Skip to main content

 

      ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ เป็นคำกล่าวของใครก็ไม่รู้ แต่ผมอยากจะแปลงเป็นอย่างนี้ว่า ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้และหนี...  น่าจะเป็นคำกล่าวที่ตรงที่สุด สำหรับการนิยามความหมายให้แก่การดิ้นรนของชาวโรฮิงญาในเวลานี้...

      จากเหตุการณ์ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นกรณีน้ำผึ้งหยดเดียว คือ มีรายงานข่าวว่า มีหญิงชาวพุทธในพม่า ถูกทารุณ ข่มขืนและฆาตรกรรม โดยชายยชาวมุสลิม 3 คน ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2012  เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป ได้สร้างความโกรธแค้นให้แก่ชาวพม่าเป็นจำนวนมาก แม้เจ้าหน้าที่ทางการพม่าจะจับกุมตัวผู้กระทำผิดได้ หากแต่ นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ความโกรธแค้นของชาวพม่าที่ถูกจุดขึ้นแล้วลดลงได้เลย มีการยกพวกไปฆ่า เผา ทำลายบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชาวมุสลิมโรฮิงญาในหลายพื้นที่ของรัฐอาระกัน มีกระทั่งการปล้น ฆ่า ข่มขืนหญิงชาวโรอิงญา(ในนามของการแก้แค้น) และก็มีแม้แต่การบุกขึ้นไปบนรถบัสโดยสารเพื่อนำตัวชาวมุสลิม 10 คนลงมาสังหาร ในเมืองตองอัพ (พื้นที่ๆอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุนับร้อยกิโลเมตร และผู้ที่ถูกนำตัวลงมาฆ่าก็ไม่ได้รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทารุณกรรมแรกนั้นแต่อย่างใด)

     ในหลายพื้นที่ของรัฐอาระกัน แทบจะเรียกได้ว่าเกิดการกลียุคขึ้น มีการเข่นฆ่ากันและกัน โดยไม่เว้นว่า เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ สตรีหรือคนชรา และแน่นอนน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เมื่อสู้ไม่ได้จึงจำเป็นต้องหนี ชาวโรอิงญาหลายพันหลายหมื่นคนจึงลอยเรือออกจากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อที่จะหนีการเข่นฆ่าออกไปหาพื้นที่ใหม่ที่ปลอดภัยต่อการใช้ชีวิตมากกว่า จุดหมายของพวกเขาคือ มาเลเซีย หรือประเทศทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นับถือศาสนาอิสลาม บางคนก็คิดไกลไปถึงออสเตรเลีย โดยพวกเขาหลายๆคนก็ไม่ทราบว่าจะพลัดหลงเข้ามาในดินแดนบาร์บาเรี่ยนที่อยู่ทางทิศตะวันออกของพม่าแห่งนี้

     ชาวบาร์บาเรี่ยนมีนโยบายอยู่ว่าไม่รับผู้อพยพ ได้เคยใช้เรือรบของทหารผูกโยงเรือเล็กของชาวโรฮิงญาไปลอยทิ้งให้ตายกลางทะเลลึก ในปี 2552 (ช่วงนั้นเป็นการอพยพเข้ามาหางานทำ) โดยชาวบาร์บาเรี่ยนได้มีการพัฒนาสมองของตนอยู่เสมอ ในปีพ.ศ.นี้ที่โรฮิงญาอพยพหนีตายมา ชาวบาร์บาเรียนก็ได้เรียนรู้ว่า ตนควรจะหาประโยชน์จากผู้อพยพเหล่านี้ได้บ้าง จึงมีการจับกุม และนำชาวโรฮิงญาไปขายแก่ขบวนการค้ามนุษย์ในมาเลเซียต่อไป(รายละเอียดสามารถหาอ่านได้จากรายงานของสำนักข่าว BBC )

 

     ชาวโรฮิงญามีประวัติศาสตร์ว่าอาศัยอยู่ในรัฐอาระกันมายาวนานนับแต่ คริสตวรรษที่ 5 เคยเป็นรัฐที่เข้มแข็งและอ่อนแอสลับกันไป-มาในประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะเสียความเป็นรัฐอิสระเมื่อปี ค.ศ. 1784 เมื่อพ่ายแพ้ให้แก่พม่า เลยได้อยู่ในสถานะรัฐกันชนระหว่างพม่ากับอินเดียมานับแต่นั้น ก่อนที่จะกลายเป็นรัฐทางผ่านเมื่อพม่าพ่ายแพ้แก่อังกฤษในสมัยล่าอาณานิคม และเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์บาดแผลเฉกเช่นเดียวกับกลุ่มชนชาติพันธุ์อื่นๆในแถบเอเชียอาคเนย์แห่งนี้

     โดยอังกฤษได้ใช้นโยบายแบ่งแยกแล้วปกครอง ใช้คนชาติพันธ์กลุ่มน้อยปกครองคนกลุ่มใหญ่ในพื้นที่  และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ชาวพม่าไม่พอใจ ไม่ไว้วางใจกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆที่อยู่ในประเทศของตน ตรงนี่อาจช่วยอธิบายได้ว่า ทำไม..? กระแสน้ำผึ้งหยดเดียวจึงจุดติดได้อย่างง่ายดายในประเทศพม่าเช่นที่เกิดขึ้นเวลานี้

     หลังพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ จวบจนมาถึงรัฐบาลอูนุ ชาวโรฮิงญาในรัฐอาระกันได้รับสิทธิในการตั้งเขตปกครองพิเศษขึ้น(Mayu Frontier Administrative) ได้รับสิทธิในการเป็นพลเมืองพม่า มีบัตรประชาชน มีกระทั่งสถานีวิทยุออกอากาศเป็นภาษาของตนเอง นักศึกษาชาวโรฮิงญาตามมหาลัยได้มีการตั้งกลุ่มชมรมของตนขึ้น(เหมือนกลุ่มชมรมของนักศึกษาชาติพันธุ์ต่างๆในไทยในเวลานี้) เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จวบจนมีการรัฐประหารขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1962 เกิดรัฐบาลทหารโดยนายพลเนวินขึ้นมา และได้ดำเนินนโยบายแข็งกร้าว ตามทัศนะคติอันล้าหลังของทหาร มีการปราบปราบจับกุม เข่นฆ่าประชาชนผู้เห็นต่าง ทำสงครามเพื่อปราบปรามชนกลุ่มน้อยต่างๆในประเทศ ส่วนชาวโรฮิงญาก็ถูกยกเลิกสิทธิต่างๆที่เคยมี ทั้งเขตปกครองพิเศษ สถานีวิทยุ และสิทธิพลเมือง โดยการสร้างความเชื่อใหม่ว่า ชาวโรฮิงญาเป็นผู้ที่อพยพมาใหม่จากบังกลาเทศไม่ใช่ชนพื้นเมืองของรัฐอาระกัน

     เมื่อไม่มีสิทธิพลเมือง ก็เท่ากับถูกจำกัดสิทธิความเป็นมนุษย์ จะเดินทางออกนอกพื้นที่ก็ไม่ได้ จะทำงานก็ได้ทำแต่งานสกปรกที่ชาวพม่าไม่อยากทำ ทั้งยังถูกกดค่าแรงถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้างต่างๆนาๆ และไม่มีโอกาสที่จะได้รับการศึกษาทำให้ไม่มีความรู้ที่จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของตนได้ กล่าวง่ายๆได้ว่า ชาวโรฮิงญาตกไปเป็นกลุ่มชนชั้นต่ำที่สุดในสังคมพม่า ต่ำยิ่งกว่า กะเหรี่ยง คะฉิ่น ไทใหญ่และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ

     เมื่ออยู่บ้านเกิดก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อีกทั้งความเป็นคนก็ถูกทำให้หดหาย ซ้ำร้ายยังถูกเข่นฆ่าล่าล้างเผ่าพันธุ์ให้สิ้นซากอย่างนี้ ใครจะอยากอยู่และยังอยู่ นี่จึงเป็นสาเหตุให้ชาวโรอิงญายอมเอาชีวิตผุกไว้กับโชคชะตา ล่องเรือมาเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้น ชีวิตที่มีความหมาย ชีวิตที่จะได้เป็นคนเต็มคนเท่าเทียมกับคนอื่นๆในสังคมเสียที โดยที่ชาวโรฮิงญาผู้ไร้สิทธิพลเมืองและไม่มีการศึกษาเหล่านี้ไม่รู้เลยว่า เหนือนรกยังมีนรก และบนโลกนี้ยังมีเผ่าพันธุ์บาร์บาเรี่ยนอยู่

 

     ณ. ทางตะวันออกของพม่า ชนบาร์บาเรี่ยนที่เล็งเห็นแล้วว่า ตนสามารถได้รับผลประโยชน์จากชาวโรฮิงญาที่รอนแรมหนีตายมา ก็ได้ทำการติดต่อกับขบวนการค้ามนุษย์ เพื่อทำการซื้อขายชาวโรฮิงญาให้ไปเป็นทาสใช้แรงงานหรือจะเอาไปเรียกค่าไถ่ก็สุดแล้วแต่ วิธีการนี้ เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่ให้ประโยชน์แก่ชนบาร์บาเรี่ยนอย่างน้อยสองข้อ คือ หนึ่ง ทำเงินเข้ากระเป๋า สอง เป็นการแก้ปัญหาตามนโยบาย ไม่รับผู้ลี้ภัยตามนโยบายของรัฐบาล กระบวนการทำงานก็ทำทั้งสองภาคส่วน คือ ฝ่ายปฏิบัติการณ์ เมื่อพบเห็นชาวโรฮิงญาล่องเรือข้ามทะเลมา ก็จะนำพาขึ้นฝั่งเพื่อไปส่งต่อขบวนการค้ามนุษย์ ฝ่ายจิตวิทยา ก็จะกระทำการสร้างภาพน่ากลัวให้แก่ชาวโรฮิงญา โดยปฏิบัติการผ่านสื่อสารสมัยใหม่ เช่นเว็บไซต์ข่าวและสังคมโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กต่างๆ บอกว่าชาวโรฮิงญาเป็นมนุษย์หัวรุนแรงบ้าง ได้รับการฝึกอาวุธเพื่อมาก่อการร้ายในพื้นที่ชายแดนสามจังหวัดภาคใต้บ้าง ต่างๆนาๆ ฯลฯ ซึ่งก็ได้ผลดีเป็นอย่างยิ่งกับฝูงชนบาร์บาเรี่ยนที่รับข่าวสารทางอินเตอร์เน็ต3G(ปลอม)ของประเทศนี้ จนหลายๆคนที่อ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ ได้ลุกขึ้นมาเป็นแนวร่วมบาร์บาเรี่ยนในการช่วยโหมประโคมสร้างภาพอันโหดร้ายน่ากลัว และลดทอนความเป็นมนุษย์ของชาวโรฮิงญาให้มีค่าไม่ต่างจากปลวกหนอน ที่ควรจะถูกกำจัดให้หายสิ้นไปเสียจากพื้นโลก

     เอาละ.... ไม่ว่ากัน มนุษย์ก็ย่อมจะมีเหตุผลของมนุษย์ ผู้อพยพก็ย่อมมีเหตุผลของผู้อพยพ ส่วนบาร์บาเรี่ยนก็ย่อมมีเหตุผลของบาร์บาเรี่ยนเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตนกันทั้งสิ้น หากแต่ อยากย้ำเตือนให้ชาวบาร์บาเรี่ยนลองสมมุติว่าตนเป็นฝ่ายผู้อพยพบ้าง ผู้ที่ไม่สามารถอยู่บ้านเกิดของตนดินแดนที่ได้รับจากช่วงต่อจากบรรพบุรุษได้ จึงต้องออกเดินทางอย่างหวังไปตายดาบหน้า รอนแรมฝ่าพายุและเกลียวคลื่นในทะเลอันคลั่งบ้ามองหาฝั่งไม่เห็นหลายวันหลายคืน ก่อนที่จะมาเจอเรือใหญ่ที่มีผู้คนใส่ชุดเจ้าหน้าที่รัฐหนึ่งซึ่งน่าจะมีมนุษย์ธรรม เมื่อคิดว่าตนคงจะได้รับความช่วยเหลือให้รอดพ้นทุกเข็ญ มีงานมีการทำเผื่อจะได้ส่งเงินหรือข่าวสารกลับไปหาญาติๆลูกเมียที่บ้าน กลับถูกเจ้าหน้าที่ในชุดที่น่าจะมีคุณธรรมนั้น ส่งต่อไปให้แก่กลุ่มชายฉกรรย์ที่ทารุณโหดร้าย กระทืบ ทุบตี บังคับใช้แรงงานบ้าง บางคนก็ถูกบังคับสร้างเงื่อนไขว่าหากอยากมีชีวิตรอดกลับไปก็ให้ติดต่อกลับไปหาญาติให้หาเงินมาไถ่ตัวออก...  อยากให้บาร์บาเรี่ยนทั้งหลายลองจินตนาการบ้างว่า หากตนเป็นเช่นนี้ จะเป็นอย่างไร...? ยังจะอยากปฏิบัติหรือสนับสนุนแนวคิดอย่างบาร์บาเรี่ยนอยู่อีกหรือไม่...?

     แนวทางแก้ปัญหาที่รัฐไทยควรทำ ก็ควรจะให้ความช่วยเหลือเรื่องที่พักอาหารตามหลักมนุษยธรรม และมีการประชุมวางแผนกับประเทศกลุ่มอาเซียนและประเทศที่สามพร้อมทั้งหน่วยงานอย่างสหประชาชาติเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด ต่อทุกคน ทุกองค์กร ทุกประเทศต่อไป  พร้อมกันนี้ อาเซียนควรจะมีบทบาทในการแทรกแซงกิจการภายในที่ไม่เป็นธรรม กิจกรรมที่ทารุณโหดร้ายต่อมนุษยชาติของประเทศสมาชิกด้วย เพื่อให้การรวมกลุ่มกันครั้งนี้มิได้ชื่อว่าเป็นการรวมกลุ่มเพื่อหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังเป็นการรวมกลุ่มเพื่อสร้างเสริมความเท่าเทียมเสมอภาค ประชาธิปไตย ความปลอดภัยและมนุษยธรรมในบรรดาประเทศสมาชิกด้วย 

     ส่วนบาร์บาเรี่ยนทั้งหลาย เมื่อตระหนักได้แล้วถึงความโหดร้าย เลวทราม ต่ำช้าที่เกิดแก่ชาวโรฮิงญา ก็ควรจะลด ละ เลิกความเป็นบาร์บาเรี่ยนของตนหวนกลับมาเป็นมนุษย์ผู้มีคุณธรรมเฉกเช่นที่ชอบพร่ำออกปากบ่อยๆ  พร้อมทั้งลด ละ เลิก การให้พื้นที่ การให้ค่าแก่แนวคิดป่าเถื่อนบาร์บาเรี่ยนไร้มนุษยธรรม หันมาสนับสนุนส่งเสริม หลักมนุษยธรรม นำคุณค่าประชาธิปไตยเยี่ยงสากลโลกเขายอมรับและปฏิบัติมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนสังคมของตนให้ก้าวเดินพัฒนาไปข้างหน้า ขจัดข้อบทกฎหมาย จารีต ธรรมเนียมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยออกไปให้สิ้น เพื่อไม่ให้สังคมของตนหลงวกวนเวียนว่ายกับการเป็นบาร์บาเรี่ยนอีกต่อไป....

 

หมายเหตุ: ท่านใดอยากทราบจุดเริ่มต้นของการรำพึงรำพันนี้ เชิญตามไปอ่านเพื่อการศึกษาเรียนรู้ได้ที่ลิ้งค์เหล่านี้

1. http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=independent-infantry&group=9

2. https://www.facebook.com/sasdha/posts/490593927649443?

3. http://prachatai3.info/journal/2013/01/44767?utm_source=dlvr.it&utm_medium=facebook

4. http://theunjustmedia.com/Islamic%20Perspectives/June12/Photos%20of%20The%20Proofs%20of%20Violence%20in%20Arakan,%20The%20Muslim%20Rohingya%20Victims%20and%20Refugees%20(II).htm

5. http://news.yengo.com/news/txt/?id=800&da_id=232166

บล็อกของ Road Jovi

Road Jovi
หลายวันก่อน มีชายสูงอายุ ท่าทางเหมือนคนจรจัดเข้ามาดูต้นไม้ 
Road Jovi
ป่าไม้น่านหายไปไหน?-เป็นแคมเปญเรียกความสนใจของกลุ่มเอ็นจีโอบางกลุ่มอยู่...-คำตอบของคำถามข้างบน หากไปถามนักอนุรักษ์(ทำท่าจะเดินทางไปหาคำตอบกันอยู่นี่) ก็ไม่พ้นเกี่ยวเนื่องกับซีพี ข้าวโพดอาหารสัตว์ บลา บลา บลา....
Road Jovi
van van.รถแว๊นซ์เพื่อชีวิต
Road Jovi
ผมจะเขียนเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะจบประเด็นทั้งหมดก็แล้วกันนะครับ เพราะคิดว่าการถกเถียงกันไป-มาในโลกออนไลน์ ด้วยการโพสต์หรือเม้นเฉพาะข้อมูลที่ตนต้องการนำเสนอ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่ได้ช่วยให้สังคมเข้าใจความจริงมากขึ้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านหรือภาครัฐ ทั้งรังแต่จะทำให้สังคมเกิด
Road Jovi
 ข่าวสารในโลกวันนี้มีความหลากหลาย.......หลายอย่างก็เป็นความจริงที่เสนอตัวเองอย่างครบถ้วนรอบด้าน พอๆกับที่หลายอย่างก็เป็นความเท็จหรือจริงปนเท็จที่แต่งเติมเสริมเรื่องราวจนโอเวอร์เกินไป
Road Jovi
เมื่อหมู่คนให้ความชื่นชมแก่ใคร คนๆนั้นก็จะได้รับความนิยม.เมื่อได้รับความนิยมมากๆ ก็จะมีความสำคัญ.และเมื่อสำคัญมากๆ เขาย่อมได้รับการสถาปนาให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันใครจะแตะต้องมิได้...... 
Road Jovi
     ไปเชียงใหม่ครั้งที่ผ่านมา นั่งคุยกับมิตรสหายทั่นพี่นักเขียน ผมเล่าว่า พักหลังมันยากเหลือเกินที่ผมจะทำใจไปร่วมงานกับกลุ่มอนุรักษ์ ngoหรรมใหญ่หรรมน้อยทั้งหลาย เพราะทัศนะคติไม่ตรงกัน ในช่วงกปปส.ออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พวกเขาเหล่าต่างชัดเจนว่าเห็นด้วยร่วมเป็นแรงพลังหน
Road Jovi
ไม่มีเสียงใดๆ ความเงียบยังปกคลุม กสม.จนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นแถลงการณ์ ไม่เห็นการโผล่ออกมากล่าวคำใดของ กสม. ต่อกรณีการถูกลอบดักยิงจนเสียชีวิตของคุณไม้หนึ่ง ก.กุนที หรือนายกมล ดวงผาสุก กวีและนักเคลื่อนไหวเสื้อแดง
Road Jovi
เฮ่อ.... เหนื่อยเหมือนกันนะ เห็นตรรกะการออกมาสนับสนุนเห็นด้วยกับพรบ.สุดซอยนี้แล้ว...ถ้าเพื่อหวังความสงบสุขสมานฉันท์ แล้วเราต้องลืม ต้องยกเว้นกันไปนี่ เขาทำมากันเท่าไหร่แล้ว หลายครั้งแล้วในประวัติศาสตร์ และผลสุดท้าย ลืมกันได้ไม่นานก็ออกมาฆ่ากันอีก เพราะอะไร..??