Skip to main content

ผมค่อนข้างแปลกใจที่สังคมไทยยังไม่เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ว่าที่จริงสงกรานต์เลือดเมื่อปีกลายที่ผ่านมา เป็นโอกาสเหมาะไม่น้อยสำหรับการเกิดสงครามกลางเมืองซึ่งอาจจะจบลงด้วยการทำลายพลังประชาชนรากหญ้าและคนชั้นกลางฝ่ายก้าวหน้าลงอย่างย่อยยับ จนยากที่จะฟื้นกลับคืนมาใหม่ หรืออาจเป็นไปในทางกลับกันก็ได้หากประชาชนได้รับชัยชนะคือระบอบประชาธิปไตยจะขยับไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด อำนาจของอำมาตย์จะถูกจำกัดวง พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด?

\\/--break--\>
เหตุที่นึกถึงสงครามกลางเมืองนั้นไม่ใช่เพราะผมเป็นพวกฮาร์ดคอร์หรือนิยมชมชอบความรุนแรง เพียงแต่เห็นว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วที่จะ ”เคลียร์” ปัญหาที่คาราคาซัง ความคับข้องหมองใจที่สะสมอยู่ในอก ความไม่เท่าเทียมในการบังคับใช้กฏหมายกระทั่งภาวะไม่มีขื่อมีแปให้หมดสิ้นไปได้


หลังรัฐประหาร 19 กันยา 49 เป็นที่ปรากฏชัดว่าความอยุติธรรมในแบบที่เปิดเผยโจ่งแจ้งเกิดขึ้นในทุกระดับ ทั้งระดับบุคคล เช่นโทษภัยที่เกิดขึ้นกับ นวมทอง ไพรวัลย์, ดา ตอร์ปิโด, สุวิชา ท่าค้อ สุชาติ นาคบางไทร ฯลฯ ตลอดจนระดับสถาบันหรือองค์กรทางสังคมการเมืองที่เลือกข้างให้คุณให้โทษอย่างชัดเจน เช่น ปปช. หรือกกต. ที่คลอดออกมาจากมดลูกคมช. โดยผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่อาจตอบโต้หรือทำอะไรได้เลย


ไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่จะอดทนกับการถูกขืนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า, สิทธิของประชาชนถูกเพิกถอนโดยการยุบพรรคการเมืองที่สังกัด การบังคับใช้กฏหมายอย่างเอาเป็นเอาตายกับคนบางกลุ่ม แต่ละเว้นพวกเดียวกันอย่างหน้าด้าน ๆ โหมกระหน่ำด้วยการโกหกและโฆษณาชวนเชื่อไม่เว้นแต่ละวันผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อของรัฐอย่างช่องหอยม่วงซึ่งคอยแต่ให้ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงราวกับเป็นพลเมืองชั้นสอง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนสะสมเป็นความคับแค้นที่รอวันระเบิดออก และการระเบิดออกก็มีเพียงผลลัพธ์เดียว


ในขณะเดียวกันเราคงต้องยอมรับว่าไม่มีหลักการสูงสุด หรือเทพเจ้าหน้าไหนให้คนทุกฝ่ายยึดถือร่วมกันได้อีกแล้ว มันจบสิ้นแล้วสำหรับเทววิทยาทางการเมืองแบบเก่า ผู้คนตาสว่างรู้เช่นเห็นชาติ เลิกกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จอมปลอมแต่หันไปหาอะไรก็ตามที่บันดาลให้ชีวิตดีขึ้นได้จริง ๆ


หลักการสูงสุดอย่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่ขาดความศักดิ์สิทธิมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะร่างด้วยทหารหรือร่างด้วยนักวิชาการ ดังนั้นจึงถูกล้มล้างเสียได้ง่าย ๆ ส่วนผู้หลักผู้ใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่น่าสงสัยระแวง หาความเชื่อถืออันใดไม่ได้ทั้งสิ้น รายชื่ออย่าง ส.ศิวรักษ์, ประเวศ วะสี, เสน่ห์ จามริก นั้นต้องส่ายหัวด้วยความหน่ายใจ


นอกจากนั้นแล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็บอกให้รู้ว่าไม่มีทางพูดดี ๆ กับเหล่าอำมาตย์หรือพวกผู้ดีลิ้นสองแฉกได้ หลายคนโดนมาแล้ว บางคนไม่เข็ดหลาบ บางคนหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่จริงแล้วพวกอำมาตย์นั้นเหี้ยมโหด ไม่ต่อรอง เอาแต่ได้ และดูแคลนผู้อื่น


หลายคนบอกว่าความแตกต่างขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา ต้องแก้ปัญหาด้วยหนทางแห่งสันติ


แน่นอนว่าความแตกต่างขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความแตกต่างขัดแย้งที่เป็นมาหลังการยึดอำนาจ 19 กันยา 49 นั้นไม่อาจเรียกว่าธรรมดาได้เลย การเลือกปฏิบัติ การเลือกข้าง ไม่เห็นหัวประชาชน การใส่ไคล้ ไม่อาจจะเรียกว่าธรรมดาได้


ส่วนสันติวิธีนั้นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าใช้ไม่ได้สำหรับสถานการณ์ในสังคมไทยซึ่งไร้หลักการ ไร้มาตรฐานและมีความเป็นชนชั้นที่อำพรางซ่อนรูปไว้ สันติวิธีซึ่งต้องอดทนและทอดเวลาออกไปนานไม่รู้จบนั้นเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐหรือฝ่ายที่ได้เปรียบเท่านั้น


สันติวิธีไม่ใช่ยาครอบจักรวาลที่จะรักษาได้ทุกโรค หากแต่ใช้ได้ในบางเรื่อง บางสถานการณ์เท่านั้น หลายปีที่ผ่านมาการชุมนุมของคนเสื้อแดงอย่าง “สันติวิธี” แทบไม่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแต่อย่างใดเพราะไม่ส่งผลอะไรต่อกลไกทางการเมือง ตรงกันข้าม การใช้ความรุนแรง มีกองกำลังติดอาวุธแบบพันธมิตร สร้างปัญหาให้คนอื่นเดือดร้อนอย่างการปิดสนามบินของพันธมิตรกลับได้รับการสนองตอบอย่างรวดเร็วทันใจ


ว่าที่จริงสันติวิธีนั้นเป็นเรื่องของคนชั้นกลางที่กลัวการตายโหง ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคนเพราะกลัวกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ดังนั้นเราจึงได้ยินอยู่เสมอถึงคำขู่ที่ว่าจะเกิดการ “นองเลือด” ขึ้นหากไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้ เราจึงต้องผ่านเรื่องของสันติวิธีเพื่อที่จะหาหนทางใหม่ในการเปลี่ยนแปลง


ในสภาวะเช่นนี้ หนทางแห่งความรุนแรงเป็นทางเดียวเท่านั้นที่เหลืออยู่ ความรุนแรงเท่านั้นที่จะถอนรากถอนโคนเหล่าอำมาตย์และทำให้ทุกอย่างกลับมาเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์ที่รู้ร้อนรู้หนาวได้


ระบอบประชาธิปไตยมีราคาที่ต้องจ่าย ยิ่งอยากได้มาเร็วก็ยิ่งต้องจ่ายมาก ของดีล้วนแล้วแต่มีราคาแพง แม้ไม่ปรารถนาแต่สงครามกลางเมืองเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าไม่ชนะ ก็คิดเสียว่าตายเสียดีกว่าอยู่.

 

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
การประท้วงของกลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) ภายใต้การนำของ สาวิทย์ แก้วหวาน ผู้ซึ่งเป็นแกนนำสหภาพแรงงาน ฯ เป็นการประท้วงในสไตล์เดียวกับการประท้วงของกลุ่มพันธมิตร นั่นคือเอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นตัวประกันเพื่อให้ได้ตามความต้องการของตนเอง 
เมธัส บัวชุม
หลังจากอิดออดเพื่อรักษาท่าทีแต่พองามแล้ว “ผู้ร้าย” สองคนก็เปิดตัวเปิดใจกระโจนเข้าสู่วง ”การเมือง” เต็มตัว “ผู้ร้าย” คนแรก
เมธัส บัวชุม
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนในอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี นานมาแล้วที่ผมไม่ได้ออกไปไหน เพื่อนพาไปเที่ยวป่าและแวะที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่แลดูลี้ลับ วังเวงและยากไร้
เมธัส บัวชุม
สังคมไทยเป็นสังคมที่อยู่กับความโง่ มีความโง่เป็นเจ้าเรือน นับวันความโง่ยิ่งแผ่ขยายแพร่กระจายไปราวเชื้อโรค หลายคนโง่โดยสุจริต  คนเหล่านี้น่าเห็นใจ ถูกครอบงำด้วยความไม่รู้  อคติ ความเกลียดชังทำให้ประสิทธิภาพในการคิดเสื่อมถอย สติปัญญาถูกบิดเบือนไป คนประเภทนี้โง่เพราะถูกอคติทำลายจนมืดบอด
เมธัส บัวชุม
  ในระหว่างที่รัฐบาลกำลังรวนเรเพราะความไร้ฝีมือและความเน่าจากภายใน แทนที่จะทุ่มสมองและแรงงานเพื่อกระหนาบกระหน่ำรัฐบาลโจร คนเสื้อแดงเฉดต่าง ๆ ก็กลับใช้โอกาสนี้วิพากษ์วิจารณ์กันรุนแรงกระทั่งแตกออกเป็นสาย
เมธัส บัวชุม
ในโลกโลกาภิวัฒน์ที่มนุษย์กำลังเดินทางไปในอวกาศเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก และเตรียมหาที่อยู่บนดาวดวงอื่น ทั้งวิตกกังวลกับโรคระบาดชนิดใหม่ ๆ ซึ่งอาจทำให้มนุษย์ต้องสูญพันธุ์ ประเทศไทยยังคงสนุกสนานเหมือนเด็กเล่นขายของกับการกล่าวหาเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกระทั่งล้มสถาบันสนุกครับ สนุก
เมธัส บัวชุม
ตื่นเช้าขึ้นมา หากไม่มีอะไรเร่งด่วนต้องทำ ผมจะนั่งเขียนโน่น เขียนนี่พร้อม ๆ กับที่เข้าไปในบอร์ดประชาไท อ่านกระทู้ต่าง ๆ อยู่เงียบ ๆ มานานจนเกือบจะกลายเป็นกิจวัตร (ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์) แต่หลังเช้าไปแล้ว ผมก็ทำอย่างอื่น ไม่ได้นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ จึงไม่อาจติดตามความเคลื่อนไหวในบอร์ดประชาไทได้อีก ดังนั้นจึงได้อ่านเพียงบางกระทู้เท่านั้นและล้วนแล้วแต่เป็นการอ่านผ่านๆ ทั้งสิ้น
เมธัส บัวชุม
พักหลัง ผมเข้าไปเยื่ยมชมเว็บไซต์ "ASTVผู้จัดการ" บ่อยครั้ง เพื่ออยากรู้ว่าชาวสีเหลืองหรือกลุ่มพันธมิตรคิดอ่านกันอย่างไร มีนวัตกรรมอะไรบ้างในการทำลายฝ่ายตรงข้าม ศึกษากลวิธีในการเต้าข่าว การใส่ไคล้ การใช้ภาษาของบรรดาคอลัมนิสต์ กระทั่งแวะเข้าไปอ่าน "เรื่องนินทาราวตาเห็น" ของ "ซ้อเจ็ด" ผู้โด่งดัง
เมธัส บัวชุม
หลายวันก่อน ได้อ่านบทความของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่อง “ทางออกจากทักษิณ” (มติชนรายวัน, 20 ก.ค. 52.) บทความนี้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างมากเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนเสื้อเหลืองและแดง  เนื้อหาของบทความ นอกจากปัญญาชนรายนี้จะออกตัวให้กลุ่มพันธมิตรหรือเสื้อเหลืองโดยยกระดับความคิด และการกระทำของคนกลุ่มนี้ว่าเกิดจากทัศนะและความเข้าใจในประชาธิปไตยที่แตกต่างจากกลุ่มเสื้อแดงซึ่งทั้งสองกลุ่มล้วนแล้วแต่มีจุดอ่อน  
เมธัส บัวชุม
นานมาแล้ว ที่ผมไม่เคยเจ็บป่วยขนาดต้องไปโรงพยาบาลหรือหาหมอ อย่างมากก็แค่ซื้อยาแก้เจ็บคอมากิน แต่ครั้งนี้เจ็บคอหลายวัน บวกกับอาการมึนหัว เบื่ออาหาร เพลีย และปวดเมื่อยเนื้อตัวอย่างหนักขนาดทาถูสบู่ตามตัวยังรู้สึกปวดไปถึงกระดูก เวลานอนต้องนอนตะแคงอย่างเดียวจะนอนหงายหรือคว่ำไม่ได้เพราะปวดเมื่อย(ขนาดนั้น) ผมจึงตัดสินใจไปโรงพยาบาลแม้จะยังสงสัยอยู่ว่าคิดถูกหรือผิดกันแน่ น่าตกใจพอสมควรที่คนป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่เต็มล้นโรงพยาบาล (แต่แทบไม่มีคนที่อยู่วัยเดียวกับผม) ผมคิดในใจว่าถ้าตนเองเป็นเพียงโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ก็คงจะมารับเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่โรงพยาบาลนี่แหละ…
เมธัส บัวชุม
การล่า 1 ล้านรายชื่อของสามเกลอแห่ง "ความจริงวันนี้" เพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่อดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นประเด็นให้คนเสื้อแดงถกเถียงแก้เซ็งไปพลาง ๆ โหมโรงการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป มีความคิดเห็นค่อนข้างหลากหลายในหมู่คนเสื้อแดงด้วยกัน ทั้งนี้เพราะคนเสื้อแดงนั้นมีความหลากหลายในตัวเองอยู่แล้ว คือมีตั้งแต่ "แดงอนุรักษ์" ไปจนถึง "แดงถอนรากถอนโคน" ซึ่งลักษณะที่ว่านี้ไม่มีในหมู่คนเสื้อเหลือง
เมธัส บัวชุม
เป็นความคิดที่ดีของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีความพยายามจะ “รื้อฟื้น” วันชาติขึ้น เพราะมันมีความหมายและนัยสำคัญต่อประชาธิปไตยและการเมืองไทยอย่างมาก วันชาติเป็นผลพวงของการยึดอำนาจของคณะราษฎรเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยสู่ระบอบการปกครองแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเสียงและความคิดเห็นของประชาชน ภายใต้หลักนิติรัฐที่ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเสมอกัน