมนุษยชนสายพันธมิตร, คนกลางสายพันธมิตร, คนดีสายพันธมิตร, ตุลาการสายพันธมิตร และอะไรต่อมิอะไรสายพันธมิตรนั้น เราพอจะได้ยินได้อ่านอะไรที่แตกต่างสร้างสรรค์ เป็นถ้อยคำรื่นหูที่ได้ยินแล้วสบายใจอยู่บ้างแม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม เสียงส่วนน้อยเหล่านี้ควรค่าแก่การจดจำตอกย้ำหรือเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง เป็นเสียงแห่งความกล้าหาญที่ช่วยดึงรั้งไม่ให้สังคมเตลิดไปกับความหลงผิด เป็นเสียงแห่งเหตุผลและความถูกต้อง เชื่อว่าหลายคนคงผ่านหู ผ่านตามาแล้ว แต่ขอนำเสนอซ้ำอีกครั้งหนึ่ง 1.…
เมธัส บัวชุม
พวกกบโง่....เห็นนกกระยาง....เป็นนางฟ้า...สมน้ำหน้า....หลงบูชา....ดุจนางแถน...นางประแดะ.....แสร้งเมตตา...อย่างแกนๆฝูงกบแสน....ดีใจ....ได้นายดี......๚ะ๛                                                ๏..ตรังนิสิงเห...๚ะ๛( http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=733477 )========================================= ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ละเลงเลือดแผ่นดินเดือด ถ่อยเถื่อน สะเทือนไหมเหล่าแกนนำ อำมหิต คงสะใจประเทศไทย ใกล้พังยับ นับวันรอพันธมิตร ป่วนเมือง ระส่ำสุดเตรียมอาวุธ รบกับใคร กระไรหนอกองทัพธรรม กำมีดพร้า ฆ่าให้พอทำเพื่อ "พ่อ" สนธิลิ้ม และจำลอง ละอองดาว ( http://www.prachatai.com/05web/th/home/comment.php?mod=mod_ptcms&ContentID=13977&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai ) พอฝุ่นควันจากเหตุการณ์สลายหายไป ภาพปรากฏก็เริ่มชัดเจนขึ้น ข้อเท็จจริงค่อย ๆ แสดงตัวออกมาทีละส่วน ๆ ก่อนจะกลายเป็นภาพรวมใหญ่ ทำให้การใส่ความและการโฆษณาชวนเชื่อของแกนนำพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
นายแพทย์ประเวศ วะสี ผู้ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปภายใต้โลโก้ “ราษฎรอาวุโส” เป็น “ผู้ใหญ่” ที่ใครต่อใครรู้จักกันดี เพราะคำพูดคำอ่านหรือแนวคิดของท่าน ตกเป็นข่าวพาดหัวอยู่เสมอทางหน้าหนังสือพิมพ์และได้รับการขานรับจากกลุ่มคนน้อยใหญ่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม แม้กระทั่งข้าราชการ บทบาทของนายแพทย์ประเวศ วะสี ในหลาย ๆ วาระและโอกาส มีความสำคัญและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองไทยอย่างสูง จนคว้ารางวัลต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น บุคคลดีเด่นของชาติ รางวัลแมกไซไซ รางวัลจากยูเนสโก เหรียญเชิดชูเกียรติจาก WHO เป็นที่ยอมรับโดยไม่มีข้อกังขาว่า…
เมธัส บัวชุม
นอกจากจะรู้จักใช้ “สี” ให้เป็นประโยชน์แล้ว ลัทธิพันธมิตรยังมีความสามารถพิเศษในการ ”เปลี่ยนสี” ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือ “เลือกสี” ให้เหมาะกับกาละเทศะ เพราะจะใช้ “สีเดียว” ทุกเวลาและสถานที่คงไม่ได้ การรู้จัก “เปลี่ยนสี” นี้เป็นการปรับตัวเช่นเดียวกับที่เราได้เห็นในสัตว์หลายชนิดที่สามารถสร้างสีให้เกิดความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมหรือสื่อสารกับสัตว์ตัวอื่นๆ ไม่ว่าสัตว์นั้นจะเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่า หรือจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีหรือไม่มีกระดูกสันหลังต่างก็มีความสามารถในการเปลี่ยนสีด้วยกันทั้งนั้น
เมธัส บัวชุม
ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน ปี 49 กระทั่งปัจจุบัน  อันธพาล-ลัทธิพันธมิตร ได้ผลิต ตอกย้ำนำเสนอ วาทกรรมทางการเมืองต่าง ๆ จำนวนมาก ผ่านเครือข่ายการสื่อสารที่กว้างขวางและร่วมด้วยช่วยกันกับองค์กรอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา บุคคลที่มีชื่อเสียง สว. ลากตั้ง ดารา ฯลฯ  ทั้งที่เป็นวาทกรรมเพื่อมุ่งทำลายฝ่ายตรงข้ามและใช้ในการยกยอปอปั้นลัทธิตนเอง วาทกรรมบางอย่าง ลัทธิพันธมิตรประดิษฐ์ขึ้นโดยตรงสำหรับการกรรโชกข่มขู่รัฐบาลและสังคม แต่บางวาทกรรมไม่ได้คิดขึ้นเองหากแต่นำมาจากประธานองคมนตรี นักวิชาการ ราษฎรอาวุโส สื่อมวลชน และจากบรรดาบุคคลที่เทิดทูนระบอบอมาตยาธิปไตยไว้เหนือหัว…
เมธัส บัวชุม
กลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียเป็นปัญหาเสมอมาสำหรับการสถาปนากติกาการปกครองและระเบียบการเมือง ทั้งนี้เพราะเป็นกลุ่มที่กฎหมายและการจัดระเบียบทางสังคมไม่สามารถควบคุมจัดการได้ คุกคามต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ปกติของคนโดยทั่วไปเพราะกลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียดำรงชีพอยู่ได้ก็ด้วยการขู่เข็ญกรรโชกกระทั่งใช้กำลัง หรือใช้กฎหมู่เพื่อให้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ นอกจากจะไม่ผลิตอะไรออกมาแล้ว กลุ่มอันธพาลการเมืองยังคอยรีดไถเงินจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่น ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับการข่มขู่รีดไถหรือล็อบบี้อย่างชาญฉลาดของกลุ่มอันธพาลการเมืองที่เรียกตนเองว่าพันธมิตรอย่างสมบูรณ์แบบที่กลุ่มพันธมิตร…
เมธัส บัวชุม
ไม่ต้องเป็นผู้ฉลาดหลังเหตุการณ์เราก็จินตนาการได้ไม่ยากว่าการชุมนุมก่อน 19 กันยายน 2549 ของกลุ่มพันธมิตร ฯ นั้นเป็นการออกบัตรเชิญให้ทหารทำรัฐประหารแม้ว่าบางคนอาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้ การชุมนุมของพันธมิตร ฯ หลังพรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลก็เช่นเดียวกัน ไป ๆ มา ๆ ก็เหมือนเดิมคือการออกบัตรเชิญให้ทหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกคำรบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพลังประชาชนได้บทเรียนมาแล้วก่อนหน้านี้ และได้รู้ว่าความผิดพลาดในรายละเอียดเพียงนิดเดียวอาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่การยึดอำนาจรอบสองได้ รัฐบาลจึงระมัดระวังอย่างยิ่งในการจัดการกับม็อบพันธมิตร ฯ แต่โอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นก็ใช่ว่าจะไม่มี…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้วพยายามจะให้ความหมายของ “กวีเกรียน” ว่ามีลักษณะอย่างไร แล้วเมื่อลองมาวิเคราะห์ พิจารณา สามารถสรุปรวบยอดได้ว่า กวีเกรียน นั้นเดินทางล้าหลัง อยู่ถึง 3 ก้าวด้วยกัน ก้าวที่ 1 คือ ขาดการทบทวนอดีต ไม่สามารถนำอดีตมาเป็นบทเรียนได้ ไม่สามารถสกัดเก็บซับเอาข้อดี ข้อเสียในอดีตมาเป็นฐานคิดในการวิเคราะห์สังคมการเมือง จะว่าไปบทเรียนในอดีตของสังคมไทยก็มีให้ศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง 2475, การต่อสู้ของเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการในอดีตหรือกระทั่งการต่อสู้อยู่ในป่าของพคท.ฯลฯ…
เมธัส บัวชุม
ตอนแรกตั้งใจจะตั้งชื่อบทความว่า “กวีพันธมิตร ฯ” แต่เห็นชื่อที่โดนใจวัยรุ่นกว่าในเวบบอร์ด “ฟ้าเดียวกัน” ว่า “กวีเกรียน” โดยคุณ Homo erectus (ซึ่งเคยเข้ามาวิพากษ์เชิงด่าผมอยู่เป็นประจำจนเลิกไปเอง) จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพื่อให้เข้ากับสมัยนิยม “กวีเกรียน” ในความหมายของผมคือกวีที่ล้าหลัง คิดอ่านไร้เดียงสาเหมือนเด็กที่อ่อนต่อโลก วิเคราะห์สังคมไม่ออกเพราะไม่มีหลักคิดที่มั่นคง อ่านการเมืองไม่เป็นเพราะมัวแต่คิดว่านักการเมืองชั่วร้ายเลวทรามในขณะที่ประชาชนและข้าราชการ และพวกอภิสิทธิชนนั้นมีคุณธรรม จริยธรรม หรืออย่างน้อยก็มีมากกว่านักการเมือง…
เมธัส บัวชุม
-1- พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตัวละครการเมืองที่ไม่ยอมลงจากเวที กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "ภาษาไทย พ.ศ.พอเพียง" เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ วันที่ 26 กรกฎาคม ที่จัดขึ้นโดย ราชบัณฑิตยสถาน มูลนิธิรัฐบุรุษฯ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า "ภาษาไทยทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ สื่อสารที่ดีต่อกัน ทำให้คนเข้าใจกัน ทำให้คนรักกัน โกรธ หรือเกลียดกัน ทำลายกันก็ได้ พวกเราคนไทยจึงต้องตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย ต้องไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ฟุ้งเฟื้อจนเกินไป ต้องรักษาและพัฒนาให้ลูกหลานอย่างพอเหมาะ" (มติชน, 27 ก.ค. 51, หน้า 13) จากคำกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์…
เมธัส บัวชุม
ดา ตอร์ปิโด เขย่ารากฐานความศรัทธาของคนไทยอีกคำรบหนึ่งด้วยการพูดปราศรัยต่อหน้าสาธารณะที่ท้องสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 18 กรกฎาคม อย่างตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม จากข่าวที่ปรากฏออกมาตามสื่อแขนงต่าง ๆ บอกให้รู้ว่าการปราศรัยของเธอนั้นเกี่ยวพันกับสถาบันเบื้องสูง ต้องยอมรับว่า ดา ตอปิโดร์ เป็นคนกล้าและแกร่งอย่างที่หลายคนทำไม่ได้ในแง่ที่ว่ากล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ตนเองคิดโดยไม่ต้องพะวงว่าจะเกิดผลร้ายตามมา ทราบจากที่เป็นข่าว สนธิ ลิ้มทองกุล นำคำพูดของ ดา ตอร์ปิโด มาเล่าซ้ำออกอากาศผ่าน ASTV ไปทั่วประเทศ คำปราศรัยของดา ตอร์ปิโด…