Skip to main content

อาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ เพื่อนโทรมาชวนผมไปฟังการสัมมนาที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่จัดขึ้นเนื่องในงานธรรมศาสตร์วิชาการ เรื่อง “ก้าวต่อไปของการเมืองภาคประชาชนไทยหลังการเลือกตั้งทั่วไป 2550” เพื่อนบอกว่ามีคุณจาตุรนต์ ฉายแสง คุณจอน อึ๊งภากรณ์ คุณศิโรฒม์ คล้ามไพบูลย์ นพ.เหวง โตจิราการ คุณรสนา โตสิตระกูล

ผมได้ยินรายชื่อแล้วรู้สึกสนใจโดยเฉพาะคุณจาตุรนต์ ฉายแสง นักการเมืองคุณภาพที่หาได้ยากยิ่งในแวดวงการเมืองไทยปัจจุบัน แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็ผิดหวัง คุณจาตุรนต์ ฉายแสง ไม่มาร่วมวงสัมมนาแต่อย่างใด

คุณศิโรฒม์ คล้ามไพบูลย์ นำเสนอการวิเคราะห์อย่างเป็นวิชาการ อย่างไรก็ตาม ฟังแล้วรู้สึกเหมือนเป็นการ “หลอกด่า” ขบวนการภาคประชาชน เช่น ความคิดเรื่องการรับเหมาทำแทน การที่บรรดา “เอ็นจีโอ” สถาปนาเป็น “ตัวแทน” ของภาคประชาชนอย่างอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครเลือกตั้ง การอ้างอิงชนชั้นล่างแต่ประเด็นที่ใช้ในการเคลื่อนไหวกลับเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของคนชั้นกลาง การปิดกั้นผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มไว้ในนามของผลประโยชน์แห่งชาติ

คุณหมอเหวง โตจิราการ นับวันยิ่งเข้มข้นหนักหน่วง นับวันยิ่งเป็น “ซ้าย” ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งผมคิดว่าดี ผมอยากให้มีคนแบบคุณหมอเหวง โตจิราการ เยอะ ๆ เพราะจะได้ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวิพากษ์วิจารณ์แบบถอนรากถอนโคนที่กำลังขาดแคลน

ตอนหนึ่งคุณหมอเหวง โตจิราการ พูดถึงทีวีสาธารณะว่ามันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้รัฐบาลรัฐประหารที่แทรกแซงสื่อมาโดยตลอด ทั้งคนที่ได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาดูแลจัดการก็เป็น “คนของรัฐประหาร” ที่ไม่ได้รับการยอมรับซึ่งไม่มีทางจะทำให้คลื่นโทรทัศน์กลายเป็นผลประโยชน์สาธารณะได้

ผมเห็นด้วยว่า ทีวีสาธารณะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นโกหกคำโตของนักวิชาการที่นำเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ และไม่คำนึงถึงพร้อม และความเป็นไปได้ ใคร ๆ ก็รู้ว่าทีวีสาธารณะเป็นเกมการต่อสู้ทางการเมืองอีกเกมหนึ่ง ที่มีนักวิชาการคอยกำกับให้อยู่ในวาทกรรมว่าด้วยผลประโยชน์สาธารณะ

คุณรสนา โตสิตระกูล เอ็นจีโอชนชั้นกลางซึ่งรับเหมาเคลื่อนไหวทั่วราชอาณาจักรและรับเหมาเคลื่อนไหวประเด็นที่กำลังอยู่ในกระแสนั้นเสนอความเห็นตอบโต้การ “หลอกด่า” ของคุณศิโรตน์ คล้ามไพบูลย์ ไปแบบข้างๆ คูๆ

เอ็นจีโออย่างคุณรสนา โตสิตระกูล แสดงให้สาธารณชนเห็นแล้วว่า เธอนั้นไม่รังเกียจรัฐประหารแต่ประการใด โชคดีหรือโชคร้ายของคุณรสนา ก็ไม่รู้ที่ชื่อของเธอถูกตัดออกจากการเป็นสนช.ในวินาทีสุดท้าย

พอคุณรสนา โตสิตระกูล เริ่มพูด ผมก็เดินจากห้องสัมมนานั่งดื่มกาแฟกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน

ผมยอมรับว่าวิกฤติการเมืองสมัยทักษิณ ทำให้มองภาคประชาชนในแง่ลบอย่างมาก นอกจากคำจำกัดความของ “การเมืองภาคประชาชน” ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าภาคประชาชน ที่เคลื่อนไหวต่อสู้ในประเด็นทางการเมืองระดับชาติเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการสร้างประชาธิปไตย

กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เป็นประจักษ์พยานแห่งความล้มเหลวระดับชาติของขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน (หากนับกลุ่มนี้เป็นภาคประชาชนด้วย) เพราะมันเป็นการเคลื่อนไหวที่สอดรับกับการรัฐประหาร เป็นการเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดรัฐประหารอย่างปฏิเสธไม่ได้ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

อันที่จริงภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวในประเด็นย่อย ๆ ที่กระทบต่อวิถีชีวิตเฉพาะกลุ่มนั้นอาจนับได้ว่า เป็นกลุ่มก้าวหน้า เช่น กลุ่มที่เคลื่อนไหวในเรื่องเอดส์ สิทธิสตรี เด็ก รักร่วมเพศ สิทธิของชนกลุ่มน้อย การปกป้องคุ้มครองผู้บริโภค แต่พอขยับมาเป็นการเมืองระดับชาติซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนหลายกลุ่ม หลายชนชั้นแล้ว ขบวนการภาคประชาชนกลับมีลักษณะล้าหลังอย่างมาก

การเคลื่อนไหวของคุณจอน อึ๊งภากรณ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ผู้ร่วมเสวนาด้วยนั้น เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนความล้าหลังของสิ่งที่เรียกว่า “ภาคประชาชน”

ในเวทีสัมมนาวันนั้น คุณจอน เปิดฉากด้วยการบอกว่ารัฐบาลทักษิณ เป็นเผด็จการ การใช้คำระคายหูโดยไม่ระวังของคุณจอนทำให้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นมาโต้เถียงด้วยความเหลืออด

คุณจอนคงจะตาบอดข้างเดียว จนมองไม่เห็นว่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเพื่อขับไล่รัฐบาลทักษิณ ตลอดจนการเคลื่อนไหวที่มาจากผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเผด็จการเสียยิ่งกว่ารัฐบาลทักษิณหลายเท่า คุณจอนคงจะตาบอดข้างเดียวจนมองไม่เห็นว่าการทำรัฐประหารนั้นเป็นการใช้อำนาจเผด็จการอย่างซึ่งหน้า การเอ่ยปากว่าทักษิณเป็นเผด็จการโดยขาดความรอบคอบนั้นรังแต่จะทำให้คุณจอนกลายเป็นตัวตลก

และคุณจอน ก็กลายเป็นตัวตลกไปจริง ๆ เมื่อนำประชาชนบุกปีนเข้าไปในทำเนียบเพื่อยับยั้งการออกกฎหมายของสนช.

ชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายของคุณจอน ไม่เพียงพอที่จะทำให้คุณจอนตระหนักหรือว่า “รัฐประหารทำอะไรก็ได้”

รัฐประหารตั้งองค์กรเถื่อนกี่องค์กรก็ได้ รัฐประหารออกกฎหมายเถื่อนกี่ฉบับก็ได้ “รัฐประหารทำอะไรก็ได้”

การที่คุณจอนยอมรับรัฐประหารอย่างเงียบ ๆ ก็เป็นการยอมรับกฎหมายที่ออกมาจากการรัฐประหารอยู่แล้ว ดังนั้นนอกจากจะตาบอดข้างเดียวแล้ว คุณจอนยังสายตาสั้นอีกด้วย

ผมรู้สึกสะใจที่หญิงชาวบ้านลุกขึ้นตอบโต้คุณจอน จนต้องตบมือให้.




บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
มหาชนสีแดงยื่นบันไดแห่งการยุบสภาให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปีนลงมาอย่างง่าย ๆ ชนิดที่บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น แต่ไม่เป็นผลอะไร ด้วยโมหะจริต นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ดึงดันจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปแม้ว่าจะต้องทำอะไรที่เสียเกียรติความเป็นผู้นำไปมากก็ตาม
เมธัส บัวชุม
การเคลื่อนพลของคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินน่าตื่นตาตื่นใจและอลังการสมการรอคอย แม้ว่าการมาทางเรือจะผิดจากความคาดหวังอยู่มากก็ตาม ผมยืนรอชมขบวนเรือของคนเสื้อแดงบนสะพานกรุงธนนานกว่า 3 ชั่วโมงพร้อมกับแดงคนอื่น ๆ เต็มสะพาน โบกไม้โบกมือ ไชโยโห่ร้องกับคนเสื้อแดงที่ขับรถผ่านไปมา
เมธัส บัวชุม
แม้ผลการตัดสินคดียึดทรัพย์เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้อยู่แล้ว แต่คนเสื้อแดงหลายคนยังรู้สึกเจ็บปวด บางคนถึงขั้นหลั่งน้ำตาทั้งที่เงินนั้นไม่ใช่เงินของตนเอง พวกอำมาตย์ พรรคประชาธิปัตย์และคนเสื้อเหลืองไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่าที่คนเสื้อแดงหลั่งน้ำตานั้นไม่ใช่เพราะเสียดายเงินของอดีตนายก ฯ ทักษิณ  ชินวัตร ที่ถูกยึดไปอย่างไม่เป็นธรรม แต่เป็นเพราะรู้สึกเจ็บปวดที่ตนเองทำอะไรไม่ได้เมื่อเห็นความอยุติธรรมบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาครั้งแล้วครั้งเล่า
เมธัส บัวชุม
ไม่ว่าผลการตัดสินคดียึดทรัพย์ (ปล้นทรัพย์อย่างถูกกฎหมาย) ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร จะออกมาเป็นอย่างไร การลุกฮือของคนเสื้อแดงก็ยังคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เสื้อแดงจำนวนไม่น้อยอาจไม่ได้ยี่หระเลยกับทรัพย์สินของอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตรเพราะนั่นเป็นราคาที่อดีตนายก ฯ ต้องจ่ายสำหรับการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย หลายคนจะได้เรียนรู้ว่าประชาธิปไตยนั้นถ้าไม่จ่ายด้วยเลือดและชีวิตก็ต้องจ่ายด้วยทรัพย์สินแสนแพง
เมธัส บัวชุม
 เมื่อความขัดแย้งระหว่างฝักฝ่ายต่าง ๆ เขม็งเกลียวแน่นใกล้ถึงจุดวิกฤติ ข่าวเกี่ยวกับการทำรัฐประหารก็ลอยมาจากทางโน้นทางนี้เป็นระยะ น่าเชื่อบ้าง ไม่น่าเชื่อบ้าง ราวกับว่ารัฐประหารเป็นทางออกเดียวในการจัดการปัญหา
เมธัส บัวชุม
การเข้าครอบครองที่ดินบนเขายายเที่ยงอย่างผิดกฏหมายขององคมนตรีคุณธรรมสูงอย่างสุรยุทธ์ จุลานนท์ นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแม้แต่น้อย ไม่ใช่ข้อค้นพบที่น่าตื่นเต้น ไม่ใช่ความลับที่น้อยคนรู้ ชาวบ้านร้านตลาดในบริเวณนั้นต่างก็รู้กันเป็นอย่างดีว่าวิลล่าสวยงามบนเขายายเที่ยงนั้นเป็นของใคร
เมธัส บัวชุม
ผมค่อนข้างแปลกใจที่สังคมไทยยังไม่เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ว่าที่จริงสงกรานต์เลือดเมื่อปีกลายที่ผ่านมา เป็นโอกาสเหมาะไม่น้อยสำหรับการเกิดสงครามกลางเมืองซึ่งอาจจะจบลงด้วยการทำลายพลังประชาชนรากหญ้าและคนชั้นกลางฝ่ายก้าวหน้าลงอย่างย่อยยับ จนยากที่จะฟื้นกลับคืนมาใหม่ หรืออาจเป็นไปในทางกลับกันก็ได้หากประชาชนได้รับชัยชนะคือระบอบประชาธิปไตยจะขยับไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด อำนาจของอำมาตย์จะถูกจำกัดวง พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด?
เมธัส บัวชุม
-1- ฉันมีวิธีเผชิญหน้ากับอาการนอนไม่หลับด้วยการนอนลืมตาอยู่ในความมืด พยายามไม่คิดอะไร แต่ดวงความคิดของฉันก็ไหลลอยไปสู่เรื่องนั้นเรื่องนี้ หวนรำลึกไปถึงสถานที่และผู้คนที่ฉันเคยพานพบประหนึ่งว่าฉันเพิ่งจากผู้คนและสถานที่เหล่านั้นมา
เมธัส บัวชุม
เรื่องราวในชีวิตของคนเราสามารถนำมาเขียนแต่งเป็นนิยายได้ทั้งนั้น โดยการใส่พล็อตหรือท้องเรื่องเข้าไป ตีความให้ดูน่าสนใจ แล้วเสาะหา(สร้าง)ข้อมูลเพื่อยัดลงไปในพล็อตที่วางไว้โดยอาจหยิบเพียงบางช่วงบางตอนของชีวิตก็ได้
เมธัส บัวชุม
คงไม่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจแต่ประการใดที่เราได้เห็นปัญญาชนสยาม ปัญญาชนสาธารณะอย่างสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ไปออกโทรทัศน์ของทาง ASTV “รายการรู้ทันประเทศไทย” ที่มีเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการผู้หากินกับวาทกรรม “ชาวบ้าน” มายาวนาน งนี้เพราะหลายคนซึ้งแน่แก่ใจแล้วว่าบั้นปลายชีวิตของสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้หลงตนนั้นโน้มเอียงไปทางเผด็จการ หรือไปทางศักดินามากเสียยิ่งกว่าจะยืนข้างชาวบ้านอย่างที่เขาพร่ำพูดถึงเสมอ
เมธัส บัวชุม
หากผมบอกว่าชาตินิยมเป็นแนวคิดที่ใช้ไม่ได้แล้ว บางคนคงโต้แย้ง ผมจึงต้องเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ให้กว้าง ๆ ว่า ชาตินิยมเป็นแนวคิดที่ไม่เพียงพอสำหรับการทำความเข้าใจความเป็นไปของสังคมการเมืองในโลกปัจจุบัน ไม่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าความหมายและรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง
เมธัส บัวชุม
รถไฟไทยเป็นอย่างที่เป็นอยู่มานาน โดยแทบไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรเลยตั้งแต่เริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ทั้งนี้เพราะความเสื่อมโทรมของรถไฟให้ประโยชน์แก่คนหลายกลุ่ม รวมทั้งสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทย ดังนั้นแนวคิดใด ๆ ก็ตามที่จะทำให้รถไฟเปลี่ยนไปจึงถูกต่อต้านแม้จะมีผลการวิเคราะห์วิจัยรองรับอยู่จำนวนมาก