Skip to main content

  

๑.
ฉันรักฤดูร้อน
เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาว

การได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต

สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอา
เกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตน


วันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ จะมีคนหิ้วปลาหมอปลากระดี่มาให้คุณยายทำปลาหมอต้มเค็มแสนอร่อย หรือไม่ก็ทำปลากระดี่ตากแดดไว้ทอดกินกับข้าวเหนียวนึ่ง

๒.

ชีวิตชีวาของฤดูร้อนแทรกอยู่ในสีฟ้าจัดของท้องฟ้า สีชมพูอ่อนหวานของชมพูพันธุ์ทิพย์ สีเหลืองจ้าของคูน สีส้มจัดของทองกวาว และสีแดงแจ๋ของแตงโมที่ผ่ากินกันในวันร้อนจัดๆ


คุณยายชอบเล่าถึงแตงโมบางเบิดขนาดมโหฬาร กรอบหอมหวานอย่างที่แตงพันธุ์ไหนก็เทียบไม่ได้ ฉันโตทันแค่แตงโมลูกกลมโตเปลือกดำ เนื้อทรายแดงฉ่ำ รสหวานชื่นกว่าแตงจินตหราหรือแตงกินรีที่คนสมัยนี้นิยมกัน


บ้านสี่ขาหน้านี้แล้งจัด น้ำในบ่อลดลงจนเกือบแห้ง แต่ก็ยังพอให้หมาได้ลงไปยืนแช่แก้ร้อน ควายพยายามเกลือกตัวเองอยู่ในปลักที่น้ำน้อยจนกลายเป็นบ่อโคลนหนืดข้น กบ อึ่งอ่างหายหน้าหายตาไป คงจะซุกอยู่ในไอเย็นของดิน นึกถึงตอนอยู่ชั้นประถม คุณครูเคยบอกว่า บางฤดูสัตว์จำพวกกบจะหลบไปจำศีล ยังอุตส่าห์ถามคุณครูด้วยความสงสัยว่า มันลืมศีลข้อไหนหรือคะ

 

๓.

งานหนักในฤดูร้อนคือการซ่อมรั้ว ก่อนฝนจะมา ฉันต้องรีบซ่อมรั้วบ้านที่กำลังผุได้ที่ ไม้รวกเป็นอาหารชั้นดีของฝูงปลวก ไม่เว้นแม้แต่ลำต้นตะโกที่เป็นเสาหลัก ผลักเบาๆ ก็อาจล้มครืนเพราะปลวกกินเนื้อในจนกลวง ซึ่งหมายถึงว่า หมู่หมาซ่าๆ กว่าสามสิบตัวจะมีโอกาสออกไปซ่านอกบ้าน


เพื่อนที่น่ารักคนหนึ่งอาสาอย่างมีน้ำใจว่าจะไปช่วยซ่อมรั้ว ฉันนึกถึงร่างเล็กๆ ที่ผอมบางแล้วจำต้องปฏิเสธน้ำใจของเพื่อน เธอบอกอย่างแน่ใจว่าไม่กลัวหมา ส่วนฉันแน่ใจ (ยิ่งกว่า) ว่าหมาๆ ก็ไม่กลัวเธอ

 

๔.

เสน่ห์ของค่ำคืนในฤดูร้อนคือสายลม

ลมแรงที่มักจะพัดมาเฉพาะยามดึก ทำให้นึกถึงวัยเยาว์ อาบน้ำเย็นจากโอ่งมังกรแล้วประแป้งดินสอพองของคุณยาย คว้าหมอนหนึ่งใบออกมานอนเขลงกลางชานเรือน มองดาวบนฟ้า มีเสียงเพลงขลุ่ยจากวิทยุทรานซิสเตอร์ยามดึกของคุณตาคอยกล่อม


บ้านสี่ขามีลานดินโล่งริมบ่อน้ำ ฉันเคยลากแคร่ไม้ไผ่ออกมา กะนอนดูดาวให้ลมรำเพยในค่ำคืนที่พระจันทร์เป็นใจ แต่ปรากฏว่า บรรดาหมาๆ ไม่เป็นใจ แห่กันขึ้นเต็มแคร่ เอาแต่แย่งกันเลียเนื้อตัวหัวหูของฉัน จนต้องจำยอมสละแคร่แล้วหนีเข้าบ้าน

 

๕.

ฉันไม่เคยอยู่กับพ่อแม่ในหน้าร้อน เพราะจะถูกพาขึ้นรถโดยสารสองแถวโขยกเขยกข้ามเมืองและแม่น้ำสายใหญ่มาอยู่กับตายายที่บ้านนอก ตั้งแต่วันแรกๆ ของปิดเทอมไปจนเกือบถึงวันสุดท้าย


ความทรงจำประจำฤดูของฉันจึงเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง เป็นเสียงเกวียนเอียดออดกับเสียงกระดึงคอวัวที่ผ่านหน้าบ้าน เสียงข่าวหกโมงเช้าของดุ่ย ณ บางน้อย เสียงเพลงโฆษณาถ่านไฟฉายตรากบ เสียงกึงกังของถังน้ำในบ่อลึกเวลาหมุนลูกรอก เสียงแตกเปรียะของนุ่นฝักแก่จัดที่คุณยายจะแกะเอาปุยออกมายัดที่นอนหลังใหม่ และกลิ่นหอมชื่นของดอกมะลิที่เก็บมาลอยน้ำไว้ทำขนม


รอบบ้านร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ ข้างชานเรือนที่คุณยายใช้เป็นที่กวนขนม ต้มน้ำปลา มีต้นมะม่วงเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยรังมดแดงและเถาวัลย์สารพัดชนิด ฉันมักจะพาตัวเข้าไปให้มดแดงกัดเป็นประจำ ไม่ใช่เพราะสอยมะม่วง แต่เป็นการเก็บกระเช้าสีดา

 

๖.

หนังสือเรียนชั้นประถมล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังเล็กสีฟ้าที่อยู่ริมน้ำ เรื่องของพ่อหลี พี่หนูหล่อ (พ่อชื่อหมอหลำ แม่ชื่อแม่หยา อยู่แพที่สำเหร่) เรื่องของแพะสามตัวที่เดินข้ามสะพาน เรื่องของนกกางเขนสี่พี่น้อง รวมทั้งเรื่องของเด็กหญิงขันทองกับนางพรายน้ำใจดี


บางคืนที่แสงจันทร์กระจ่าง ท่ามกลางความเงียบสงัด ฉันเคยแอบคลานออกจากมุ้งไปที่นอกชาน หมอบเงียบเหมือนแมวอยู่ในความมืด มองเงาตะคุ่มของต้นมะม่วงใหญ่ หวังเหลือเกินที่จะได้เห็นเหล่าพรายน้ำและพรายไม้ตัวจิ๋วๆ ออกมาเต้นรำใต้แสงจันทร์ หากฉันเป็นเด็กดีมีน้ำใจ อาจมองเห็นภูตที่งดงามเหล่านั้นได้เหมือนหนูขันทอง และได้รับกระเช้าสีดาใบน้อยเป็นรางวัลแห่งความดี


ฉันเฝ้ารอนางพรายน้ำ แต่ก็รอเก้อ จนฤดูร้อนหนึ่งจึงได้พบกระเช้าสีดาแขวนอยู่บนต้นมะม่วง


กระเช้าสีดาเป็นพืชพันธุ์แสนพิเศษ ผลแก่ของมันจะกลายเป็นสีน้ำตาลแยกออกเป็นหกกลีบ แล้วก้านผลก็จะแตกกระจายกลายเป็นสาแหรกหิ้วกลีบไว้เหมือนกระเช้าใบกระจิริด จำได้ว่าเป็นฤดูร้อนที่หัวใจเล็กๆ เบ่งบานอย่างภาคภูมิ


ฉันคงจะเป็นเด็กดีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพราะแม้ภูตทั้งหลายจะไม่เคยปรากฏให้เห็น แต่ฉันก็ยังได้รับรางวัล

 

๗.

ฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าแดดแผดเผารุนแรงยิ่งกว่าปีกลาย

ใต้ร่มประดู่ใหญ่ริมบ่อน้ำเป็นลานสบายยามบ่ายของเหล่าสี่ขา แต่ไม่นานมานี้ มีนกไปกินลูกกาฝากจากไหนไม่รู้ บินมาถ่ายเมล็ดไว้บนต้นประดู่ กาฝากงอกงามจนประดู่เริ่มโทรม เพื่อนบ้านบอกว่า กาฝากทำให้ต้นไม้ใหญ่ตายได้ ถ้าจะรักษาประดู่ไว้ ต้องปีนขึ้นไปตัดกาฝากทิ้งให้หมด


ยามลูกกาฝากสุก สารพัดนกจะบินมากินเลี้ยงเสียงจ้อกแจ้กร่าเริง ฉันกำลังไตร่ตรองว่าควรปล่อยให้ธรรมชาติตัดสินหรือไม่ หากยอมให้กาฝากงอกงามตามใจ นั่นย่อมหมายความว่า นกเล็กๆ หลายชนิดจะมีแหล่งอาหารเพิ่มขึ้น แต่ประดู่อาจยืนต้นตาย และสิ่งที่หายไปคือความร่มครึ้มที่หมู่หมาได้อาศัยนอนกันเป็นประจำ

 

๘.

เสียงเพลงลูกทุ่งดังแหวกแสงแดดเจิดจ้ามาแต่ไกล

ใกล้เข้ามาคือรถกระบะขายน้ำแข็งใส่น้ำสารพัดชนิด โอเลี้ยงดำขมอมหวาน กาแฟเย็นหอมมัน ซาสี่รสซ่า ชาเย็นสีส้มใส่นม มีกระติกสารพัดสีแขวนราวเต้นระบำอยู่เต็มข้างรถ หมู่หมาทำท่าตื่นเต้น พากันยืดคอรอเห่า ฉันวิ่งเข้าบ้านไปคว้ากระติกใบเก่าและควานเศษสตางค์ในกระป๋อง ใจนึกถึงนมเย็นสีหวานเหมือนดอกชมพูพันธุ์ทิพย์

 

๙.

เช่นเดียวกับที่รักฤดูฝน และฤดูหนาว

ฉันรักฤดูร้อน

 

บล็อกของ มูน

มูน
รอยแผลลึกจากเขี้ยวและเล็บของเสือจิ๋วเริ่มตื้นขึ้นแล้ว หมอบอกว่าจะไม่ยัดผ้าก๊อซลงไปในแผลอีก ฉันถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ โล่งใจที่ไม่ต้องดูกรรมวิธีอันแสนจะหวาดเสียว ที่ถึงแม้จะคิดว่าเป็นประสบการณ์ดีๆ แต่ไม่ต้องเจอบ่อยๆ ก็น่าจะดี(กว่า)มีเพื่อนๆ ที่กลั้นใจขอดูแผลของฉันแล้วถามด้วยความตกใจปนสงสัยว่า แผลยาวและลึกขนาดนี้ ทำไมหมอถึงไม่เย็บ จึงขอนำคำหมอมาอธิบายเป็นความรู้ใหม่สำหรับใครๆ ที่ยังไม่รู้ ว่าเหตุที่ไม่เย็บนั้นก็เนื่องจากเข็มกับด้ายหมด ไม่ใช่สักหน่อย อันนั้นล้อเล่น ความจริงคือ แผลที่ถูกสัตว์กัดมีความเสี่ยงต่อเชื้อโรคบาดทะยัก (ซึ่งน่ากลัวมาก) และเชื้อตัวนี้จะเติบโตดีในที่ที่อากาศเข้าไม่ได้ …
มูน
แผงขายกล้วยปิ้งบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ดึงดูดให้ฉันลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ตั้งใจจะลง ตรงเข้าไปบอกแม่ค้าสาวว่า “กล้วยปิ้งสิบบาทค่ะ” เธอเหลือบตาขึ้นเหนือศีรษะแวบหนึ่งแล้วบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ขายยี่สิบบาท”ฉันสะดุ้ง รีบมองตามสายตาที่เธอตวัดไปเมื่อครู่นี้ เห็นป้ายแขวนไว้เขียนว่า กล้วยปิ้งทรงเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ด ชุดละ 20 บาท“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ไม่ทันเห็น เอ้อๆ งั้นกล้วยปิ้งยี่สิบบาท” ฉันรู้สึกตัวเองพูดจาเงอะงะเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ ด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งราคากล้วยในท้องตลาด ก็แหม กล้วยน้ำว้าบ้านฉันยังหวีละสิบบาทอยู่เลย (ยิ่งซื้อตอนตลาดวายอาจได้สามหวีสิบ)คนขายหยิบกล้วยสี่ลูกใส่ถุง…
มูน
อยู่ดีๆ ฉันก็เหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว แถมเป็นข้างซ้ายที่ไม่ถนัดเสียด้วยมือขวาหายไปไหนล่ะ ไม่หายหรอกค่ะ ยังอยู่ แต่มันยื่นใบลาพักชั่วคราว ฉันจำต้องอนุมัติ เพราะมันอ้างว่าเป็นคำสั่งแพทย์สาเหตุการป่วยของมือขวามาจากตัวฉันเอง มีแมวน้อยน่ารักสองตัวเป็นส่วนประกอบเสือจิ๋วกับสตางค์เป็นลูกแมวกำพร้าที่ถูกทิ้ง ความจริงมันมีพี่น้องสี่ตัว แต่อดตายไปสอง มันโชคดีที่ได้เจอฉัน หรือว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้ช่วยมันก็ไม่รู้ สองแมวเลยมาอยู่บ้านสี่ขา ได้ป้อนน้ำป้อนนมกันจนโตความที่ไม่รู้ว่าแมวทั้งสองตัวเกิดเมื่อไร การคาดเดาอายุของมันจึงคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อย ฉันตั้งใจจะจับมันไปทำหมันก่อนวัยกลัดมันจะมาถึง…
มูน
ฝรั่งมักเลี้ยงหมา ไม่ใช่ในฐานะสัตว์เฝ้าบ้าน แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตสมบูรณ์ของผู้ชาย ต้องประกอบด้วย การงาน บ้าน ภรรยา ลูกๆ และหมาอย่างน้อยหนึ่งตัวการเลี้ยงหมา(อย่างถูกวิธี) ช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กๆ ให้ละเอียดอ่อนและรู้จักความรับผิดชอบ เพราะหมาพูดไม่ได้ ต้องอาศัยการใส่ใจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่มันหิว หนาว ร้อน หรือป่วยไข้ไม่สบาย การใส่ใจในทุกข์สุขของอีกชีวิตหนึ่ง สอนให้เด็กๆ อ่อนโยนและลดความเห็นแก่ตัว นักจิตวิทยาบอกว่า เด็กมักสบายใจที่ได้บอกเล่าความลับหรือปรับทุกข์กับเพื่อนสี่ขา ในหลายๆ เรื่องที่เขาไม่อาจสื่อสารกับผู้ใหญ ทั้งเด็กๆ ยังได้หัดเผชิญกับความสูญเสีย…
มูน
ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน บางครั้งมีสายใยที่มองไม่เห็นผูกโยงเราไว้ด้วยกัน และสายใยเส้นนั้นก็อาจถักทอมาจากหนวดหรือขนแมวสักตัวหนึ่ง หลายคราวที่คนไม่รู้จักกัน มาพบเจอ พูดคุย และถูกชะตากันด้วยเรื่องของเจ้าสี่ขา เป็นไปได้ว่า ในโลกของมิตรภาพอันไร้เงื่อนไข ไม่อาจมีกำแพงใดๆ ตั้งอยู่ได้เย็นวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 แรงดึงดูดทางโทรศัพท์จากน้องสาวน่ารักชื่อน้องยู “ไปคุยเรื่องแมวๆ กันนะคะพี่” ทำให้ฉันเต็มใจนั่งรถบขส.จากบ้านนอกเข้ากรุง มุ่งไปโรงละครมะขามป้อม สี่แยกสะพานควาย ที่พลพรรครักแมวรวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะเพื่อชุมชนเป็นงานเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น มีคนรักแมว คนเลี้ยงแมว คนไม่เลี้ยง(แต่รัก)แมว…