Skip to main content

            สวัสดีปีใหม่ครับ

                กล่าวทักทายแบบนี้แสดงว่า เราเข้าสู่ช่วงปีใหม่กันอีกแล้ว ซึ่งในระหว่างที่เขียนบทความนี้ก็เข้าสู่ปี 2017 มาได้สักพักแล้ว และอายุของบล็อกกาซีนนี้ก็มีอายุมาประมาณ 4 ปีแล้วครับ เรียกว่า เขียนที่นี่มาได้นานแล้ว ต้องขอบคุณทางประชาไทที่ให้โอกาสครับ ถึงจะไปไปมามาบ้างตามสภาพ แต่ผมก็จะพยายามมาเขียนให้อ่านเสมอ ๆ นะครับ

                ในปี 2016 นั้น วงการภาพยนตร์นั้นมีภาพยนตร์มากมายถูกนำมาฉายและผลิตจำหน่ายให้เราดูกันอย่างมากมาย จะว่าไปปีที่แล้วเป็นปีที่ผมดูหนังในโรงเยอะกว่าแผ่นเหตุผลคือ ไม่ค่อยมีเวลาเปิดดูที่บ้านน่ะครับเลยอาศัยดูหนังในระหว่างออกไปข้างนอกแทน ทำให้ปีนี้มีหนังที่มีโอกาสได้ดูเยอะทีเดียวครับ

                ซึ่งก็เหมือนเดิมครับ มันก็มีหนังที่ดูแล้วคุ้มค่า ดูแล้วน่าเอาเก็บมาคิด ดูแล้วน่าโมโหเหมือนเดิม ซึ่งนี่คือการจัดอันดับว่า ในปีนี้ผมได้ดูหนังเรื่องอะไรบ้าง และประทับใจแต่ล่ะเรื่องแบบไหนครับ

 

10. The Bodyguard (แตะไม่ได้ตาย ไม่เป็น) (หงจินเป่า)

                น้ำตาไหลคาโรงหนัง ความรู้สึกเหมือนสิ่งที่อยากทำมานานได้เสร็จสมอารมณ์หมาย เหมือนได้เจอเพื่อนที่อยากเจอแล้วเจอกันอีกครั้ง ความรู้สึกของแฟนหนังต่อสู้คงไม่มีอะไรมากได้เห็นหนังที่ปรมาจารย์หรือคนทำหนังต่อสู้ทำออกมาแล้วทำออกมาได้สุดทางจริง ๆ และได้ดูมันบนจอ ความรู้สึกของเราตอนดูหนังเรื่องนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกปลื้มปิ่มกับหนัง ความรู้สึกที่อยากจะหนังหงจินเป่ากำกับและแสดงนำสักครั้งในชีวิต มันเสร็จสมอารมณ์หมายไปแล้ว รู้สึกว่า ตัวเองบรรลุความปรารถนาหลายส่วนไปแล้วทั้ง การดูหนังพี่เจ้ยบนโรงภาพยนตร์ก็ทำไปแล้ว ได้ดูหนังหงจินเป่าในโรงภาพยนตร์ก็ได้ทำแล้ว แถมยังเป็นหนังที่ตอบข้อสงสัยว่า ทำไมเราดูหนังยิปมันภาค 3 แล้วรู้สึกไม่สุดทาง แน่นอนคำตอบคือ หงจินเป่า การทีหงจินเป่าไม่ได้มาคุมคิวบู้ในภาคสามทำให้หนังมันขาดอะไรไปจริง ๆ และคำตอบก็อย่างที่เห็นในเรื่องนี้ที่ทำให้เราร้องแล้วบอกว่า นี่สิ หนังกังฟู ความรู้สึกเก่า ๆ มันกลับมาหมด แถมยังเป็นหนังที่ดูแล้วต้องจบฉาดร้องว่า เราได้เห็นหงจินเป่าทำหนังรำลึกอดีตแล้วเว้ย

หงจินเป่ารับบทเป็นอดีตหน่วยป้องกันตัวเองที่มีชีวิตเพียงลำพังในเมืองชนบทแห่งหนึ่ง เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่อยู่ติดกับชายแดนรัสเซีย (ที่ปกติไม่ค่อยมีหนังพูดถึงเมืองนี้เท่าไหร่นัก) เขาเป็นโรคอัลไซเมอร์อันเกิดจากความรู้สึกผิดในอดีตที่หลานของเขาหายตัวไปและไม่กลับมาเลย ส่วนลูกสาวคนเดียวก็ป่วยตายหลังจากนั้น เรียกได้ว่า ไม่หลงเหลือจุดมุ่งหมายในชีวิตนอกจากอยู่ไปวัน ๆ และเชิดชูเกียรติยศที่ไม่มีใครสนใจ หนังให้หงจินเป่าเป็นตัวละครที่ระทมทุกข์ ความรู้สึกของเขาไม่ต่างกับคนแก่ทั่วไปที่ภาคภูมิใจกับอดีต แต่ไร้จุดหมายกับปัจจุบัน ในขณะที่ชีวิตของเขากำลังจะพังทลาย ตัวของเขาได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่งที่มีพ่อเป็นนักพนันจอมเหลวแหลกที่เข้ามาช่วยเติมเต็มชีวิตของเขา ทว่าวันหนึ่งพ่อของเธอกลับถูกฆ่าตายโดยพวกมาเฟีย ตัวของเด็กสาวก็หายตัวไปด้วย เขาจึงตัดสินใจออกตามหาเธอพร้อมกับต่อสู้กับพวกมาเฟียกลุ่มนี้ให้ได้

ถ้าพูดก็คือ หนังมันมาทรงเดียวกับ the equalizer หรือ The Man form Nowhere นั้นแหละครับ ว่าด้วยความสัมพันธ์ของคนต่างอายุและการไถ่บาป เผอิญหนังของเฮียหงจินเป่ามันเป็นหนังที่มีส่วนผสมความเอเชียแบบจีนมาก ๆ โดยเฉพาะการพูดถึงประเด็นความภาคภูมิใจของจีนที่กลายเป็นเพียงอดีตทิ่มแทงตัวเอง พวกคนแก่ในยุคเหมากลายเป็นคนไร้จุดหมาย ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปหมดสิ้น อำนาจนิยมของพวกเขามิอาจจะเปลี่ยนอะไรได้ในโลกที่ทันสมัยขึ้น ภาพของพวกเขาที่นั่งอยู่ในบ้านและความจำเสื่อมไปทุกทีตอกย้ำเรื่องนี้จะว่าไป มันมีส่วนผสมคล้ายกับ Simple Life ที่หลิวเต๋อหัวเคยเล่นนั้นแหละครับ มันมีอารมณ์การพูดถึงเรื่องนี้ได้ดีมาก ๆ เราดูแล้วรู้สึกว่า ชีวิตของเราในอนาคตจะเป็นเช่นไร แน่นอนว่า หงจินเป่าคือ คนที่อยู่ในโลกอำนาจนิยม ความรุนแรง ความตายมาตลอด เมื่อไร้ซึ่งโลกนั้น เขาเป็นเพียงเสือแก่ที่นั่งมองอดีตด้วยสายตาเจ็บเท่านั้น และตัวเขาต้องมองหาความหมายของชีวิต หลังจากพบว่า ฝีมือการต่อสู้ของเขามันไม่ได้ช่วยปกป้องครอบครัวได้เลย

พูดง่าย ๆ คือ เขาล้มเหลวกับความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เผยว่า เขาไม่เคยรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ความรักในครอบครัวเลย แม้แต่ภรรยายังเป็นการแต่งทางการเมืองหรือแต่งเพราะเขาเป็นสมาชิกกองกำลังป้องกันตัวเองก็เท่านั้น

หนังมันจึงเป็นการพูดถึงการไถ่บาปและการหาความหมายชีวิตที่ชายคนหนึ่งร่อนแรมตามหามาตลอดชีวิต

ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้เจอจนได้

นอกจากเรื่องนี้มีซีนแอ็คชั่นแค่สองฉากเท่านั้น แต่เป็นซีนแอ็คชั่นที่ดีมาก ๆ และน่าจดจำมันทั้งหมด คิวบู้สุดยอด การต่อสู้ที่เป็นตายเท่ากัน บู้และลุ้น จนต้องคารวะ หงจินเป่ายังคงเป็นเสือที่มีเขี้ยวเล็บ การต่อสู้สดใหม่ อาวุธในมือฆ่าได้หมด (ทั้งไพ่นกกระจอก สายคล้องกุญแจ) ที่สุดยอดคือ ใช้ท่ารุนแรงมากจนแบบ เฮ้ย ร้องตลอดเวลา มันคือ การประยุกต์ท่าต่าง ๆ ให้ในการฆ่าได้จริง ๆ (แกเป็นคนที่ทำให้ท่าเพดดีกรีของ HHH ในมวยปล้ำใช้ในการฆ่าได้จริงแล้วโหดโคตร) คิวบู้ดีมาก ๆ จนร้องด่า Fuck ใส่หนังต่อสู้หลายเรื่องว่า ทำไม่ถึงเรื่องนี้อย่ากระแดะ เพราะ เรื่องนี้ทำถึงจริง ๆ และมีไม่กี่เรื่องที่ทำถึงแบบนี้ ดูแล้วคารวะประมาณนี่ล่ะ ปรมาจารย์มาเอง (ฉากตบใส่ตัวร้ายนี่สะใจมาก ๆ)

สรุปคือ เป็นหนังแอ็คชั่นที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของเฮียหงจินเป่า ไม่พอแกกำกับหนังออกมาดราม่าดีมากไม่ฟูมฟายนะ แต่เราร้องไห้ไปกับแกได้ ไม่แปลกที่จะชอบหนังเรื่องนี้เอามาก ๆ ในปีนี้เลยทีเดียว

9. Sword Master ดาบปราบเทวดา (เออตงเฉิน)

          หนึ่งจอมยุทธอันดับหนึ่งผู้เบื่อหน่ายยุทธภพมุ่งใฝ่หาทางสงบ

หนึ่งจอมยุทธผู้ใคร่คว้าซึ่งชื่ออันดับหนึ่งแต่กลับต้องหาที่ตาย

หนึ่งหญิงสาวผู้ทำทุกอย่างเพื่อให้คนรักกลับมาจนตกสู่ความชั่วร้าย

หนึ่งซากเดนชั่วร้าย ผู้ไม่เคยเป็นที่รักแต่ทำทุกอย่างเพื่อคนรัก

หนึ่งหญิงสาวที่มองหาชีวิตใหม่หลังใช้ชีวิตโสมมมาตลอดชีวิต

นี่คือเรื่องราวของเหล่าคนในยุทธภพที่ต่างมีจุดมุ่งหมายคนล่ะอย่างและกำลังจะนำชีวิตมาเผชิญหน้ากันในเรื่องราวแห่งคาวเลือด ความรัก ความแค้น และ ความตาย

            เซอร์ไพรส์แห่งปีครับ ไม่คิดว่ามันจะดีขนาดนี้ต้องบอกว่า เป็นหนังเรื่องท้าย ๆ ของปีที่ดูแล้วประทับใจเอามาก ๆ เหตุผลก็คือ มันคือ หนังที่พาเราไปสำรวจปรัชญาด้านชีวิตและความตายกันแบบตรง ๆ ในโลกของจอมยุทธที่ดูแล้วต้องรู้สึกว่า งานมันลุ่มลึกเอามาก ๆ ในการพูดถึงความเป็นมนุษย์ในตัวละครแบบนี้

                ต้องบอกว่า งานของโกว้เล้งนั้นพาเราไปสำรวจจิตใจของบรรดาตัวละครทั้งหลายได้อย่างเต็มที่แทบไม่มีตัวไหนเป็นฮีโร่เป็นขาวดำชัดแจ้งแบบหนังจอมยุทธปกตินัก ทุกคนในเรื่องต่างเป็นมนุษย์ที่มีดีมีชั่ว มีแง่มุมที่น่าสนใจแทบทั้งสิ้นจนมีความรู้สึกว่า หนังทำให้เราเห็นว่า ความสวยงามของคำว่า คุณธรรมและยุทธภพนั้นไม่ได้มีอยู่จริง พูดกันตรง ๆ เว้ากันซื่อ ๆ ก็คือ มันก็แค่นี้สำหรับมนุษย์เรานี่แหละ

                ความลักลั่นยอนแย้งนี่ล่ะที่หนังพาเราไปไกลมาก ๆ พร้อมกับให้ได้เห็นว่า โลกอันแสนสงบเป็นเช่นไร ความวุ่นวายนั้นอยู่ที่ไหน หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงงานจอมยุทธดี ๆ อย่าง Wu Xia , Ash of time , Kung fu Jungle หรือ กระทั่ง Dragon gate inn ที่พูดถึงปรัชญาของจอมยุทธในความธรรมดาที่ซ่อนอยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า ชีวิต

                ไม่แปลกที่หนังเรื่องนี้จะอยู่ในชาร์ต 10 อันดับหนังในปีนี้ครับ

8. From Bangkok To Mandalay (จากคน ไม่คิดถึง) (ชาติชาย เกษนัส)

                หลังการเสียชีวิตของย่าได้ชักนำให้หญิงสาวคนหนึ่งต้องเดินทางตามรอยจดหมายของย่าที่ทิ้งเอาไว้ เธอเดินทางสู่เมืองพม่าเพื่อตามรอยนั้นพร้อมกับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้ที่ย่าของเธอเคยอุปการะมาก่อน ทั้งสองคนเดินทางตามรอยจดหมายนี้ไปด้วยกันพร้อมกับรับรู้ถึงเรื่องราวความรักของย่าเธอ ความลับที่สวยงามของเมืองพม่า และ พรหมลิขิตที่กำลังพาเธอดำดิ่งสู่ห้วงความทรงจำ ความรัก ที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน

                ถ้าให้เลือกหนังไทยที่ดีที่สุดในปีนี้จะต้องมีชื่อของหนังเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เหตุผลคือ มันเป็นหนังที่หาได้ยากยิ่งในยุคปัจจุบันที่จะทำหนังแบบนี้ โดยเฉพาะการร่วมทุนสร้างระหว่างไทยกับพม่า และมีตัวละครสองฝั่งเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ชาติตัวเองผ่านหนังไปด้วยกัน ซึ่งตัวหนังมันพาเราไปให้เห็นภาพความสวยงามและเจ็บปวดของสิ่งที่เรียกว่า อดีต เรื่องราวของการพังทลายของความรัก ความตาย และการเดินทางอื่น ๆ ที่สุดแล้วบทสรุปของมันคือ การพาเราไปตั้งคำถามว่า สุดท้ายแล้วเรื่องราวของคนเรามันไม่ได้จบลงแค่นั้น ความทรงจำมันยังคงอยู่ตลอดกาล

                แบบที่นางเอกได้ตามหาความทรงจำของคุณย่าของเธอและนำมาใช้ในการปรับชีวิตของตัวเองนั้นแหละ

                สิ่งที่ดีในหนังคือ การให้เห็นภาพการพังทลายของสิ่งที่เรียกว่า ชนชั้นสูง บรรดาผู้คนที่เชื่อว่า ตัวเองจะคงอยู่ไม่สลายไปนั้นแหละคือ ภาพของซากเหง้าที่แทนด้วยโบราณสถานของพม่าที่แม้สวยงามแต่มันก็บ่งบอกถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว

                ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ได้ ยกเว้นเพียงความทรงจำที่สวยงามเท่านั้นเอง

                แน่นอนว่า แม้ช่วงเวลาของรุ่นปัจจุบันจะทำให้หนังยืดไปสักนิด (จนน่าเบื่อ) แต่ช่วงเวลาของอดีตกลับเป็นช่วงที่ดีและน่าจดจำ ความรักที่ไม่สมหวัง การเดินทางจดหมายที่ทรงผ่านความทรงจำในแต่ล่ะรุ่นให้กันและกัน คือสิ่งที่หนังต้องการจะบอกเรา

                ไม่ต่างกับ Sword Master ไม่ต่างกับ Kimi No nawa มันพูดถึงความรักและความทรงจำที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นได้ดีเอามาก ๆ เลยนะ

                เสียดายที่หนังไม่ทำเงินด้วยเหตุผลบางอย่างของประเทศนี้ที่โรงหนังทำลายระบบของมันไปจนหมดสิ้นนี่ล่ะ เราจึงไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในวงกว้างกันนั้นเอง

7. Take Mo Home (สุขสันต์ วันกลับบ้าน) (ก้องเกียรติ โขมศิริ)

                หนังผีไทยที่ดีที่สุดแห่งปี และ ไม่น่าจะมีหนังผีเรื่องไหนกล้าทำแบบนี้เท่าไหร่หรอก เพราะ มันคือ หนังผีที่ฉีกทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น พูดง่าย ๆ คุณไม่มีวันได้ดูหนังผีแนวนี้แน่ ๆ ในหนังไทยปกติ

                แทน เด็กหนุ่มผู้เสียความจำต้องกลับมาที่บ้านของตัวเองอีกครั้ง แน่นอนว่า แทนคือ ภาพของตัวละครที่ต้องวิ่งกลับมาหาอดีตที่ตัวเองไม่อยากจดจำ เขากลับมาบ้านและพบกับความผิดปกติ ทั้งพี่สาวฝาแฝด ครอบครัวใหม่ของพี่สาว และ ความทรงจำที่ขาด ๆ หาย ๆ รวมทั้งสิ่งลี้ลับที่อาศัยอยู่ในบ้าน ทุกอย่างกลายเป็นสิ่งที่แทนต้องประติประจ่อว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

                หากจะนิยามหนังเรื่องนี้เราสามารถจัดหนังสยองขวัญเรื่องนี้ให้อยู่ในระนาบเดียวกับ 1408 + oculus + ลัดดาแลนด์ ไปได้อย่างไม่ขัดเขินโดยเฉพาะการพูดถึงสิ่งของหรือสถานที่ที่กลายเป็นความชั่วร้ายอันเกิดจากการกระทำของคนจนทำให้พื้นที่นั้นเป็นสิ่งชั่วร้ายได้อย่างไม่ขัดเขิน ความน่าสนใจของหนังของการพูดถึงวิญญาณในเชิงการตั้งคำถามว่า สุดท้ายแล้ววิญญาณมีตัวตนจริง ๆ หรือเป็นเพียงความทรงจำเศษเสี้ยวทีตัวสิ่งของได้บันทึกเอาไว้

1408 เล่าเรื่องความตายในห้องแห่งนี้ที่ตัวห้องมีความชั่วร้ายที่สามารถล่อลวงคนให้ฆ่าตัวตายเพื่อเป็นพลังงานให้มันอยู่ต่อ Oculus เองก็ไม่ต่างกันมันเล่าเรื่องกระจกที่สะท้อนความตายของผู้คนและดูดกลืนมันมาเป็นพลังงานชีวิตของพวกมันเอง ส่วนลัดดาแลนด์เองก็เล่าเรื่องบ้านที่ผีสิงและส่งผลให้คนรอบข้างพังทลายอันไม่ต่างกับระบอบทุนนิยมที่กัดกินคนจนไม่เหลือวิญญาณ หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นภาพของมนุษย์ที่พังทลายอันเนื่องจากระบบทุนนิยมที่ทำลายพวกเขาจนเละเทะ หากจะตีความหมาย การที่ตัวบ้านยังมีผีอาศัยอยู่นั้นไม่ต่างกับระบอบตัวนี้ที่สืบทอดความเลวร้ายเอาไว้และพังทลายเหล่ามนุษย์ชนชั้นกลางให้ต้องสังเวยตัวเองให้มัน แบบเดียวกับที่ตัวละครในลัดดาแลนด์ได้เผชิญหน้านั้นเอง

เอาจริง Take Me Home เป็นเสมือนงานต่อยอดของงานเดิมของก้องเกียรติสามเรื่องได้แก่ ลองของ เฉือน หรือ เป็นชู้กับผี (ซึ่งก้องเกียรติ เขียนบท) ความต่อยอดงานนั้นคือ การตั้งคำถามว่า ชีวิตมนุษย์เรานั้นเป็นเช่นไร เราต้องบอกว่า ลองของคือ การพูดถึงลูบการวนเวียนของกิเลศตัณหาที่ไม่มีใครถูกผิดแต่ลงมัวเมาไปด้วยกัน (แม้กระทั่งฆาตกรอย่างครุพนอก็เป็นทั้งเหยื่อตัวตนเหตุ) เฉือนเล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงของชนบทและเมืองในวังวนของความงดงามทางมายาคติชนบทที่พังทลาย แม้กระทั่งเป็นชู้กับผีเองที่เล่าเรื่องสยองขวัญในเชิงศาสนาว่าด้วยการวนเวียนของวิญญาณที่ไม่มีวันจบ ครั้งนี้ก้องเกียรติพาเราไปสานต่อประเด็นนี้อีกครั้งหนึ่ง

และครั้งนี้พาไปไกลมากเหมือนกัน

สิ่งที่เราเห็นชัดคือ การที่หนังมันซัดโครมใส่คนดูราวกับเอาเก้าอี้ฟาดใส่หลายครั้งบอกว่า นี่คือ การพูดถึงครอบครัวทีพังทลาย ลัดดาแลนด์ล่มสลายลงไม่ใช่เพราะ ผี แต่เป็นเพราะครอบครัวนั้นไม่มีวันเพอร์เฟ็กซ์ ใครก็ตามที่คิดว่า การมีบ้าน มีรถ มีชีวิตอันแสนสงบประดุจดั่งโฆษณาขายบ้านนั้นคงต้องคิดใหม่ไม่ต่างกับที่ก้องเกียรติพาเราไปรื้อสร้างชนบทให้ดูน่ากลัว ให้วัยเด็กกลายเป็นชิบหายจนหนังแฟนฉันต้องถูกโยนลงทิ้งน้ำ ทุกครั้งก้องเกียรติพาเราไปให้เห็นว่า ไม่มีอะไรจีรัง หรือจริงแท้ แม้กระทั่งวิญญาณเองก็ตาม พวกผีเองก็มิอาจจะหลุดพ้นไปจากวังวนและความตายได้

ความตายไม่นิรันดร์ ทุกอย่างมีเกิดและดับไปตามกาลเวลา มันอาจจะเป็นคำตอบในเป็นชู้กับผีที่แสดงให้ภาพการล่มสลายของความงดงามของสังคมอุดมคติทั้งหลายก็เป็นได้

ด้วยเหตุนี้เองนี่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังสยองขวัญชั้นดีของไทย เป็นหนังที่คนไทยควรจะไปดูอย่างยิ่งว่า หนังผีที่ดีนั้นควรเป็นแบบไหน ไม่ใช่แค่ทำเสียงโครมคราม ตึงตังใส่คนดูให้สะดุ้งเท่านั้น แต่มันควรแสดงความวิปราศของคนทำให้เห็นได้ชัดแจ้งด้วย (หนังแทบจะเรียกว่า น่ากลัวทั้งบรรยากาศ การจัดวาง งามเมคอัพ และจังหวัดหลอกผีที่ควรนำไปศึกษา) รวมทั้งการพยายามเล่าเรื่องของมันที่แม้ไม่แปลกใหมแต่ก็ตรงจุดและไปสุดทางประดุจเล่นเกมกับคนดูแทบตลอดเวลา

เสียดายที่หนังดีเรื่องนี้ เป็นหนึ่งในที่ล้มเหลวทางรายได้ทั้งที่มันน่าพอใจและควรจะได้เงินมากกว่านี้ด้วยซ้ำ

6. The Shallow (นรกน้ำตื้น) (jaume Collet-Serra)

            นี่สิ Best Horror Of The Years เป็นหนังที่ทำให้ฉลามกลับมาดูโหดอีกครั้ง หลังจากผ่าเหล่าไปมีสามหัวบ้าง สองหัวบ้าง บินได้บ้างมาหลายปี ในที่สุดฉลามก็กลับมาสมศักดิ์ศรีอีกครั้งในเรื่องนี้

ความรู้สึกว่า ทะเลมันน่ากลัวกลับมาแล้ว

เรื่องราวของหญิงสาวนามว่า แนนซี่ ที่ไปเล่นเซริ์ฟในหาดแห่งหนึ่งในเม็กซิโกเพียงคนเดียวเพื่อตามรอยแม่ของเธอที่พึ่งเสียไปกลับกลายเป็นฝันร้ายเมื่อ เธอต้องเผชิญหน้ากับฉลามโหดที่เข้าโจมตีเธออย่างบ้าคลั่ง ชนิดว่ายกลับเข้าฝั่งก็ไม่ได้ เธอต้องอยู่บนโขดหินที่น้ำจะค่อย ๆ ขึ้นมาทีล่ะน้อย เธอต้องรวบรวมความกล้าในใจเพื่อหาทางเอาตัวรอดไปจากที่นี่ให้ได้ โดยมีเจ้าฉลามยักษ์รอคอยเธออยู่

เอาจริง หนังมันไม่มีอะไรแปลกใหม่หรอกครับ เราดูหนังแนวนี้กันมาบ่อย ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Jaws หรือ Rouge ที่พาเราไปเจอกับตัวละครติดกับ ทะเลสีครามที่แสนอันตรายที่บอกเราว่า อย่าประมาทกับทุกสิ่ง เพราะ สิ่งที่เราเห็นนั้นก้คือ ธรรมชาติที่โหดร้ายและรอคอยที่จะคร่าชีวิตมนุษย์ได้เสมอ

หนังได้แรงบันดาลใจบ้างส่วนมากจากเรื่องจริงของนักเซริ์ฟหญิงคนหนึ่งที่ถูกฉลามทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส แต่ก็รอดมาได้ ตัวผู้กำกับนำเรื่องนี้มาปรุงแต่งเสียใหม่โดยเล่าเรื่องหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังไม่รู้ว่าจะไปไหนดีในชีวิต ภายหลังการตายของแม่ ที่ทำให้เธอเคว้งไปถนัดตา เหมือนไม่รู้จะไปไหนดี และเหตุการณ์นี้กำลังทดสอบจิตใจของเธอที่กำลังสับสนว่า ตัวเธอควรจะมีชีวิตต่อหรือไม่

หนังให้เราเห็นครอบครัวของเธอและเรื่องราวชีวิตของเธอในเชิงเคียงข้างและให้เราลุ้นว่า เธอจะเอาตัวรอดยังไงในสถานการณ์นี้ ซึ่งหนังวางจังหวะของหนังได้สนุกดี หลังจากให้เราสบายตาไปกับชีวิตของเธอการเล่นเซริฟกันส่วยงามแล้ว หนังก็จัดหนักให้เราลุ้นว่า นางเอกจะเอาตัวรอดยังไง แน่ล่ะผู้กำกับเก่งมาก ต้องบอกว่า เขาเข้าใจดีว่าจะทำยังไงให้คนรู้สึกกลัวรู้สึกลุ้นไปกับนางเอก ทุกอย่างที่ใส่ลงมามีผลและมีส่วนที่ทำให้เราลุ้นได้ตลอด ผมชอบที่หนังมันใช้ทฤษฏีวางระเบิดหลอกล่อเราแล้วให้เห็นว่า นางเอกจะเอาตัวรอดได้อย่างไร

ต้องปรบมือว่า ผู้กำกับนั้นเก่งมากและสมกับเป็นนักทำหนังสายระทึกขวัญสยองขวัญจริง ๆ หลังจากเล่นใหญ่และไม่ประสบความสำเร็จใน Run All Night ไป ครั้งนี้เขากลับมาเล่นกับบทหนังระทึกขวัญแบบนี้บ้าง แต่อย่างที่เห็น เขาทำได้และเต็มที่มาก ๆ จนเรารู้สึกว่า นี่แหละ หนังสยองขวัญ ที่เรารอคอยทีเดียว

                นับจาก Jaws และ Deep Blue Sea ก็มีฉลามเรื่องนี้แหละที่ทำให้เรารู้สึกกลัวขึ้นมาได้จริง ๆ

5. Sadako Vs Kayako (ซาดาโกะ Vs คายาโกะ ดุนรกแตก) (Kôji Shiraishi)

                สองนักศึกษาสาวได้บังเอิญไปได้วีดีโอเก่าจากร้านขายของเก่าแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนเปิดดูก่อนพบว่า มันคือวีดีโอต้องคำสาปที่คนดูมันจะต้องตายใน 2 วัน พวกเธอได้หาทางที่จะเอาตัวรอดจากคำสาปนี้ไปให้ได้ เช่นเดียวกับสาวน้อยคนหนึ่งที่พบว่า ตัวเองกำลังถูกบ้านอาถรรพ์เรียกตัวเธอให้เข้าด้านในนั้น และเธอกำลังต้องคำสาปผีสองแม่ลูกคายาโกะและโทชิโอะ เข้าพอดี เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมีคำสาปมรณะที่กำลังตามติดทั้งสองคนอยู่นั้นทำให้หมอผีเคียวโซตัดสินใจใช้แผนคำสาปทั้งสองอย่างมีฤทธิ์ทำลายกันแลกกันด้วยการให้ทั้งคายาโกะและซาดาโกะสู้กันเท่านั้น

หรือนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่คำสาปมรณะทั้งสองจะจบลง ?

หลายคนงงว่า เฮ้ย เรื่องนี้มันดีขนาดมาติดอันดับ 5 เลยเหรอ คำตอบคือ มันคัลท์หลุดโลกจนลืมไม่ลงจริง ๆ มานั่งคิด ๆ แล้ว เรื่องนี้ยังไงก็ต้องติดล่ะว่า มันสุดยอดจริง ๆ การจับผีในตำนานสองตัวนี้มาเจอกันนี่ หลุดโลกไปมาก แต่ไปแบบสนุกจริง ๆ แถมคัลท์แบบไม่ต้องคิดอะไรด้วยนะ

เอาจริงแล้วเรียกว่า สนุกกว่า หนังผีภาคต่อหลัง ๆ ของเรื่องนี้ซะอีก เพราะ ผมคิดว่า สิ่งที่ดีคือ การที่หนังมันทำขึ้นเพื่อคารวะและแสดงถึงตำนานของ J-Horror ที่เริ่มต้นด้วยซาดาโกะก่อนจะมาถึงคายาโกะที่เป็นผีที่ถูกสร้างขึ้นมาในตอนนั้น ทั้งสองผีนั้นต่างมีอาณาเขตและความเฮี้ยนที่ไม่มีใครเอาชนะได้แทบทั้งคู่ แต่กระนั้นเองยิ่งสร้างก็ยิ่งพังไปทีล่ะน้อยจนกระทั่งหนังมันเปลี่ยนสภาพเป็นหนังตลกที่หลายคนบอกว่า มันน่ากลัวตรงไหนในยุคนี้

หลายคนบอกว่า มันหมดความขลังไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาคต่อหรือรีบู้ทสร้างจักรวาลใหม่เรื่องราวของสองเรื่องนี้ก็สภาพเป็นเสมือนแฟรนไชส์ที่ตายแล้ว มันมีภาพเหมือนผีที่เริ่มหมดไปสภาพไปทุกนาที การพยายามจะดึงมันกลับมาเป็นเสมือนการทำร้ายหมดขลังมันจนหมดสิ้นเหมือนกัน แน่ล่ะว่า หนังภาคนี้สะท้อนให้เห็นกันชัดแจ้งถึงจุดสูงสุดและจุดตกต่ำของหนังแบบชัดเจน จากหนังผีที่เน้นเห็นน้อย หรือ ไม่เน้นฉากฆาตกรรมสยองขวัญแบบจะ ๆ กลายเป็นหนังเลือดสาดฆ่ากันมั่วในช่วงท้ายก็ยิ่งให้เราเห็นว่า หนังในยุคหลังมันแปรสภาพผีทั้งสองไปตามยุคที่โลกมันรุนแรงขึ้นและโหดร้ายขึ้น ความเงียบและน้อยของหนังผีสองเรื่องมันพังไปแล้วตามกาลเวลา และเข้าสู่ยุคฆ่าโหด ๆ แทน หนังพาเรามาเห็นจุดที่ทำให้หนังเรื่องนี้ตกต่ำไปทุกนาทีได้ชัดเจน ผลออกมาคือ หนังช่วงหลังมันกลายเป็นสภาพเป็นหนังตลกไปเป็นที่เรียบร้อย

ซึ่งนั่นแหละ ตัวสนุกของหนังเลยล่ะ

เพราะเอาจริงหนังมันเขียนบทขึ้นมาแบบหลวม ๆ ใส่เรื่องราวเข้าไปให้โลกสองใบเกิดขึ้นเป็นหนึ่งเดียว ทั้งคายาโกะและซาดาโกะกลายเป็นตำนานเมืองไปแล้ว และทั้งคู่มีตัวตนของกันและกัน ส่วนที่ดีคือ อันนี้แหละครับที่เราได้เห็นการพยมายามพลิกแพลงกฏหลายอย่างในหนังทั้งสองเรื่องที่ออกมาแล้วเออแหะเข้าใจเขียน แถมยังเรียกว่าดัดแปลงเพื่อบอกว่า อย่าไปคิดอะไรมากน่า ดูให้สนุกเถอะ เพราะนี่เป็นเหมือน Another Story ที่ทำมาเพื่อความสนุกของแฟน ๆจริง ๆ

ความคัลท์นี่แหละเลยติดอันดับ และ รอซื้อแผ่นมาบูชากันอยู่ตอนนี้ครับ 555

4. Train to Busan  (ด่วนนรกซอมบี้คลั่ง) (Sang-ho Yeon)

            คงไม่ต้องบอกมั้งครับว่า นี่คือ หนังที่ทำให้ระบบการขายหนังในประเทศไทยพังชิบหายวายป่วงที่สุด เพราะ พูดตรง ๆ มันเป็นหนังที่แทบไม่มีแต้มต่อใด ๆ เลย ตั้งแต่หนังเกาหลีมันตายไปจากประเทศไทยแล้ว ถูกโรงส่งฉายในช่วงที่หนังฮอลลีวู้ดเต็มเมืองไปหมด และ แถมได้รอบน้อยอีกต่างหาก แต่ กระนั้นเอง ตัวหนังเองก็มีดีมากพอที่จะ ฝ่าฝันไปด้วย และด้วยกระแสปากต่อปากช่วยกันในอินเตอร์เน็ตทำงานส่งผลให้หนังกลายเป็นหนังเกาหลีทำเงินสูงสุดในประเทศนี้ไปแล้ว

                เอาเป็นว่า คงไม่ต้องพูดอะไรมากนอกจากบอกว่า นี่คือ หนังเกาหลีที่ช่วยทำให้วงการหนังเกาหลีมาคึกคักอีกครั้ง และไม่แปลกจะมีขบวนพาเหรดหนังเกาหลีเข้ามาฉายให้เราดูเรื่อย ๆ นับจากบัดนี้เป็นต้นมา

                บทความฉบับยาวของเรื่องนี้ครับ (ใครสนใจเชิญเลยครับ)

                https://blogazine.pub/blogs/misteramerican/post/5837

3. Captain America Civil War ((กัปตันอเมริกา: ศึกฮีโร่ระห่ำโลก) (Anthony Russo, Joe Russo)

            คงไม่ต้องบอกว่า กัปตันอเมริกาภาคนี้ถูกจัดให้เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดในปีนี้ไปแล้วแบบเอกฉันท์ด้วยเหตุผลว่า มันนำพาความเป็นมนุษย์มาสู่เรื่องราวของซุปเปอร์ฮีโร่ได้ดีที่สุด แถมเรื่องราวยังมืดมนสมกับเป็นหนังมาร์เวลที่หลายคนรอคอยแก้ตัวจากความล้มเหลวของ Avenger 2 ได้อย่างดีทีเดียว แถมยังทำให้จักรวาลมาร์เวลรีเซ็ทกันไปสร้างเรื่องราวใหม่ ๆ กันได้น่าสนใจทีเดียว

                คำถามที่หนังพยายามถามนั้นก็คือ

                สรุปแล้วทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นเพราะอะไรกันแน่ ?

โทนี่ สตาร์คเองก็ไม่มีวันรู้คำตอบว่า อะไรกันแน่ที่ทำให้โลกใบนี้ไม่สงบสุข นับตั้งแต่เขาสวมชุดไอออนแมนเมื่อ 8 ปี ก็มีผู้มีพลังวิเศษ มีเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่เกิดขึ้นอย่างมากมาย แถมปริมานงานของเหล่าบรรดาฮีโร่ก็มาขึ้นเป็นเงาตามตัวทั้งการมาของไฮดร้า โลกิ อัลทรอน และบรรดาตัวร้ายอีกมากมายที่ขยันสร้างความเลวร้ายให้กับโลกใบนี้จนเกิดทีมซุปเปอร์ฮีโร่ขึ้นมา กระนั้นโลกก็ไม่มีความสงบสักที แถมพวกเหล่าร้ายก็ยิ่งขยันสร้างเรื่องให้ทำให้อเวนเจอร์ต้องปฏิบัติการนอกกรอบมากขึ้น รุนแรงขึ้นจนหลายครั้งมีคนตายเกิดขึ้นมากมายจนต้องมีการร่างสัญญาให้อเวนเจอร์อยู่เป็นหน่วยงานในสหประชาติขึ้นมานั่นเอง

ปัญหาหลักก็คือ หนังภาคนี้มันสะท้อนให้เราเห็นว่า ฮีโร่ในเรื่องทุกคนนั้นก้เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น พวกเขาไม่ได้สูงส่ง ไม่ได้มีคุณธรรมอะไรขนาดนั้น พวกเขาเป็นแค่มนุษย์ที่มีความรัก โลภ โกรธ หลง และ มีความแค้นส่วนตัว หนังเรียกความเป็นมนุษย์จากเหล่าอเวนเจอร์เหล่านี้ ไม่ให้กลายเป็นเทพสำหรับการบูชาอีกแล้ว เราเห็นภาพความสิ้นหวัง ไม่สิ มองเห็นภาพว่า เราไม่สามารถไว้ใจ หรือบูชาพวกเขาในฐานะพระเจ้า หรือ คนดีบริสุทธิ์ได้อีกต่อไป

พูดง่าย ๆ ก็คือ สถานะโร่ของพวกเขาถูกกะเทาะปลอกเปลือกจนหมดสภาพไปแล้ว ไม่มีใครมีสถานะบริสุทธิ์อีกต่อไป พวกเขาเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีภาพของความโกรธแค้น ความอาฆาตมาดร้าย ความรู้สึกผิด ความเจ็บปวด อันเกิดจากการที่ความเชื่อมั่นทั้งหมดของตัวเองถูกทำลาย สถานะของสงครามกลางเมืองครั้งนี้จึงเป็นภาพของรัฐร่วมศูนย์ความดีความเป็นฮีโร่ถูกพินาศไม่มีชิ้นดีอย่างที่สุด

ต้องบอกว่า เป็นการกะเทาะหน้ากากของเหล่าฮีโร่ทั้งหลายจนหมดสิ้น

การยกพวกตีกันบ่งบอกถึงอุดมการณ์ของแต่ล่ะฝ่ายที่แตกกันไม่หลงเหลือ คนหนึ่งศรัทธาในระบบ คนหนึ่งมองเห็นภาพอุดมการณ์ที่ควรจะต้องมีคนควบคุม ทว่า สถานะของหนังเรื่องนี้เล่าถึงเหยื่อโดยแท้จริง

ใครคือ เหยื่อที่แท้จริงในเรื่องนี้

ซีโม่ เป็นตัวละครที่น่าจะเป็นหนึ่งในมาสเตอร์พีชของมาร์เวลในการสร้างตัวร้ายที่น่าเห็นใจและคนไม่ได้อยากเห็นเขาตาย เขาเป็นคนหนึ่งที่เหมือนกับเรา ๆ ท่าน ๆ ที่เคยเชื่อมั่นในคุณความดี เชื่อมั่นในฮีโร่แบบที่ลูก ๆ เขาเชื่อมาตลอด แต่สิ่งที่เขาได้รับคือ ความสูญเสียที่เขาพยายามถามหาว่า ใครควรจะรับผิดชอบกับเหตุการณ์ครั้งนี้ มันย้อนกลับไปถามถึงกระทำทั้งหมดที่ถามว่า ทั้งหมดนี้ใครล่ะทีควรรับผิดชอบ ทีมอเวนเจอร์ควรจะต้องได้รับการลงโทษไหม หากพวกเขาทำงานพลาดและมีคนตายจำนวนมากแบบนี้

อย่างที่บอกสถานะความดีของพวกเขาถูกสั่นคลอนอย่างที่สุดชนิดไม่หลงเหลือความบริสุทธิ์ ผู้คนหวาดระแวงกับการมาของพวกเขา การกระทำของเขาควรมีคนตรวจสอบ

Who Watch The Watchmen มันคือ สิ่งที่ถูกย้ำตอกมาหลายครั้งแล้วว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ทุกอำนาจต้องมีการตรวจสอบ เพราะเราไม่อาจจะไว้ใจคนเหล่านี้ได้เลย อย่างที่เห็นทุกคนทำทุกอย่างตามอำเภอใจ แถมยังมองกฎหมายให้มีสภาพไร้สาระและพูดง่าย ๆ ว่า ทุกคนไม่ได้ยึดโยงเข้ากับสิ่งเดียวกัน

เอาจริง ๆ ฮีโร่นั้นหากไม่มีกฎหมายก็คือ ศาลเตี้ยอันหนึ่ง ไม่มีใครมอบอำนาจพิเศษให้พวกนั้นทำหน้าที่แทน เพราะ ไม่มีใครไปตรวจสอบอย่างที่เราเห็น กัปตันอเมริกาทำทุกอย่างตามอำเภอใจเพราะจะช่วยเพื่อน (แม้ว่า จะเป็นการช่วยเหลือที่ทำให้หลายอย่างวุ่นวายก็ตาม แถมยังมีคนตายด้วย) มันคือภาพที่ให้เห็นว่า เราไว้ใจใครไม่ได้ และช่วยตอกย้ำว่า การมีฮีโร่คือ สถานะของกฎหมายที่พังทลายและอ่อนแอไปในที่สุด

หากจะพูดก็คือ กัปตันอเมริกาภาคนี้ตอกย้ำสิ่งที่เราพูดก็คือ เรามิอาจจะไว้วางใจอำนาจพิเศษใด ๆ แบบที่กัปตันตั้งคำถามกับชีลด์หรือเฮลิเออร์ในภาคสองว่า มันกำลังสร้างความกลัว ฮีโร่อย่างพวกเขาก็ไม่ต่างกับระเบิดนิวเคลียร์ที่สร้างความกลัวและอำนาจให้กับคนอื่นเช่นกัน (นึกภาพคำพูดที่ว่า พระเจ้าอยู่ข้างอเมริกา และซุปเปอร์ฮีโร่คือ อเมริกันชนสิ มันทำให้เรารู้สึกว่า ประเทศที่มีไออนแมน กัปตันอเมริกา ฮัลค์ อเวนเจอร์ นั้นดูไม่น่าวางใจและเป็นภัยคุกคามของโลกได้เช่นกัน) ครั้งนี้เราได้ตั้งคำถามเดิมอีกครั้งว่า อะไรล่ะที่ทำให้โลกใบนี้มีคนอย่าง ไอออนแมน สไปเดอร์แมน แบล็คแพนเตอร์ กัปตันอเมริกา และฮีโร่อื่น ๆ ขึ้นมากันเล่า

ถ้ากฎหมายและระบบมันเข้มแข็งจริง ๆ และไว้ใจได้จริง ๆ เราคงไม่ต้องมีพวกเขาอีกแล้วนั่นเอง ไม่แน่โทนี่อาจจะเป็นเศรษฐีเพลย์บอยคนหนึ่งที่เที่ยวเล่นเจ้าชู้ไปวัน ๆ ไม่ต้องแบกชะตากรรมของโลกแบบนี้ กัปตันควรได้ตายพร้อมคนที่ตัวเองรักไปด้วยซ้ำ หรือกระทั่งฮีโร่คนอื่น ๆ ที่พวกเขาควรจะได้อยู่อย่างสงบก็แค่นั้นเอง

แน่นอนว่า มันไม่มีวันเป็นจริง

                ไม่แปลกว่านี่คือ หนังฮีโร่ที่น่าประทับใจเอามาก ๆ และไม่แปลกที่จะติดชาร์ตท๊อบทรีแบบไร้ข้อกังขาทีเดียว

2. Godzilla Resurgences (ก็อตซิลล่า) (hideaki anno)

                นี่คือ ก็อตซิลล่าที่ดีที่สุดในรอบหลายปี กรุณาลืมความน่าเบื่อหน่ายของก็อตซิลล่า 2014 ที่กำกับโดยกาเรธ เอ็ดเวริ์ด ไปได้เลย เพราะนี่คือ งานก็อตซิลล่าที่กลับไปสู่รากเหง้าของมันโดยแท้

ก็อตซิลล่าคือ มหันตภัยของมนุษยชาติ

นี่คือรากเหง้าที่แท้จริงของมัน (กรุณาลืมคำว่า สมดุลธรรมชาติในหนังภาค 2014 ไปได้เลย) ไม่แปลกที่นี่คือ หนังสร้างตำนานใหม่ให้กับเจ้าสัตว์ประหลาดตนนี้้แบบชัดแจ้ง ภาพของมันเสมือนภัยพิบัติที่บุกเข้ามาทำลายญี่ปุ่นอย่างไม่เกรงกลัวใคร กระสุนปืน จรวดก็ไม่อาจจะทำอะไรมันได้

มนุษย์เพียงแค่มดในสายตาของมันเท่านั้น

นี่แหละคือ ก็อตซิลล่า

นอกจากโฉมอันน่าสยดสยองขวัญของก็อตซิลล่าภาคนี้ที่ตราตรึงคนดูทันที ตอนแรกผมเองเป็นคนที่ไม่ชอบขี้หน้าของก็อตจิภาคนี้สักเท่าไหร่นักหรอกนะ แต่พอได้ดูจริง ๆ บนจอต้องบอกว่า เท่มาก มันเป็นก็อตซิลล่าที่เหมาะสมที่สุดในหนังแบบนี้ ภาพของมันที่ไม่เป็นมิตรกับคนดูเลย มันทำให้เรารู้สึกว่า พวกพี่จะสู้กับมันยังไง ความแข็งแกร่งที่เหมือนไม่มีใครล้มมันได้นั้น ทั้งพลังนั้น ความแข็งแกร่งที่คงมีแค่ชัชชาติที่สู้ได้นั้นอีก มันบรรยายแทบไม่ถูกเลยทีเดียว

แถมเป็นภาคที่ดูแล้วรู้สึกว่า บทสนทนาในเรื่องมันสนุกและน่าติดตามมาก ๆ หากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของก็อตซิลล่าจะรู้ว่า บทบาทของคนในหนังนั้นน่าเบื่อแค่ไหน แต่นี่ไม่เลยครับ บทบาทของคนภาคนี้สนุกและน่าติดตามมาก ดูเพลินดี และคาแรคเตอร์หลายคนเรียกว่า น่าสนใจแทบทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้มันจึงติดอันดับสองของหนังที่ชอบที่สุดแห่งปีไปแบบเอกฉันท์ครับ

บทความฉบับเต็มของก็อตซิลล่า

https://blogazine.pub/blogs/misteramerican/post/5851

 

1. Kimi no Nawa (Your Name) (หลับตาฝันถึงชื่อเธอ) (Shinkai, Makoto)

            หลายคนคงเดาถูกว่า เรื่องนี้คงติดอันดับหนึ่งของปีนี้แน่ ๆ และไม่ต้องบอกว่านี่คือ หนึ่งในสองหนังปรากฏการณ์แห่งปี 2016 ที่ผ่านมาครับ นอกจาก Train to Busan เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองที่แสดงให้เห็นว่า การขายหนังแบบเดิม ๆ อาจจะใช้ไม่ได้แล้วในยุคนี้

                จากอนิเมชั่นที่ไม่มีแต้มต่อ สร้างกระแสปากต่อปากกันและกันจนนั่งปิดที่ 44 ล้านในกรุงเทพและปริมนทลได้สำเร็จและมีรายงานว่าทำเงินทั่วประเทศไปกว่า 60 ล้านบาท ทีเดียวทำให้หลายคนมองว่า โอตาคุหรือกลุ่มคนดูการ์ตูนก็เป็นคนที่พร้อมจ่ายเงินดูหนังเช่นกัน

                คงไม่ต้องสาธยายว่านี่คือ ปรากฏการณ์และตัวหนังเองก็ดีมาก ๆ จนทำให้สินค้าของชินไค มาโคโตะตั้งแต่หนังเก่า ๆ ของเขาทุกเรื่อง นิยายขายดีเทน้ำเทท่า

                และผมประทับใจเอามาก ๆ ด้วยนี่สิ เพราะมีทุกอย่างที่ต้องการจริง ๆ

                เอาเป็นว่า นี่คือ หนังที่ผมประทับใจที่สุดในปีนี้ครับ

                บทความฉบับเต็ม

                https://blogazine.pub/blogs/misteramerican/post/5886

0. Snap (แค่ได้คิดถึง) (Kongdej Jaturanrasamee)

                ต้องเรียกว่า เป็นโคว้ต้าพิเศษจริง ๆ เพราะ เอาจริงมันฉายคาบเกี่ยวระหว่างปี 2015-2016 เลยนั่งคิดว่าจะเอามารวมดีไหม และก็อย่างที่เห็นเอามารวมด้วยแล้วกัน เพราะนี่คือ หนังที่ดีเอามาก ๆ น่าจะดีสุดอีกเรื่องของปี 2016 ที่ผ่านมาด้วย

                ทุกครั้งที่ดูหนังคงเดชคือการปลดปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามความทรงจำต่าง ๆ ของหนังที่เล่าผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ดูแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย จะดีเหลือว่ะกับเรื่องแบบนี้ ตั้งแต่สยิว กอด มาจนถึงตั้งวง การกระโดดมายัง Snap เป็นอะไรที่ยังคงเป็นความดงเดชนั่นแหละ ดูแล้วรู้สึกว่า มันเป็นหนังรักที่ใช้ความรู้สึกมาก ๆ การที่คนเราจะชอบหนังเรื่องนี้คือ การบอกว่า ถ้าคุณมีความทรงจำร่วมมันก็จะเข้าถึงได้มายากนัก ความประหลาดของหนังเรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจโมเม้นต์ของมันได้มากขึ้น มันเป็นหนังที่วัยรุ่นยุคนี้ไม่เข้าใจหรือเข้าไม่ถึง เพราะ แน่นอนว่า มันเล่าถึงความทรงจำในสิ่งที่พวกเขายังไม่เผชิญหน้านั่นคือ การลาจากอดีตอันสวยงามไปสู่โลกความเป็นจริงอันโหดร้ายนั่นเอง

SNAP พาเราไปสำรวจความทรงจำของผึ้ง ลูกสาวนายทหารที่ต้องลาจากเพื่อน ๆ ไปในช่วงรัฐประหารปี 49 และกลับมาเจอกันในงานแต่งของเพื่อนในกลุ่มที่พากันกลับไปที่ต่างจังหวัดอีกครั้ง (โดยในเรื่องมีจันทบุรีเป็นต้นเรื่อง)ที่นั่นเอง เธอได้พบกับความทรงจำเดิมที่เคยจำได้ทั้งม้านั่งเก่า ๆ ปลาหน้าตาประหลาด รวมทั้งเรื่องราวรักแรกของเธอที่มีกับบอย ตากล้องหนุ่ม สิ่งที่หนังให้เราเห็นก็คือ ในระหว้่างที่หนังมันทำหน้าที่ระลึกถึงอดีตไปเรื่อย ๆ ผ่านปากคำบอกเล่าของตัวละครที่พากันรู้สึกว่า อดีตตัวเองช่างงดงามและน่าจดจำเหลือเกิน ทว่า สิ่งที่หนังสะท้อนให้ปัจจุบันก็คือ ภาพการเย้ยหยันว่าช่วงเวลา 8 ปีในเรื่องนั้นไม่ได้เปลี่ยนเลย แฟนของผึ้งเป็นทหารและมีส่วนสำคัญในการกระทำการรัฐประหารในช่วงวันที 22 พฤษภาคม หนังให้เราเห็นภาพของแฟนของผึ้งที่มักทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่ฟังเสียงของใครแม้แต่แฟนตัวเอง หนังแสดงภาพการเมืองในหนังออกมาได้น่าสนใจ หากเราใช้สายตาจับมันทีล่ะน้อยจะพบนัยยะที่ใส่ไปในเรื่องได้อย่างน่าตื่นตะลึง ขณะที่หนังพาเราไปสำรวจอดีตอย่างน่าหวนหา แต่ปัจจุบันของหนังกับมืดมนเสียเหลือเกิน

ไม่ต่างกับชีวิตของตัวละครในเรื่องอย่างผึ้ง

ซีนจับใจคือ ซีนที่ผึ้งร้องไห้ในงานแต่งงานของตัวเอง มันเป็นซีนสะเทือนอารมณ์อย่างยิ่ง ขณะที่ทุกคนมีความสุขและอวยพรให้เธอต้องพบกับความสุข แต่หนังกลับแสดงให้เห็นถึงภาพของเธอที่ต้องทิ้งอดีตนั้นไปแล้วอยู่กับปัจจุบันที่ชีวิตไม่รู้จะไปทางไหนภายใต้การดูแลของสามีที่เป็นทหาร หากผึ้งคือ คนชนชั้นกลางหรือสังคมไทย เธอก็อยู่ในภาวะที่เหมือนไปไหนไม่ได้ไปแล้ว อาจจะรวมถึงไปไม่เป็นแล้วน่าจะดีกว่า (ยิ่งหนังแทรกชีวิตซังกะตายของเธอมายิ่งแล้วใหญ่)

ส่วนบอยกลับกัน เขาเป็นคนที่เลือกให้ความทรงจำทั้งหมดเป็นเพียงอดีตเท่านั้น เขาไม่ได้หวนหาอะไรมากนัก ต่างจากผึ้ง เพราะความทรงจำของเขานั้นเต็มไปด้วยขมขื่น เอาจริงแล้ว นัยยะของการเก็บสิ่งที่เรียกความทรงจำของบอยที่มีต่อคนรอบ ๆ ก็เป็นนัยยะของประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมอยู่แล้ว เขามาปรากฏในการระลึกอดีตแล้วจากไปราวกับไม่มีตัวตนอีก หลังการเสียชีวิตของพ่อ บอยเหมือนย้ายออกจากความทรงจำของตัวเองมา เขาใช้ชีวิตกับแฟนที่เราไม่เห็นหน้าและปลอยอดีตเอาไว้เบื้องหลัง ความต่างของเขาก็คือ เขาปลดปล่อยตัวเองแล้ว เขาเดินจากประวัติศาสตร์นั้นไปแล้วและเดินก้าวต่อไป

เอาจริงแล้วหนังมันแอบถามเราว่า 8 ปีที่ผ่านมามันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยเหรอ หนังตอกย้ำด้วยการเมืองที่มันยังคงวนกลับมาไม่มีอะไรเปลี่ยน ที่น่าสนใจคือ การที่หนังมันใช้ความทรงจำและต่างจังหวัดเป็นเหมือนความทรงจำสวยงาม ภาพฝันของอุดมคติสวยงามของชนชั้นกลางพวกนั้นที่พวกเขาโหยหา เพียงแต่สิ่งเหล่านั้นไม่มีกลับคืนมาเหมือนชีวิตเราต้องเดินหน้ากันต่อไป

ดูไปแล้วนึกถึง เฉือน ที่หยิบจับภาพบ้านนอกมาวิพากษ์สังคมความรุนแรงในช่วงเวลานั้นได้ช่างชัดเจน บ้านนอกไม่เคยเปลี่ยนไปจากสายตาของคนชนชั้นกลาง พวกเขาสต็าฟมันเอาไว้เพียงด้านดี ๆ แต่ไม่เคยมองเห็นภาพความน่าเศร้าของชนบทนั้นเลย รูปถ่ายจึงเป็นนัยยะที่ดีในการพูดถึงอดีต

เมื่อเราถ่ายรูป สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงอดีตที่จะถูกบันทึกเอาไว้ในความทรงจำ เราหยิบรูปถ่ายเก่า ๆ ออกมาดู ม้านั่งที่เราเคยนั่งเรียน ห้องเรียนที่เคยมา หลายสิ่งกลายเป็นสิ่งเก่าเมื่อกดชัตเตอร์ลงไป อดีตจึงถูกลืมง่าย ๆ แม้จะมีบันทึกลงไป แต่สุดท้ายก็ไม่อาจจะจดจำมันได้นัก ภาพถ่ายทำให้ผมนึกถึงเรื่อง รุ่นพี่ ที่เอาภาพถ่ายมาใช้ นัยยะของมันก็คล้ายกันที่บอกว่า ภาพถ่ายคือการบันทึกช่วงเวลาต่าง ๆ เอาเพียงแต่อยู่ที่ว่า คุณเข้าใจอดีตนั้นแล้วจมอยู่กับมันหรือก้าวข้ามมันไปต่างหาก

ไม่แปลกว่าการดู SNAP คือการโยนตัวเองเข้าไปในสถานการณ์ต่าง ๆ ของตัวละคร ความเข้าถึงของมันเรียกร้องให้เราใช้จินตนาการกับมันอย่างเต็มที่ ลองจินตนาการภาพตัวเองที่เดินเข้าไปในโรงเรียนเก่าเงยหน้าขึ้นมามองอดีตนั่นอีกครั้ง เราจะพบว่า ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว มันผ่านไปแล้ว ผมน้ำตาซึมเมื่อเห็นสิ่งที่คุ้นเคยในหนัง เราจำอะไรหลายอย่างได้ และกลายเป็นคนที่ถูกลืมในความทรงจำของทุกคนได้เสมอ

นี่คือ SNAP

นี่คือ หนังที่พาเราไปพบกับด้านที่งดงามที่สุดในชีวิตแบบเดียวกับที่เพลงของญารินดาอย่างเพลง แค่ได้คิดถึงบรรเลงออกมาในช่วงท้าย มันส่งพลังมาก ๆ จนอาจจะหลั่งน้ำตา

เราก็แค่คนที่เคยอยู่ตรงนั้นก็เท่านั้นเอง

นี่คือ 10 + 1 ภาพยนตร์ที่น่าประทับใจลิสต์ของผมในปี 2016 ครับ

สวัสดีปีใหม่นะครับ ทุกคน

 

 

ป.ล. นี่คือ รายชื่อภาพยนตร์ที่ไม่ติดอันดับแต่อยู่ในขั้นที่น่าพูดถึง

The Conjuring 2 : ภาคต่อที่ของหนังสองผัวเมียปราบผีที่ดีและโอเคมาก น่ากลัวไม่น้อยกว่าภาคแรกก็เรื่องนี้แหละ

Don’t Breath : หนังสยองขวัญที่ทำให้ลุ้นทุกลมหายใจ เสียดายมีส่วนที่ดร็อปไปนิด แต่ก็ถือว่าน่าพอใจมาก ๆ เลยล่ะ

 Ip Man 3 : ภาคต่อของหนังต่อสู้ของดอนนี่ เยน มันก็ยังดูสนุกอยู่ แต่หนังมันก็พอสนุกได้ถึงคิวบู้จะดีไม่เท่าของภาค 1-2 ก็ตาม แต่เนื้อหาว่าด้วยการเสียชีวิตของภรรยายิปมันและการพยายามเป็นคนของเมียนั้นคือ สิ่งที่หนังทำได้ดีมาก ๆ

อวสานโลกสวย : หนังสยองขวัญชั้นดีที่หายากในไทย แม้จะไม่ดีที่สุดแต่ก็ดีพอจะพูดว่า นี่คือ หนังสยองที่หายากในไทยจริง ๆ

ลูกทุ่งซิกเนเจอร์ : มันเป็นหนังที่อันเดอร์เรทมาก ๆ แต่ส่วนที่แย่คือ หนังมีหลายตอนที่ไม่สุดทางไม่น่าเชื่อ แต่เพลงในเรื่องดีงามเอามาก ๆ

The Mermaid : โจวซิงฉือทำหนังมืด ๆ ดาร์กยังไง ก็เรื่องนี้แหละ 555

ผู้บ่าวไทบ้าน 2 ตอน แจกข้าวหาแม่ใหญ่แดง : หนังอีสานร่วมสมัยที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง

The Accountant : หนังฮีโร่ที่สนุกมาก ๆ ไม่คิดว่า นักบัญชีจะน่ากลัวแบบนี้

ขุนพันธ์ : หนังแอ็คชั่นไทย ถึงมันจะขวาจนน่าเบื่อ แต่รวมแล้วก็สนุกมาก ๆ ครับ

อาม่า : มุกตลกแห่งปี โจอี้กาน่า

I am Hero : หนังซอมบี้ของญี่ปุ่นที่ดีที่สุดครับ

A Monster Call : หนังดาร์คแฟนตาซีที่น่าสนใจแห่งปีครับ

บล็อกของ Mister American

Mister American
ปี 2515 ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้คนในจังหวัดกาญจนบุรี แย้ม เด็กสาวผู้เคยป่วยหนักจนเกือบตายได้มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น เธอเริ่มพูดจาด้วยคำหยาบคายกับคนในครอบครัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มโกหกและยุแยงให้คนในบ้านแตกคอกัน รวมทั้งลุกขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อนกินของสดทำให้คนในครอบครัวโดยเฉพาะ หยาด เกิดความสงสัยขึ
Mister American
สัปเหร่อ : คนตายคือ ครู และ คนอยู่คือ นักเรียน           “ความตาย...มันฆ่าเฮาได้แค่ครั้งเดียว แต่ความฮัก มันฆ่าเฉาไปเรื่อยๆๆ จนกว่าเฮาสิตายพุ่นเด้”บักมืด 
Mister American
                ระหว่างที่เขียนต้นฉบับบทความนี้อยู่นั้น การโหวตประธานรัฐสภาและรองประธานสองคนการประชุมสภาวันแรกได้จบลงแล้ว และ ผลคือ คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา จากพรรคประชาชาติ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาคนใหม่ ร่วมกับ รองประธานสภาสองท่านจากพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อ
Mister American
            คงไม่มีอนิเมชั่นเรื่องใดในซีซั่นนี้ที่เรียกว่า สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรดาคนดูอนิเมชั่น และ คนดูหนังหลายคนได้เท่ากับ อนิเมชั่นซีรีย์เรื่อง Oshi no Ko หรือ ชื่อไทยว่า เกิดใหม่เป็นลูกโอชิ ผลงานดัดแปลงจากมังงะขายดีของ อากะ อาคาซากะ ที่ได้ฤกษ์ออกฉายไปเมื่อ
Mister American
                "พรมนิ้วลงไป หวังให้อัสนีกึกก้องด้วยละอองแสง                   กระหน่ำตีเข้าไปให้ถึงปลายทางของความเจ็บปวด
Mister American
                พอ Hellraiser ภาคใหม่จะลงฉายใน Hulu กันในวันที่ 7 ตุลาคมนี้ (ซึ่งไทยจะได้ดูกันใน Disney Plus) นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งของพินเฮดและเหล่าซีโนไบร์ต หนึ่งในไอค่อนของโลกสยองขวัญที่โด่งดังไม่แพ้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง Nightmare of elm street , เ
Mister American
พึ่งจบกันไปหมาด ๆ สำหรับอนิเมชั่นเรื่องดังประจำซีซั่นนี้อย่าง Lycoris  Recoli จากค่าย A-1 Picture ที่นอกจากจะเป็นม้ามืดประจำซีซั่นนี้ที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายจนแซงหน้าบรรดาอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ไปแบบไม่มีกังขา โดผลโหวตจากสำนักอนิเมชั่นต่าง ๆ โหวตให้เรื่องนี้อยู่
Mister American
“ทำไมถึงไม่มีหนังสัตว์ประหลาดไทยดี ๆ ออกมาสักทีวะ ?”
Mister American
คงไม่ต้องบอกว่า ณ ช่วงเวลานี้ หลาย ๆ คนคงให้ความสนใจกับการชุมนุมของบรรดาหนุ่มสาววัยรุ่นที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ขับไล่เผด็จการ และ เปลี่ยนแปลงประเทศใหม่ กันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปรากฏการณ์ของการชุมนุมที่เกิ