Skip to main content

 

                ใครจะคิดว่าเมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมาจะเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญชาวอเมริกันขึ้นอีกครั้ง เมื่อเกิดระเบิดถึงสองครั้งในแข่งขันกีฬามาราธอนที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึงสามรายและบาดเจ็บนับสองร้อยคน การระเบิดครั้งนี้อาจจะมีความสูญเสียน้อยมากหากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน เป็นต้นมา ก็ตาม  แต่การระเบิดครั้งนี้ได้ทำให้สถานการณ์ความหวาดกลัวต่อการก่อการร้ายของชาวอเมริกันที่ได้จางหายไปหลังจากการเสียชีวิตลงของนายโอซาม่า บินลาเดนได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
 
 
              เราจะเห็นว่า การระเบิดในครั้งนี้เป็นการระเบิดที่มุ่งเน้นเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการระเบิดในงานมาราธอน งานกีฬาที่แทบจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองใด ๆ เลย ซึ่งมีหลายสื่อให้ความเห็นว่า มันมุ่งเน้นโจมตีไปยังสถาบันหลักครอบครัวของชาวอเมริกันนั้นเอง
 
              คล้ายกับผู้อยู่เบื้องหลังวินาศกรรมครั้งนี้ต้องการจะบอกคนอื่นให้รับทราบว่า แม้ในที่ปลอดภัยที่สุดก็ใช่จะปลอดภัยได้เสมอไป
 
               แต่ที่สิ่งที่เกิดขึ้นแทบจะทันทีหลังการระเบิดก็คือ ท่าทีสับสนอลหม่านของผู้คนชาวอเมริกันชนที่ต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ หากจะเปรียบล่ะก็พวกเขาคงไม่คิดว่า เหตุการณ์นี้จะมาเกิดขึ้นกับตัวของพวกเขาใกล้ ๆ ตัวแบบนี้ยิ่งงานมาราธอนในวัฒนธรรมของชาวอเมริกันแล้วนั้นเป็นงานของครอบครัวด้วยซ้ำไป เรามักจะเห็นในหนังหลายเรื่องว่า งานนี้มักจะมีครอบครัวมาร่วมเชียร์ด้วยเสมอ พ่อเป็นคนวิ่ง แม่กับลูกอาจจะวิ่งตามติดเพื่อดูสามีหรือพ่อของตัวเองเข้าเส้นชัย
 
               และนั่นเองที่ไม่น่าแปลกใจที่หนึ่งในสามผู้เสียชีวิตจะเป็นเด็กอายุเพียงแปดขวบที่วิ่งไปหาพ่อของเขาที่กำลังจะเข้าเส้นชัย ซึ่งเรียกอารมณ์ดราม่าให้กับเหตุการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี
 
               และทันทีทันใดก็มีข่าวออกมามากมายชวนให้สับสนเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่หนักก็คือการออกข่าวว่าจับผู้ต้องสงสัยชาวซาอุดิอาระเบียได้แล้ว แน่นอนว่า ข่าวนี้ไม่เป็นความจริงเพราะ ตำรวจเพียงแค่สอบถามชายซาอุนี้ไว้เป็นพยานก็เท่านั้น ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใด
 
                ทว่าด้วยเทคโนโลยีที่รวดเร็วจนผู้คนไม่ได้ตรองข่าวก็ทำให้ชายชาวซาอุคนนี้เกือบจะเป็นผู้ร้ายในสายตาของคนอเมริกันไปเสียแล้ว โชคดีที่มีข่าวแพร่ออกมาไว เขาเลยรอดตัวไปได้ รวมทั้งท่าทีของประธานาธิบดี บารัค โอบาม่าก็พยายามจะรักษาอารมณ์วี้ดว้ายของคนอเมริกันให้ใจเย็นลงก่อนจะประกาศการกระทำนี้เป็นการก่อการร้ายในภายหลัง
 
                 แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ แม้ว่าสงครามก่อการร้ายจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่เมฆหมอกความหวาดระแวงของคนอเมริกันชนก็ไม่ได้จางหายไปโดยง่าย ๆ
 
                 ม่านหมอกที่ว่านั้นทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งได้แก่ The Mist
 
 
                 The Mist  หรือในชื่อไทยว่า มฤตยูหมอกกินมนุษย์ เป็นผลงานภาพยนตร์ของผู้กำกับชาวอเมริกันที่ทำหนังดีแต่ไม่ค่อยได้เงินอย่าง แฟรงค์ ดาราบ๊องค์ และดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของราชานิยายสยองขวัญอย่างสตีเฟ่น คิง ที่ผลงานนี้เป็นหนึ่งในการดัดแปลงนิยายของเขาได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในบรรดาหนังจากนิยายของเขาเลยทีเดียว
 
                 เรื่องราวของ The Mist นั้นเป็นเรื่องราวของพ่อลูกคู่หนึ่งที่ออกมาซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเตรียมตุนเอาไว้รับมือพายุที่กำลังจะมา แต่ทว่าสิ่งที่มานั้นไม่ใช่พายุแต่หมอกสีเทาที่เข้าปกคลุมเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ไปจนทั่วจนเมืองไม่เห็นอะไรด้านนอกเลย ผู้คนต่างเข้ามาหลบกันอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตกันมากมายจนกระทั่งมีบางอย่างเกิดขึ้นด้านนอก เมื่อมีสัตวืประหลาดที่พวกเขาไม่เคยเห็นพุ่งชนกระจกซุปเปอร์เพื่อจะเข้ามาในนี้ ท่ามกลางความสับสนของผู้คนในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เริ่มคลั่งสติแตกกันไปทีล่ะน้อย พ่อลูกคู่นั้นต้องหาทางหนีออกมาจากซุปเปอร์แห่งนี้ให้ได้ก่อนที่เขาจะตกเป็นเหยื่อของคนในซุปเปอร์แห่งนี้ไม่ใช่พวกสัตว์ประหลาดนอกร้าน
 
                สตีเฟ่น คิง ผู้เขียนเรื่องสั้นเล่มนี้บอกเล่าไอเดียของตนไว้ว่า “ผมกำลังเลือกเดินซื้อของอยู่ แล้วมองไปเห็นกระจกพลาสติกใสบานใหญ่ด้านหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ผมคิดในใจว่า ถ้ามีแมลงยักษ์บินพุ่งใส่กระจกล่ะว่าจะเป็นยังไง”
 
 
                นั่นคือไอเดียเริ่มต้นของคิงที่ทำให้นิยายเรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการกล่าวขวัญอย่างยิ่งในวงการภาพยนตร์ในฐานะภาพยนตร์ที่สะท้อนความอึมครึมที่ได้จากผลกระทบของวันที่ 11 กันยายน ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามก่อการร้ายที่ทำให้ชาวอเมริกันเหมือนอยู่เมฆหมอกของความหวาดกลัวไปหลายปีเลยทีเดียว
 
                The Mist จำลองภาพของสังคมอเมริกาที่อยู่ภายใต้ความหวาดระแวงด้วยการ สมมุติว่า ซุปเปอร์มาร์เก็ตคือ ประเทศอเมริกา ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเปรียบเทียบที่น่าสนใจอยู่เหมือนกันเพราะ นอกจากกระจกที่หนาที่ล้อมสถานที่นี้เอาไว้ก็ยังมีทั้งอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภคอีกมากมายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทำให้หลายคนคิดว่า สถานที่นี้เหมาะแก่การหลบภัยหรือใช้ชีวิตอยู่ในช่วงวิกฤตด้วยซ้ำ
 
                 จอร์จ เอ โรเมโร่ ผู้กำกับหนังซอมบี้ชื่อดังอย่าง Night of Living Dead ได้กล่าวถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ถูกใช้เป็นฉากในหนังซอมบี้ภาคต่อของเขาอย่าง Dawn of the dead ว่า ที่นี่เป็นโบสถ์ของพวกบริโภคนิยม สอดคล้องกับในตัวหนังที่ซอมบี้จำนวนมากต่างมาออกันที่หน้าห้างด้วยความเคยชิน มีตัวละครหนึ่งของเขาพูดว่า พวกมันแค่มาเดินห้างเท่านั้น
 
                ดังนั้นซุปเปอร์มาร์เก็ตจึงเป็นเหมือนสิ่งสำนึกแรกที่มนุษย์มักจะนึกถึงในยามประสบภัย ต่อจากก็จะเป็นบ้านของพวกเขา เราจะเห็นว่า การที่ผู้คนมารวมตัวกันอยู่ในซุปเปอร์นั้นก็เพื่อซื้อของมาตุนไว้ในบ้านในยามที่พายุกำลังจะเข้านั่นเอง เราจึงสามารถนึกภาพสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2553 ในการประกาศเคอร์ฟิวส์ของรัฐบาลอภิสิทธิช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดง รวมทั้งช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่ส่งผลให้สิ่งของต่าง ๆ อย่างพวกข้าวสาร อาหารแห้ง และน้ำดื่มถูกกวาดเรียบวุธชนิดที่ว่า ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
 
               หนังจึงสะท้อนภาพของคนอเมริกันที่มีต่อภัยพิบัติต่าง ๆ ว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่อยู่นอกเหนือสายตาของพวกเขา
 
               ดังเช่นหมอกที่เปรียบก็เหมือนกับภัยนอกประเทศที่พวกเขาได้แต่หวาดระแวง แต่ไม่รู้ความจริงว่า มันคืออะไรกันแน่อยู่
 
               จนกระทั่งภัยที่ว่านั้นปรากฏตัวเข้ามาภายในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดของเขานั้นแหละ
 
               ความบ้าคลั่งจึงเกิดขึ้น
 
 
               หนังได้แบ่งแยกตัวละครออกมาเป็น 2 ประเภทได้แก่ คนที่กล้าเดินออกไปข้างนอกโดยไม่กลัวสิ่งที่อยู่ในหมอก คนที่กล้ากลัว ๆ และอาศัยอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ก่อนที่หนังจะแบ่งประเภทคนในซุปเปอร์ออกมาเป็น 3 ประเภทได้แก่ ผู้คนที่พยายามใช้สติตรองหาเหตุผล ผู้คนที่ไม่รู้อะไรเลยได้แต่หวาดกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ และ ผู้คนที่กำลังบ้าคลั่ง
 
               แน่นอนว่า ตัวละครของพระเอกและลูกชายย่อมเป็นตัวละครที่พยายามสติตรองหาเหตุผลอย่างแน่นอน ทว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ ตัวละครของหญิงคลั่งศาสนาที่เป็นหนึ่งในตัวละครที่เลวร้ายที่สุดของสตีเฟ่น คิงเลยทีเดียว
 
 
               หญิงคลั่งศาสนาคนนี้เชื่อว่า หมอกคือ การลงทัณฑ์ของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาที่มีบาป และ หนทางที่จะขับไล่หมอกไปได้จะต้องนำพวกคนบาปไปสังเวยให้แก่สัตว์ประหลาดด้านนอกนั้นเอง 
 
                แรก ๆ ก็ไม่มีใครเชื่อสิ่งที่เธอพูดเท่าไหร่นักหรอกครับ จนกระทั่งโดนเป่าหูมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปทุกขณะ ทั้งแมลงยักษ์ที่บุกเข้ามาซุปเปอร์จนฆ่าคนไปหลายคน ทั้งการพยายามหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อหาทางหนีไปจากที่นี่ก็ไม่พ้น แต่ที่สำคัญก็คือ พวกคนที่ออกไปก่อนนั้นไม่กลับมา และอาจจะตายไปแล้ว นั่นเองที่ผู้คนที่สับสนเริ่มหันไปเชื่อสิ่งที่สาวสติเสียคนนี้พูดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่ฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น (แม้กระทั่งเรื่องจริงที่ทหารหนุ่มเล่าให้ฟัง) และมีการส่งคนไปตายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาเลยเทอิดมากขึ้นเพราะต้องการลูกของพระเอกไปสังเวยเพราะ พระเจ้าต้องการเลือดผู้บริสุทธิ์ส่งผลให้เกิดการแตกหักขึ้นในที่สุด
 
                ผมเคยอ่านความเห็นในเว็บบอร์ดโลกสวยแห่งหนึ่งที่ถามว่า ทำไมหนังจะต้องให้คนนับถือศาสนาคริสต์เป็นบ้ากันทุกเรื่อง คำตอบที่น่าสนใจสำหรับผมก็คือ ไม่ใช่แค่ศาสนาคริสต์เท่านั้นหรอกครับ แต่ทุกศาสนานั้นแหละครับ ที่ถ้าเกิดวิกฤตบางอย่างขึ้นมา พวกคลั่งมักจะเกิดขึ้นจากลัทธิความเชื่อเสมอ ไม่จำเป็นต้องคริสต์ครับ เอาง่าย ๆ ถ้ามองไม่เห็นภาพนะครับ ย้อนไปที่ 2554 ในช่วงที่น้ำท่วม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดความโกลาหลของผู้คนในสังคมโดยชนชั้นกลางในเมืองที่ต่างเกิดอาการหวาดกลัวว่า น้ำจะมาท่วมบ้านตัวเองหรือไม่จนกระทั่งเกิดความเชื่อบางอย่างเช่น เพราะมีผู้นำเป็นหญิงเลยเป็นกาลกิณีบ้าง หรือเพราะทำนายบ้าง อะไรพวกนี้ที่แสดงให้อาการขาดสติของผู้คนในยุคข่าวสารไปเร็วได้ชัดแจ้ง 
 
                ยิ่งเราเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกาและประเทศไทย เราจะเห็นว่า บุคคลที่มักจะเกิดอาการตื่นตูมก่อนจะเป็นคนชนชั้นกลางที่รับข่าวสารได้ไวจนไม่เกิดการไตร่ตรองหาความจริงและหวาดกลัว โทษนู้นนี้ไปตลอดเวลา 
 
                 ส่งผลให้เหตุการณ์มันเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ
 
                 อย่างเช่นในหนังเราจะเห็นว่า ทหารหนุ่มคนหนึ่งพยายามจะบอกความจริงเกี่ยวกับหมอกนี้ว่า มันไม่ได้เกิดเพราะพระเจ้าลงโทษอะไรหรอก แต่เป็นเพราะพวกทหารกำลังทำการทดลองเปิดประตูมิติอยู่ แต่เกิดพลาดทำให้สัตว์ประหลาดพวกนี้หลุดออกมา 
 
               แต่นั้นสายเกินไปแล้วครับ เพราะคนในซุปเปอร์มาร์เก็ตดันไม่เชื่อและหาว่าเขาเป็นคนบาปที่จะต้องรับผิดชอบด้วยการส่งไปให้สัตว์ประหลาดในหมอกกินเพื่อคลายพิโรธพระเจ้าซะงั้น
 
               จึงเป็นการบอกในวิกฤตเช่นนี้ไม่มีใครฟังความจริงทั้งนั้นหรอกครับ มีแต่ความเชื่อเท่านั้นเอง
 
               
               อ๋อ อย่าคิดนะครับว่า พระเอกในเรื่องจะทำอะไรได้เพราะ เขาเองก็ทำได้แค่ยืนกอดลูกปลอบไปเท่านั้นโดยไม่ได้ช่วยเหลือใครเลยเพราะกลัวกระแสสังคมจะเล่นงานเอาน่ะสิครับ 
 
             ซึ่งหนังก็บอกเราแล้วว่า พระเอกนั้นก็อยากช่วยเหมือนกันครับ ที่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะอยู่เฉย ๆ และปล่อยให้คนตายต่อหน้าไปแบบนั้นโดยไม่ทำอะไรเลย จนกระทั่งมาถึงตัวนั้นแหละ เจ้าตัวถึงได้ลุกขึ้นสู้
 
              นี่เองที่ทำให้เราเห็นภาพของสังคมอเมริกันในยุคหลังวันที่ 11 กันยายนว่า มีลักษณะเป็นสังคมที่หวาดกลัวต่อความไม่รู้ของตัวเอง และความหวาดกลัวนั้นเองได้ให้ผู้คนปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในใจออกมานั้นก็คือ จะยังไงก็ได้ขอให้รอดได้เป็นพอ คนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่าง 
 
                หนังจึงบอกเล่าว่า ใต้กระจกหนาและซุปเปอร์มาร์เก็ตนี้ก็ใช่จะปลอดภัยเหมือนกัน
 
 
                 กระนั้นหนังเรื่องนี้ก็ยังถูกกล่าวขานถึงตอนจบของเรื่องที่ทุกคนจะต้องงุนงงว่า ทำไมถึงจะต้องจบลงอย่างนั้น เมื่อพระเอกขับรถหนีออกมาจากหมอกนี้ได้พร้อมกับผู้รอดชีวิตอีกสี่คนที่ตามเขามาด้วย น้ำมันรถดันหมดท่ามกลางหมอกควันที่ไม่ได้จางหายไป บนหัวของพวกเขาก็พึ่งมีสัตว์ประหลาดยักษ์เดินผ่านไป ด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง เขาหยิบปืนที่มีกระสุนเพียงสี่นัดขึ้นมาแล้วถามว่า ใครจะให้เขายิงบ้าง เพราะไม่รู้ว่าจะหนีรอดไปได้ยังไง ปรากฏว่า ทุกคนยินยอม พระเอกจึงระดมกระสุนปืนใส่ทั้งสี่คนรวมทั้งลูกชายของเขาแล้ววิ่งออกไปด้านนอกรถ หวังจะสัตว์ประหลาดฆ่าเขาให้ตาย
แต่เปล่าเลยครับ
 
                  จู่ ๆ หมอกก็หายไปเองพร้อมกับสภาพป่าที่มีไฟเต็มไปหมด รถทหารขับผ่านไปโดยมีหญิงสาวที่ออกไปตามหาลูกของตนเองกลางหมอกมองลงมาที่เขาด้วยสายตาเวทนา
 
                 พร้อมกับเสียงร้องของพระเอกที่บอกว่า พระเจ้าไม่รักเรา
 
                ซึ่งตรงนี้ได้กลายเป็นตอนจบที่แสนสิ้นหวังของคนดูไปเลยทีเดียว ซึ่งแตกต่างจากตอนจบของคิงที่เลือกให้พวกเขาขับรถฝ่าหมอกไป โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น 
 
                แต่แฟรงค์ ดาราบ๊องกลับเปลี่ยนมันครับ
 
                จนทำให้หนังเรื่องนี้สิ้นหวังอย่างที่สุด
 
 
                สิ่งที่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ก็คือคำพูดที่ว่า มนุษย์เป็นรักตัวเองยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น พวกเขาไม่เคยสนใจว่าใครจะเป็นตายอย่างไร ปลุกปั่นง่ายในเรื่องที่ไม่เป็นความจริงและที่สำคัญพวกเขาเห็นแก่ตัวในยามวิกฤตเสมอ ๆ 
 
                ดังนั้น The Mist จึงเป็นหนังตีแผ่จิตใจของมนุษย์และวิพากษ์สังคมมนุษย์ไม่ใช่แค่เพียงอเมริกันชนแต่เป็นมนุษย์ทั่วท่ามกลางวิกฤตได้อย่างลึกซึ้งและน่าค้นหาอย่างยิ่ง ส่งผลให้แม้หนังจะออกฉายมาหลายสิบปีแล้ว มันก็ยังมีความทันสมัยอยู่จนถึงปัจจุบัน
 
              ราวกับเมฆหมอกนอกซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่ได้จางหายไปเลย

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ