สเตลล่า สาวน้อยลูกครึ่งไทยอเมริกันที่พึ่งตกงานมาหมาด ๆ อันเนื่องจากไปงัดกับผู้ใหญ่ในที่ทำงาน ชีวิตของเธอในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวกำลังมีปัญหาอย่างหนักจนไม่รู้ว่าจะไปไหนดี ตอนนั้นเองตัวของสเตลล่าได้รับการติดต่อจากอิฐ เพื่อนเก่าสมัยอยู่บ้านเก่าที่หมู่บ้านดอนหาย อุดรธานีเพื่อบอกว่า แม่ของเธอกำลังป่วยหนัก และ อาจจะมีเวลาไม่มาก แม่ของเธอต้องการจะพบกับพ่อของสเตลล่าที่หายตัวไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่ที่ตัวของสเตลล่านั้นได้ยินคนรอบข้างรวมทั้งแม่ของเธอบอกว่า พ่อของเธอหนีไปแล้วทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอดีต ที่ที่เธอปฏิเสธมานาน ในคืนที่ท้องฟ้าสว่างวาบไปทั่วดอนหาย
สเตลล่าพยายามปฏิเสธเรื่องราวนี้จนกระทั่งเธอได้รับการติดต่อจากพ่อผ่านวิทยุสื่อสารอันเก่านั้นจึงได้รู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยเด็กที่ผู้ใหญ่บอกไม่ใช่ความจริง และ นั่นทำให้ สเตลล่า วาเลนลูกสาวของเธอ อิฐ ครูหนุ่มและนักเขียนต่วยตูนพิเศษ และ ก้อง ลูกผู้ใหญ่บ้านจึงเข้าไปพิสูจน์ในป่าดอนหายด้วยกัน
ก่อนจะได้พบเรื่องราวที่พวกเขาทั้งหมดจะได้เผชิญหน้ากับมันแบบที่พวกเขาไม่รู้มาก่อน
นี่คือเรื่องราวเพียงตอนต้นเท่านั้นของหนังไทยเรื่องใหม่ล่าสุดจากฝีมือของมะเดี่ยว ชูเกียรติ ผู้กำกับที่สร้างชื่อจากหนังรักครอบครัวและวายอย่าง รักแห่งสยาม รวมทั้งผลงานระทึกขวัญอย่าง คนผีปีศาจ และ 13 เกมสยอง ซึ่งการหันมาจับงานไซไฟนี้ได้รับการจับตามองทันที เนื่องจากวงการหนังประเทศเรานั้นมันขาดหนังแนวไซไฟมานานมาก แถมไม่ค่อยได้รับการตอบรับที่ดีของแฟน ๆ สักเท่าไหร่ด้วย นี่ยังไม่รวมทั้งที่หนังเผยทั้งไคจู ไดโนเสาร์ การย้อนเวลาอื่น ๆ จนเรียกว่า เป็นแนวที่ใครต่อใครไม่คิดว่าจะได้เห็นในไทยได้แน่นอนครับ แต่กลายเป็นมีเรื่องนี้ขึ้นมาทำให้หลายคนจับต้องและสงสัยว่า หนังเรื่องนี้จะออกมายังไง?
ผลคือ Taklee Genesis น่าจะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยเสียงชื่นชมจากคนดูอย่างมาก ทั้งบทหนังที่หลายคนบอกว่าอยู่ในระดับดี (แม้จะมีบางส่วนที่เรียกว่า ยังต้องแก้ไข หรือปรับปรุงในอนาคต) งานซีจีกับทุนสร้าง 60 ล้านบาทที่ทำได้ดีมาก ๆ และ คุ้มค่าทุกฉากที่ออกมา ยังไม่รวมถึงงานอื่น ๆ ที่ทำให้เห็นได้ว่า หนังไปถึงในสิ่งที่หนังไทยหลายเรื่องไปไม่ถึงอย่างชัดเจน
ไม่ใช่แค่ตัวงานซีจีเท่านั้น Taklee Genesis เป็นเสมือนรถไฟเหาะที่พาเราทะลุทะลวงผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่ที่มันได้พาให้คนมากมายพากันมาพูดถึงถกเถียงหนังเรื่องนี้กันอย่างเป็นวงกว้างอย่างไม่เคยมีหนังใดเป็นมาก่อนในช่วงหลายปีนี้ ทั้งฝ่ายชอบหนัง ไม่ชอบหนัง ลามไปจนถึง ฝ่ายการเมือง เหลือง แดง สลิ่ม ส้ม ไปจนถึงคนเดือนตุลายังมาเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้
เหตุใดหนังไซไฟเรื่องนี้ที่เหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จบนตาราง Box Office ของประเทศนี้จึงกลายเป็นที่พูดถึงกันมากมายในโลกออนไลน์แบบนี้
นี่คือเรื่องราวของ Taklee Genesis
(บทความนี้สปอยเนื้อหาในหนัง)
ลาก่อนวัยเยาว์ เรื่องสยองขวัญของวันวาน
Taklee Genesis เปิดเรื่องด้วยการคุยกันของ สเตลล่า และ พ่อของเธอเกี่ยวกับพระเจ้า การสร้าง ในเชิงวิทยาศาสตร์ ก่อนจะลามไปถึงความเชื่อที่พ่อของเธอมีความขัดแย้งกับคนไทยในดอนหายอย่างมาก ซึ่งนั้นนำไปสู่เรื่องสยองขวัญของสเตลล่าวัยเด็กที่ที่เธอตามพ่อเข้าไปแล้วได้เจอเรื่องน่าสยดสยอง ไม่ว่าจะเป็นพ่อของเธอหายไปในแสงสว่าง ศพที่ตกลงมาเป็นฝนจากฟ้าต่อหน้าต่อตา และ สัตว์ประหลาดอันแสนน่ากลัว มันทำให้ชีวิตของเด็กคนนี้เปลี่ยนไปตลอดกาลไปในคืนนั้น
หนังของมะเดี่ยวมักจะมีเด็กเข้าไปข้องเกี่ยวเสมอ และ ความข้องเกี่ยวนั้นทำให้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับฝันร้าย หรือ สิ่งที่อันน่าเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นเด็กสองคนที่ต้องอยู่บ้านยายจนต้องเจอผีหลอกวิญญาณหลอนใน คนผีปีศาจ , เด็กม.ปลายกลุ่มหนึ่งกับเกมใน 12 Begin ภาคต้นเกมสยอง , การหายตัวไปของพี่สาวในครอบครัวโต้ง จาก รักแห่งสยาม , เด็กหนุ่มกับรุ่นพี่ใน Home , เหล่าเด็กเกรียนเชียงใหม่ในเกรียนฟิคชั่น , ดิวและเพื่อนชายที่ต้องเผชิญหน้ากับสภาวะไม่แน่นอนของตัวเอง หนังของมะเดี่ยวจึงเล่าเรื่องของเด็กเสมอ และ เด็กพวกนี้มักจะเผชิญหน้าเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้พวกเขาต้องโตก่อนวัยอันควรจนสูญเสียวัยเด็กไปเสมอ ซึ่งใน Taklee Genesis จึงเป็นเรื่องของเด็กอย่าง สเตลล่าที่พบกับคืนมหาภัยนั้นจนต้องเสียพ่อไป ไม่ใช่แค่นั้นเธอยังเสียความบริสุทธิ์ทางความคิดไปด้วย เธอไม่หลงเหลือความเพ้อฝันใด ๆ อีกและมองว่า ความทรงจำเดิมของหมู่บ้านนี้มีแต่ความเลวร้ายก่อนทิ้งมันไป
ไม่ใช่แค่สเตลล่า คนอื่น ๆ ในเรื่องนี้ต่างมีวัยเด็กที่เจ็บปวดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นอิฐ ลูกฝรั่งที่ไม่กล้ายืนยันต่อสู้กับความผิด แต่ยอมให้ตัวเองถูกระบบกลืนไป หรือ กร ที่ต้องพบกับความจริงว่า เขาไม่ใช่คนในยุคเวลานี้ แต่เป็นคนที่อยู่ในช่วงเวลาอื่นที่รอดมาได้จากการช่วยเหลือของผู้ใหญ่บ้านที่เป็นที่พ่อบุญธรรมของเขาเท่านั้น และ ตัวเขาเองก็มีภาวะความทรงจำเสื่อมจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่เหมือนกัน
หรือตัวของวาเลนและ หม้อดิน สองเด็กน้อยที่เดินทางมาด้วยก็เผชิญหน้ากับทั้งไคจู ซอมบี้ ไปด้วยกัน และ ได้เรียนรู้ถึงโลกอันน่าสะพรึงกลัวที่พวกเขาต้องเจอไปด้วยกัน ไม่ได้ต่างจากเด็ก ๆ ในเกรียนฟิคชั่นที่ต้องเผชิญหน้ากับโลกมืดในพัทยาเลย มันทำให้พวกเขาโตจากเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์เบื้องหน้า และ ทำให้โลกของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม
หนังของมะเดี่ยวจึงมีภาพของอดีตอันเจ็บปวดและโลกที่ไม่สดใสเลยของเด็ก ๆ ที่ที่สุดท้ายพวกเขาก็เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ และ เป็นผู้ใหญ่ที่ฉิบหายในชีวิตแบบที่ไม่มีใครคาดถึง
อีกหนึ่งตัวละครที่เราพูดถึงไม่ได้เลยคือ บรรดาเด็ก ๆ ในโลกอนาคตที่อยู่ในม่านพลังของเมือง นิวยูดอน หรือ อุดรธานีในอนาคต พวกเขาไม่แก่เนื่องจากเหตุผลของเครื่องตาคลีเจเนซิสที่ทำให้พวกเขายังคงเป็นเด็กวัยรุ่นที่ที่โลกของเขาพังพินาศไปพร้อมกับการไคจูถล่มเมือง และ ระเบิดจากมิติเวลาไป พวกเขาอยู่ในสภาพที่ควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ควรจะได้เที่ยวเล่น สนุก สร้างครอบครัว หรือกระทั่งร้องเพลงเล่นแบบที่พวกเขาอยากทำ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้พวกเขามีสภาพถูกขังเอาไว้ในโลกอันเลวร้าย และ ทางเดียวที่พวกเขาทำได้คือ ถือปืนต่อสู้และหาทางแก้ไขเหตุการณ์ไปพร้อมกันโดยที่ไม่รู้ว่า โลกของพวกเขานั้นฉิบหายมาจากอะไรกันแน่?
Taklee Genesis มีลักษณะที่ทำให้เราคิดถึงงานของสตีเฟ่น คิง อย่าง It , Stand by me ที่เล่าเรื่องความเจ็บปวดในวัยเด็กที่ทำให้พวกเขาโตก่อนวัยและกลับไปแก้ไขอดีตเลวร้ายอีกครั้ง และ นั้นทำให้ทั้งสเตลล่า อิฐ รวมทั้ง ก้องได้ไปแก้ไขสิ่งที่พวกเขาขาดหายไปได้
สเตลล่าไม่ได้ไปตามหาพ่อ แต่เธอไปตามหาความหวัง
อิฐไปตามหาความกล้าที่จะยืนยันเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง
ก้องไปตามหาอดีตของตัวเอง
และทั้งหมดก็ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการคืนมาในท้ายสุด
การล่มสลายของผู้ใหญ่
ในหนังรักแห่งสยามของมะเดี่ยวนั้นหลายคนอาจจะจับจ้องมองไปยังเรื่องราวความรักระหว่างโต้งกับมิวกันหมด ทว่า เนื้อแท้ของหนังเรื่องนี้คือ เรื่องราวของการล่มสลายของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่า สถาบันครอบครัว หนังของมะเดี่ยวมักพาเราไปเจอเรื่องราวนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็น พี่สาวน้องชายในคนผีปีศาจที่พ่อแม่ตายเนื่องจากนโยบายสงครามยาเสพติดในยุคทักษิณ ชินวัตร หรือ เรื่องราวของภูชิต เซลแมนที่มีครอบครัวที่แตกสลายทั้งพ่อที่ใช้กำลังทำร้ายตัวเองสมัยเด็ก ครอบครัวแยกทาง และอีกมากมายที่ทำให้เราเห็นหนังของมะเดี่ยวนั้นมักให้เห็นว่า โลกผู้ใหญ่นั้นโหดร้ายและเจ็บปวดเพียงใดเสมอ
สเตลล่าเองก็เป็นอีกคนที่พบว่า ตัวเองนั้นล่มสลายไปหมดทั้งการงานที่ออกจากงานเพราะผู้ใหญ่โยนความผิดให้แบบหน้าด้าน (และเป็นซีนไล่ออกที่หน้าด้านแบบสุด ๆ) การที่เธอไม่มีบ้าน ทะเลาะกับสามีจนเลิกรากันจนทำให้ต้องกลับมาบ้านเพื่อเยี่ยมแม่ที่อุดรอีกรอบ แม้กระทั่งไม่มีเงินซื้อตั่วเครื่องบินกลับมาอีกยิ่งให้เห็นถึงภาวะของความฉิบหายของเธอ ไม่ได้ต่างกับภูชิตใน 13 เกมสยอง หรือ ครอบครัวโต้ง รักแห่งสยามที่เสียศูนย์หลังการหายไปของพี่สาวอย่างชัดเจน ซึ่งมันบังคับให้เธอต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้แบบที่เรารู้ดีว่า สเตลล่าคาดหวังว่า เธอจะสามารถกลับมาเติมเต็มสิ่งที่หายไปได้หากเอาพ่อกลับมา
สิ่งที่น่าสนใจของพาร์ทนี้นอกจากการพูดถึงการล่มสลายของครอบครัว ภาวะผู้ใหญ่อันล้มเหลวแล้วจะพบว่า ในเรื่องนี้สิ่งที่เรียกว่า ผู้ใหญ่ช่างไม่น่าอภิรมย์เลย เอาแค่เปิดมาคุณได้เห็นเจ้านายของสเตลล่าที่หลายคนใช้คำว่า ผู้ใหญ่เหมือนกันก็โชว์ให้เห็นว่า มันช่างปลิ้นปล้อนเลวร้ายเหลือเกินที่โยนเรื่องความผิดพลาดตัวเองให้สเตลล่าแบบหน้าด้านชนิดไม่เผาผีกัน จากนั้นเราได้เจออิฐ ที่เป็นครูและตัวเขาเองก็หวังแค่ค่านายหน้าจากการขายที่ดินให้ผู้ใหญ่บ้านอีก ซึ่งเรียกได้ว่า แค่เปิดมาก็เจอแต่ผู้ใหญ่แย่ ๆ แล้ว
นี่คือ รวมทั้งตัวผู้ใหญ่บ้านที่เรารู้สึกว่า เขาเป็นตัวร้าย ไม่สิ คนที่มีความลับบางอย่างอยู่จนไม่น่าไว้ใจเลย และ การที่เขาต้องเจอเวรกรรมหรือสิ่งลงโทษในการกระทำของเขามันก็ถูกแล้วในช่วงเวลานั้น
จนเราพบว่า ผู้ใหญ่บ้านนั้นคือ อีกคนที่เรียกว่า ได้รับความฉิบหายจากเรื่องนี้ไม่ต่างกัน เขาเป็นคนขับรถที่ทำงานให้พวกจีไอ หรือ อเมริกันในสงครามเวียดนามที่ที่ตัวเขาพาคนมาส่งให้พวกนั้นนำไปทดลอง โดยไม่รู้อะไรว่า พวกอเมริกันเอาคนไปทดลองอะไรในค่ายรามสูร ก่อนที่จะพบว่าตัวเองก็กำลังจะโดนเอาไปทดลองเหมือนกัน เขากับลาวัน สาวลาวจึงช่วยกันขโมยเครื่องตาคลีเจเนซิสมาด้วยกัน (ซึ่งน่าจะเป็นมาจากความรักของพวกเขาสองคนที่ทำให้ยอมเสี่ยงทำอะไรแบบนี้) แต่ผลคือ แม้จะหนีรอดมาได้ พวกเขาก็ต้องอยู่ในสภาพที่เหมือนถูกขังเอาไว้ในเวลา ผู้ใหญ่บ้านไม่แก่เลยแม้จะอายุมากแล้ว ส่วนลาวันนั้นกลายเป็นสัตว์ประหลาด หรือ ไคจูที่สิงอยู่ในดอนหายและตัวโตขึ้นเรื่อย ๆ
โดยมีตัวของผู้ใหญ่บ้านคอยปิดเอาไว้ด้วยการสร้างเรื่องราวให้คนนำเครื่องบูชามาสังเวย (ซึ่งใช้เนื้อสด ๆ มาทำเป็นเครื่องสังเวย) พร้อมกับออกกฎห้ามใครเข้าไปในป่านี้ และ ห้ามหันหลังกลับไปมองเด็ดขาดตอนที่ลาวันปรากฏตัวออกมา
ผู้ใหญ่บ้านเองก็ไม่ต่างกับพ่อแม่ของโต้งที่ล้มเหลวในความเป็นผู้ใหญ่ของตัวเองเหมือนกัน และ พวกเขาก็ทำได้แค่อยู่แบบนั้นโดยไปต่อไม่ได้ และ ถอยหลังไม่ได้ด้วยความกลัวว่าสิ่งที่มีอยู่จะพังลงเหมือนกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้ใหญ่บ้านจึงทำได้แค่ไม่ให้เข้าไปในป่านั้น แต่ไม่แก้ไขอะไรเพราะกลัวว่า ถ้าไปทำอะไรจะทำให้มันแย่กว่าเดิมแบบที่เขาด่าสเตลล่าว่า ทำให้ทุกอย่างฉิบหายหมดแล้วตอนกลับมาจากบ้านเชียงเมื่อ 5000 ปีก่อน
ผู้ใหญ่ที่ล้มเหลว เห็นแก่ตัวคือ ภาพที่เด็กชาวนิวยูดอนในอนาคตสองร้อยปีจากนี้จะได้เห็น สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขานั้นเกิดจากความชั่วช้า เลวทรามของผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัวไม่สิ้นสุด แม้ว่าเวลาจะผ่านมา 200 ปีก็จะเห็นว่า ผู้ใหญ่ยังเหมือนเดิมคือ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
มันจึงเป็นภาพการล่มสลายของผู้ใหญ่อย่างแท้จริงที่หนังเรื่อง Takee พาเรามาเจอมันอีกครั้งและเห็นได้ว่า โลกของเรื่องนี้นั้นมันมีแต่ความเจ็บปวดอย่างแท้จริงทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่
การเมือง ประวัติศาสตร์ที่สูญหาย และ เพลงคิดถึงบ้าน
สิ่งที่หลายคนเรียกได้ว่า เซอร์ไพรส์ หรือ ตกใจเอามาก ๆ นั้นคือ การที่ได้เห็นหนังเรื่องนี้ผูกโยงเข้ากับสิ่งที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์ชาติไทยเราอย่างเข้มข้นโดยเริ่มจากเรื่องราวค่ายทหารจีไอในช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่แฟนการเมืองหลายคนรู้ดีว่า มันคือจุดเริ่มต้นของเรื่องดีและไม่ดีของประเทศไทยเรา เพราะความที่เราเป็นฐานของฝ่ายอเมริกาในช่วงสงครามเวียดนาม ที่จอดเครื่องบินรบของอเมริกาจนถูกเรียกว่า เรือรบที่ไม่มีวันจม ไทยเราในช่วงนั้นยังได้รับทั้งงบประมาณ และ ความเจริญที่มาจากอเมริกามากมายจนพูดว่า ประเทศเรามันมีถนนดี ๆ อย่างมิตรภาพ หรือ การตัดถนนใหม่จำนวนมากมาจากอเมริกานี่แหละ
เพียงแค่ว่า สิ่งที่อเมริกาเอามาด้วยคือ นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่รัฐไทยเราเอามาใช้ด้วย และ นำไปสู่การปราบปรามประชาชน อุ้มฆ่าฝ่ายตรงข้ามอย่างโหดร้าย รวมทั้งการเป็นเผด็จการอย่างยาวนานหลายปีภายใต้เผด็จการที่สร้างขึ้นมาโดยอเมริกาเองแบบจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือ จอมพลถนอม กิตติขจร ที่มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ แต่ก็เป็นเผด็จการที่ปกครองประเทศด้วยความหวาดกลัวและกฏหมายเด็ดขาดตลอดมา
และนำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ที่นักศึกษาจำนวนมากและประชาชนออกมาประท้วงขับไล่เผด็จการจอมพลถนอม กิตติขจร ออกไป ทว่าเกิดการสังหารประชาชนกลางเมืองที่ที่ทำให้ตัวของจอมพลถนอม กิตติขจร ต้องออกจากตำแหน่งและประเทศไป และประเทศไทยก็ได้สัญญา ธรรมศักดิ์ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราวเพื่อรอการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพียงแค่สามปีในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ก็ได้เกิดการประท้วงใหญ่ขึ้นของประชาชน นักศึกษาทั้งจุฬาและธรรมศาสตร์เพื่อขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจรที่กลับเข้ามาในประเทศอีกครั้ง และ ผลคือ ทางรัฐได้ทำการปราบปรามนักศึกษาอย่างโหดเหี้ยมพร้อมกับใส่ร้ายว่า พวกขายชาติ ล้มเจ้า พวกศัตรูชาติจากการให้มีกลุ่มที่รัฐสร้างขึ้นมาเข้าไปปลุกปั่นไล่ฆ่า พร้อมกับทหารตำรวจที่ทำการนี้อย่างเลวร้าย
ผลคือ นักศึกษาเสียชีวิตไปถึง 45 คน (แบบที่ทางการระบุ) แต่รายงานแท้จริงนั้นเชื่อว่า น่าจะมีเสียชีวิตจำนวน 100-500 คนทีเดียว เพียงแค่ว่า ไม่มีใครเจอศพหรือเจอหลักฐานใด ๆ เช่นเดียวกับหลักฐานที่ฝ่ายรัฐสร้างมาเองก็ไม่มีเหมือนกัน มันจึงเป็นสิ่งที่เรียกว่า โศกนาฏกรรมที่เลวร้ายสุดของประเทศเราทีเดียว
ไม่ต้องบอกว่า การที่รัฐกล้าทำแบบนี้ได้เพราะมีนโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์ที่อเมริกาหนุนหลังนั้นเอง
ตรงนี้แหละที่หนัง Takee พาเรากระโจนโดดไปเจอกับเหตุการณ์นี้ผ่านตัวละครของก้องที่ในเรื่องนั้นเขาสงสัยมาตลอดว่า ทำไมผู้ใหญ่บ้านพ่อของเขาต้องไม่ให้เขาห่างจากตัวเลย ทำไมเขาถึงไม่แก่เลยต่างจากคนอื่น รวมทั้งความทรงจำของเขามันหายไปเหมือนถูกลืมหรือลบไปด้วยซ้ำจนกระทั่งเขานึกออกว่า เขาคือใคร เขาจึงตัดสินใจเครื่อง Takee ย้อนเวลาไปในช่วงนั้นเพื่อช่วยเพื่อน ๆ ของเขาให้รอดพ้นจากชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ให้ได้
ซึ่งต้องบอกว่า ฉากนี้นั้นคือ เป็นหนึ่งในฉากที่ทำให้คนจำนวนมากน้ำตาไหล และ เรียกว่า ไคลแม็กซ์ของหนังอย่างแท้จริงเลยก็ว่าได้
ผมเคยเขียนในหนังสือหนังสยองมีอยู่ บันทึกคดีของราตรีไปว่า ถ้าจะพูดถึงเหตุการณ์หนึ่งที่ถูกหยิบยกมาเล่าในหนังสยองขวัญบ่อย ๆ นั้นคงไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่า 6 ตุลาคม ที่ที่เราพบว่า เรื่องจริงนั้นมันน่าสยดสยองกว่าหนังสยองหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นภาพของคนด้วยกันฆ่าคนอย่างบ้าคลั่ง การหยิบศพมากระทืบฟาดเก้าอี้โดยมีคนหัวเราะอยู่ หรือ เสียงโฆษณาชวนเชื่อจากนักเขียนชื่อดังคนหนึ่งอย่าง ทมยันตี จากวิทยุยานเกราะนั้นน่าขนลุกอย่างยิ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นน่ากลัวเอามาก ๆ แม้ว่าจะถูกลืมลบบิดเบือนไป แต่ไม่มีใครลืมเลย สำคัญคือมันถูกเล่าผ่านเรื่องเล่าสยองขวัญมากมาย รวมทั้งตำนาน ลิฟต์แดงที่ธรรมศาสตร์ที่เรียกว่า ยังคงเป็นเรื่องเล่าจนถึงทุกวันนี้และย้ำเตือนให้รู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันมีจริงและโหดร้ายเพียงใด
หนังสยองขวัญไทยหลายเรื่องจึงหยิบยกเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม มาพูดถึงเสมอ ในฐานะเรื่องเล่าอันเจ็บปวดที่หลอกหลอนจนเป็นเหมือนเรื่องผีที่ถูกเล่า จนกระทั่งมันมาโผล่ในงานไซไฟเรื่องนี้นี่ละครับ
คงไม่แปลกว่า ปฏิกิริยาของฝ่ายไม่โอเคกับการมีฉากนี้ถึงบ่นมาทันทีว่า ทำไมต้องใส่เข้ามา บางคนไม่เข้าใจนัยยะของสิ่งที่เกิดขึ้นว่า หากจะมีช่วงเวลาใดที่เหมาะกับก้องมากที่สุดคงไม่พ้นช่วงนี้แน่นอน
มันพูดถึงการที่รัฐไทยไม่มีการเรียนรู้หรือสืบหาความจริงใด ๆ เลย และยังไม่พอยังปิดบัง ลบเลือนซ่อนสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่า นัยยะที่น่าสนใจคือ ฉากที่ศพตกมาจากฟ้านั่นแหละ มันเห็นว่า รัฐไทยได้ทำลายและอำพรางหลักฐานทั้งหมดด้วยเครื่องตาคลีเจเนซิสให้หายไป เหมือนที่บอกว่า หกตุลาคมอาจจะมีคนตายมากกว่า 45 ศพแบบที่รายงานไว้ (หลายคนบอกว่า น่าจะเสียชีวิตที่ 100-500 คนด้วยซ้ำไป)
กระนั้นเองสิ่งที่น่าตกใจคือ สิ่งที่ตกมานั้นไม่ใช่แค่ศพของนักศึกษาในช่วงหกตุลาคม 2519 แต่มีศพของแท็กซีในช่วงปี 2535 หรือ พฤษภาทมิฬ และ ศพอื่น ๆ ที่ใส่เสื้อในยุคสมัยหนึ่งที่ทำให้เราแน่ใจว่า นี่คือหนังที่ว่าด้วยการหายไปของประวัติศาสตร์ผ่านการเมืองไทยอย่างแท้จริง
ไม่ต่างกับบ้านเชียงเมื่อ 5000 ปีก่อนหน้านี้ที่ทุกคนหายสาบสูญไป ไม่มีใครรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเลยด้วยซ้ำ แม้แต่อิฐบอกว่า จะช่วยพวกนี้ไปทำไมยังไงเสียพวกเขาก็หายไปอยู่แล้ว มันอาจจะคำที่ใจร้ายแต่นั่นแหละว่า มันคือประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นและแก้ไขอะไรไม่ได้ แม้คนตรงหน้าจะมีตัวตนจริง ๆ และช่วยเหลือลูกของสเตลล่าจากพวกซอมบี้ก็ตามเถอะ
เหมือนเช่นก้องที่พยายามแล้วพยายามอีกที่จะแก้ไขอดีตนี้อย่างน้อยก็เอาเพื่อนตัวเองรอดให้ได้ แต่ทำยังไงก็ตายอยู่ดี ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม และ ทำให้สเตลล่าต้องไปวิ่งหลบกระสุนในธรรมศาสตร์ที่ที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงยิ่งกว่าครั้งใด
สเตลล่าจึงมีสถานะเหมือนกับคนไม่รู้อะไรเลยและต้องหนีเอาตัวรอดจากประวัติศาสตร์ความรุนแรงหนีไปโดยที่เธอเห็นว่าก้องพยายามช่วยเพื่อนให้รอดทุกทางแม้ว่าจะต้องเป็นไงก็ตาม มันคือภาพซ้อนกับที่เด็กในโลกนิวยูดอนกำลังสู้อยู่รัฐบาลที่สาดกระสุนใส่พวกเขาจะสังหารให้หมด พวกซ้อนของเหตุการณ์ที่เกิดส่งผลให้มิติทับซ้อนกันจนพังไปชั่วขณะ เราเลยเห็นภาพที่เรียกว่า บ้าคลั่งที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์นั้นคือ ภาพของยานรบยิงกระสุนทะลุเข้ามาสังหารพวกกระทิงแดงในช่วงหกตุลาคม ภาพยานระเบิดแล้วทะลุเข้ามาในหกตุลาคมพร้อมกระสุนที่ยิงใส่กันยับเยิน นี่ไม่รวมถึงเสียงหัวเราะจากเด็กคนหนึ่งที่ทะลุไปจนถึงอนาคตด้วยความเย้ยหยันสะใจที่พวกรัฐกำลังจะฆ่าเด็กในโลกอนาคต 200 ปี ราวกับผีร้ายที่หลอกหลอนในเงามืด
ตัวของก้องที่รับรู้ได้ว่า ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้หรือเปลี่ยนอดีตได้ด้วยตัวเองเลยตัดสินใจอยู่ที่นี่ ที่โลกที่เขาจากมาพร้อมกับให้สเตลล่าไปจัดการเรื่องของตัวเองให้จบ
“อย่าลืมเรา”
ก้องผู้เป็นฮีโร่ของสเตลล่าในวัยเด็กบอกกับเธอให้เดินทางต่อไปจัดการทุกอย่างให้จบ แล้วเดินหยิบไม้ก้านยาวไปฟาดใส่พวกกระทิงแดงในท้ายสุด
คำว่า อย่าลืมพวกเราไม่ได้ถึงว่า ก้อง หรือ นักศึกษาในวันที่ 6 ตุลา แต่หมายถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ พฤษภาคม 35 หรือ ปี 53 ที่ที่มีคนตายจากเหตุการณ์ทางการเมืองทั้งมวลว่า พวกเขามีตัวตนอยู่นะ มันมีเหตุการณ์นี้จริง ๆ และ เราควรจะจำมันเอาไว้ว่า
ครั้งหนึ่งที่นี่เคยมีคนตายมาก่อน
หนังของมะเดี่ยวมักวิพากษ์การเมืองและประวัติศาสตร์เอาไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องราวนโยบายสงครามยาเสพติดของรัฐบาลทักษิณ หรือ ตัวรัฐบาลทักษิณในช่วงปี 48-49 การพูดถึงความไร้อนาคตที่จะไปของวัยรุ่นและความเจ็บปวดของครอบครัวใน เกรียนฟิคชั่น รักแห่งสยาม โฮม หรือ ภาพของสังคมในช่วงรัฐประหาร 57 ใน The eye diary หรือหนังในยุคหลังแบบ ดิว ไปด้วยกันนะ และ มอนโดที่มีภาพของสังคม เรียกว่า ถ้าเป็นหนังของมะเดี่ยวจะต้องมีการเมืองแทรกไปด้วยไม่ว่าน้อยหรือมาก และ หนังเรื่องนี้ก็ทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ
มันทำให้มีคนเอาเรื่องนี้มาถกเถียงกันมากมายในหลายฝ่าย และ กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า ประเด็นเรื่อง 6 ตุลาคม 2519 , พฤษภาคม 2535 , การตั้งฐานทัพอเมริกา จีไอ และ ค่ายรามสูร รวมทั้งอาชญากรรมโดยรัฐมากมายก็ถูกนำมาพูดถึงในวงกว้างมากขึ้น นับได้ว่า Tekee Genesis ทำในสิ่งที่ก้องบอกได้ชัดเจนว่า
อย่าลืมเรา
และ คงไม่มีใครลืมภาพนี้ของเขาอีกต่อไปแล้วเหมือนกัน
เช่นเดียวกับเพลงคิดถึงบ้าน หรือ ที่หลายคนรู้จักในนามเดือนเพ็ญที่เป็นเพลง Theme ของหนังเรื่องนี้ที่เล่นบรรเลงตามเจตนารมณ์ของเพลงนี้ได้อย่างตราตรึง
เหมือนที่ตามเจตนารมที่นายผี อัสนี ได้แต่งเอาไว้
ตราบใดที่มีรักย่อมมีหวัง แด่ความหวัง
ความหวังคือ สิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะพูดถึง เพราะในเรื่องราวที่หนังพาเรากระโจนโดดไปยังโลกนั้น ยุคนี้ ช่วงเวลานั้นนี้ที่มีทั้งความเจ็บปวด ความตาย การผลัดพรากมากมายนั้นทุกอย่างมันมาจากความรัก และ ความรักนี้คือ ลายเซ็นสำคัญของมะเดี่ยวในงานของเขาทุกเรื่อง รวมทั้งความหวังด้วย
หนังของมะเดี่ยวมักให้ความหวัง ความเชื่อของคนที่มีต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะล้มเหลว สิ้นหวัง หรือ ย่ำแย่เพียงใด ทุกคนมีความหวังและเชื่อว่า มันจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นในสักวัน
สเตลล่าหวังว่าตัวเองจะได้เจอพ่อ และ ได้เอาลูกกลับมา แต่สิ่งที่เธอได้พบคือ การเติมเต็มช่วงเวลาที่ขาดหายไป ความรัก ครอบครัว ที่ได้มาทำให้เธอได้สิ่งที่มีความหมายมากกว่า
อิฐได้สิ่งที่เขาหายไปคือ ความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้าต่อความไม่ยุติธรรม การที่เขายืนหยัดไปช่วยเด็กในอนาคตสู้กับผู้ใหญ่โดยบอกว่า เด็กพวกนี้พูดกับใครไม่เป็นหรอก และ ผู้ใหญ่โลกนี้แม่งไม่ต่างกันหรอก มันคือสิ่งที่เขาได้รับจากการเดินทางครั้งนี้
ก้องเองก็ด้วย แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้ แต่เขาก็ได้รู้ว่า ตัวเองคือใคร และ มาจากไหน เขาไม่ใช่แค่สิ่งที่อยู่ ๆ โผล่มาแล้ว แต่มีตัวตนจริง มีคนรัก มีเพื่อน และ มีเรื่องราวตัวเอง (ซึ่งน่าสนใจว่า ตัวละครเพื่อนของก้องนั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนจริง ๆ หรือมีความสัมพันธ์ในแบบอื่น) ซึ่งความหวังนี้ทำให้เราได้เห็นในชั่วแวบหนึ่งว่า ก้องนั่งอยู่ข้าง ๆ เพื่อนของเขา ไม่ตายและมีชีวิตอยู่ แถมยังยิ้มรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นอีก
ทุกคนในเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ๆ ในนิวยูดอน คุณแม่กับลูกแห่งบ้านเชียง ผู้ใหญ่บ้านกับลาวันต่างมีความหวังที่จะได้พบเจอคนรักและทุกอย่างคลี่คลายไปได้ แบบที่เด็ก ๆ ในนิวยูดอนบอกว่า การมีหวังทำให้ชีวิตมีความหมาย
เพราะหากว่า มนุษย์ไม่มีความหวังแล้วละก็...
เราคงเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิต ไร้ความหมายเท่านั้นเอง
เช่นเดียวกับที่หนังมันพูดถึงความหวังที่ส่งต่อให้กันต่อไป แม้ว่า ปัจจุบันจะเลวร้ายเพียงใด สิ่งที่หนังเรื่องนี้บอกคือ จงมีความหวัง และ ส่งต่อความหวังต่อไป
แบบที่ก้องส่งต่อความหวังให้สเตลล่า อิฐส่งต่อความหวังให้เด็กในนิวยูดอน สเตลล่าได้ส่งต่อความหวังให้ลูกสาว สาวบ้านเชียงส่งต่อความหวังให้ลูกชายหม้อดิน และ หนังเรื่องนี้ส่งต่อความหวังให้คนดู
ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนนิยาย ไลท์โนเวล มังงะ มังหวา คนทำหนัง เขียนบท คนทำอนิเมชั่น หรือ หนุ่มสาวที่มีความฝัน ความหวังทั้งหลายจงเชื่อมั่น
เพราะตราบใดที่ยังมีความรัก มันย่อมมีความหวังเสมอ
.
.
สามารถสั่งซื้อหนังสือ หนังสยองมีอยู่ว่า : ห้องบันทึกคดีของราตรี หนังสือที่เขียนเรื่องราวของหนังสยองขวัญมากมายในมุมมองที่น่าสนใจ และ หลายคนไม่เคยคิดมาก่อน โดยฝีมือของผมได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้ หรือ ร้าน Anitime มาบุญครองชั้น 7 หรือ บูธ สนพ Palo Publishing O28 ในงานหนังสือเดือนตุลาคมนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม - 20 ตุลาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ครับ
ลิงกฺ์สั่งซื้อหนังสือครับ
https://www.palonovel.com/p/238
+++++++++++++