Skip to main content

เมื่อหมู่คนให้ความชื่นชมแก่ใคร คนๆนั้นก็จะได้รับความนิยม

.

เมื่อได้รับความนิยมมากๆ ก็จะมีความสำคัญ

.

และเมื่อสำคัญมากๆ เขาย่อมได้รับการสถาปนาให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันใครจะแตะต้องมิได้

......

 

     นี่เป็นกระบวนการทางสังคมของสัตว์โลกรวมฝูง ซึ่งหากเป็นไปอย่างปกติ สังคมนั้นๆก็จะยังมีสติคิดนึกรู้จักหยุดยั้งความนิยมและ/หรือลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งอันเป็นที่นิยมอย่างสำคัญนั้นลงบ้าง ต่างจากสังคม”อปกติ”ที่คงอยู่อย่างผิดปกติ อยู่กับการอวยอย่างล้นเกินมานาน จนลืมสิทธิเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของตนเอง ให้ความสำคัญแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากว่าเพื่อนมนุษย์และในบางครั้งก็มากกว่าตนเอง

     สังคมเช่นนี้ เป็นสังคมมอมเมาและย่อมง่ายต่อการจะสร้าง สถาปนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกมากหลายขึ้นมาให้ตนเองกราบไหว้และหวังขอพรพึ่งพิง จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทั่วทุกหัวระแหง เต็มบ้านเต็มเมือง และต่างล้วนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ละเมิดมิได้ วิพากษ์มิได้ วิจารณ์ไม่ได้อีกด้วย แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวจะไม่มีตัวตนและไม่มีอิทธิฤทธิ์ใดๆที่จะมาดลบันดาลเภทภัยแก่ผู้วิจารณ์ แต่... แน่นอน ในสังคมอุดมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องมีติ่ง หรือกลุ่มชนที่ให้ความเคารพนับถือ ฝูงชนที่เป็นผู้ร่วมกันสถาปนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวนั้นขึ้นมา พวกเขาย่อมต้องรวมตัวกันอารักขาคุ้มครองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเอาไว้ และห้ามชนหมู่อื่นที่ไม่นิยมเหมือนเขาเข้ามากล้ำกรายหยามหมิ่นหรือวิพากษ์ การคุ้มครองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่อต้านการวิจารณ์มีหลายระดับ นับแต่การไม่เสาวนา เลิกคบ ดุด่า สาปแช่ง และถึงขั้นทุบตีทำลายในนามแห่งการทำความดีด้วยเหตุเพราะพวกเขาทำเพื่อปกป้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพวกเขาเหล่าติ่งสาวกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้เองคืออำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาเคารพนับถือ...

 

     ในสังคมที่ใช้ปัญญาได้น้อย ย่อมอุดมด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเมื่อเขาไม่สามารถใช้สติปัญญาอธิบายหรือทำความเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆที่พวกเขาเห็นและสัมผัสได้ ความไม่เข้าใจผนวกกับความหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อปรากฏการณ์นั้นๆย่อมทำให้จิตใจของพวกเขาหวั่นไหวและพยายามหาที่พึ่งพิง จะเป็นก้อนหิน ต้นไม้ สายน้ำ ภูเขา และ/หรือคนโง่เง่ามีขาก็สามารถจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้แก่พวกเขาได้ หากพวกเขาเชื่อร่วมกันว่าเจ้าสิ่งนั้นๆสามารถอธิบาย-เป็นที่พึ่งทางใจและให้ความคุ้มครองทางกายแก่พวกเขาได้ นี่คือขั้นตอนการสถาปนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างง่ายๆขั้นหนึ่งศูนย์หนึ่ง ที่เกิดได้ทั่วไปในสังคมยุคโบราณและเป็นบาทฐานให้แก่การสถาปนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยุคปัจจุบันที่เพิ่มความซับซ้อนแห่งกลไกการสถาปนามากกว่า ตัวอย่างเช่น ในยุคปัจจุบันตัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์เองก็สามารถโฆษณาโอ้อวดตัวตนอย่างล้นเกินได้ด้วยเพื่อช่วยกล่อมเกลาความเชื่อหรือสร้างอุปาทานหมู่ให้เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคมนั้นๆ...

     ในโลกสมัยใหม่ ที่สังคมโลกเกือบทั้งหมดเป็นสังคมประชาธิปไตย ที่มองว่ามนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์ จึงควรมีสิทธิเสรีภาพอย่างถ้วนทั่วเท่าเทียมกัน นั่น ก็เพราะการคลี่คลายสิ่งเร้นลับและปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆด้วยวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ ความเข้มข้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในสังคมจึงถูกลดบทบาทลงไป เพราะในเมื่อมนุษย์สามารถเข้าใจขั้นตอนวิธีการต่างๆของการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ของปรากฏการณ์ต่างๆได้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่พวกเขาจะต้องหาที่พึ่งพิงเพื่อเป็นขวัญกำลังใจและ/หรือเพื่อปกป้องคุ้มภัยอีก กล่าวได้ว่า ในโลกยุคใหม่ มนุษย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใดภายนอกตนอีก พวกเขาต่างพึ่งตนเอง เชื่อมั่นในสติปัญญาความรู้ที่ประจักษ์แจ้งอันเกิดแต่การใช้เหตุและผลของตนเอง

     ยุคสมัยใหม่นี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆล้วนถูกท้าทาย ศาสนาก็ถูกสั่นคลอน บุคลาธิฐานต่างๆก็ถูกตั้งคำถาม ท้าทาย และตรวจสอบ จนไม่มีมนุษย์คนใดในสังคมโลกปกติจะสามารถสถาปนาตนเองเป็นเทวดาอยู่เหนือผู้อื่นได้อีกต่อไป มนุษย์รู้ว่าทุกคนต่างเป็นมนุษย์ เมื่อเป็นมนุษย์เหมือนกันก็ย่อมมีความรู้สึกไม่ต่างกัน รัก-ชัง ชอบ-เกลียด โลภ-สันโดษ อาฆาต-เมตตา มีความปรารถนาในจุดหมายของชีวิต มีความรักตัวกลัวตาย คลั่ง-ใคร่ อยากมี อยากได้ อยากเป็น และไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น กันทุกคน ไม่แตกต่างกัน เมื่อคนทุกคนเป็นมนุษย์ที่มีความอยากเหมือนกันมาอยู่รวมกัน ถ้าเอาความอยากของทุกคนมาวางแผ่และใช้มันทั้งหมดในสังคมย่อมทำให้เกิดความวุ่นวาย จึงต้องสร้างกฎระเบียบขึ้นมาบังคับใช้ในสังคมพร้อมทั้งต้องมีผู้นำสำหรับบริหารจัดการและบังคับใช้กฎระเบียบต่างๆในสังคมเพื่อให้เกิดความสงบสุข แน่นอน ผู้นำในสังคมยุคใหม่ ย่อมไม่เหมือนผู้นำบุคคลาธิฐานที่สถาปนาตนเองขึ้นมาเป็นเจ้าเหนือหัวเทียมเทพเทวดาเหมือนผู้นำในยุคสมัยก่อน ผู้นำในสังคมยุคใหม่ต้องมาจากการเลือกสรรยอมรับของผู้คนที่มีความหลากหลายในสังคม และนี่ก็คือบาทฐานของระบอบการปกครองในสังคมประชาธิปไตยในปัจจุบัน

     สังคมโลกยุคใหม่เป็นประชาธิปไตย แต่แน่นอน... ในซอกหลืบเร้นของโลก ย่อมยังต้องมีรัฐประเทศที่ยังปกครองกันด้วยระบอบป่าเถื่อนเดิมๆ ที่ผู้ปกครองใช้อำนาจป่าเถื่อนโหดร้ายกดข่มประชาชนในสังคมอยู่ โดยใช้การหลอกลวง มอมเมา  อ้างอิงตัวตนเข้ากับเทพเทวดา สถาปนาตัวตนให้มีความสำคัญเหนือมนุษย์ โดยเอาหลักธรรมตามศาสนาและเทพ-ผีที่เป็นความเชื่อพื้นฐานในสังคมของตนแต่เก่าก่อนมาปรับใช้ให้ผู้คนสยบยอมหมอบราบกราบตน

 

     สังคมดังกล่าว แม้จะพยายามอย่างเหลือเกินในการป่าวประกาศแก่ชาวโลกว่าตนเองปกครองกันด้วยระบอบประชาธิปไตยเฉกเช่นชาวโลก แต่โดยเนื้อแท้นั้น สังคมโลกย่อมสัมผัสได้เองถึงความไม่เป็นประชาธิปไตย สัมผัสได้ถึงความเป็นระบอบเผด็จการอำนาจที่ไม่ว่าจะโดยธรรมหรือโดยระยำใดๆในสังคมนั้น

     เพราะอะไร...? ง่ายมากหากเราใช้แว่นตาของมนุษย์โลกปกติมองเข้าไปในสังคมดังกล่าว เราจะเห็นได้ง่ายๆตั้งแต่แรกด้วยชื่อระบอบประชาธิปไตยของสังคมนั้นๆจะยืดยาวกว่าของชาวโลกปกติ เพ้งมองเข้าไปเครือข่ายกลไกองค์กรการปกครองก็จะยิ่งชัดเจนเห็นถึงความเผด็จอำนาจของผู้นำและชนชั้นนำในสังคม ว่า ไอ้คำว่าประชาธิปไตยของสังคมดังกล่าวนั้นมันไม่มีประชาชนอยู่ข้างใน ผู้นำไม่ได้มาจากเสียงของประชาชน ประชาชนไม่ได้เลือก ไม่มีสิทธิเลือกผู้นำขึ้นมาปกครอง หรือในบางสังคมที่แนบเนียนมากหน่อยก็อาจจะมีการสร้างภาพจัดตั้งคูหาให้ชาวประชามาใช้สิทธิ์เลือกผู้นำ แต่นั่นก็มีเงื่อนไขให้เลือกได้เฉพาะคนที่ชนชั้นนำต้องการ หรือบังคับแต่แรกเลยว่าให้ผู้ที่ลงรับการเลือกตั้งนั้นต้องมีแต่คนที่ชนชั้นนำอนุญาต และสมมุตว่าถ้าเกิดปรากฎการณ์ประชาชนทั้งหลายร่วมกันเลือกผู้นำที่อยู่นอกเหนือจากที่ชนชั้นนำต้องการ กลไกอำนาจของผู้เผด็จการอำนาจก็จะเริ่มกระบวนการทำลาย โดยใช้วิธีการทางรัฐสภาที่มีคนที่ตนแต่งตั้งเข้าไปนั่งรออยู่ก่อนแล้วคอยเล่นงานด้วยกฎระเบียบต่างๆประดามี หากไม่สำเร็จก็ใช้การกดดันนอกรัฐสภาโดยใช้มวลชนจัดตั้งที่หาได้ง่ายมากและแทบไม่มีค่าใช้จ่ายด้วยชนชั้นนำได้โปรปากันดาหลอกลวงกล่อมสมองให้หลงวนอยู่กับความเป็นสมมุติเทพเทวดาและความดีงามที่คัดลอกมาจากศาสนาต่างๆจนหลงลืมความเป็นมนุษย์ของตนเอง

     ส่วนมาก เมื่อถึงขั้นนี้ผู้นำรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาก็มักจะอยู่ไม่ได้เสียแล้ว เพราะถูกกดดันกระนาบทั้งนอกและในสภา แต่ถ้าหากยังรั้งยั้งอยู่ แน่นอนกระบวนการทวงคืนกระชับอำนาจขั้นสุดท้ายที่เด็ดขาดและแน่นอนที่สุดของเผด็จการย่อมมีอยู่ นั่นคือ... การให้กองทัพถือปืนขับรถถังออกมายึดอำนาจ ขับไล่รัฐบาลที่ประชาชนเลือก และจับพร้อมฆ่าทุกคนที่ขวางทางอำนาจเถื่อนของเผด็จการ และนี่ก็คือวิถีทางที่เคยเป็นมา ยังเป็นอยู่ และจะเป็นต่อไปในรัฐประเทศที่สิทธิประชาธิปไตยในหัวใจของประชาชนยังไม่งอกงามเข้มข้น รัฐประเทศที่ยังคงมีเผด็จการเบ็ดเสร็จครอบงำการปกครองและแทรกซึมไปจนถึงวิถีชีวิตประจำวันของประชาชน

     ในสังคมรัฐประเทศอย่างที่กล่าวมาจึงง่ายมากที่จะมีการสถาปนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือให้ความสำคัญอันเป็นพิเศษเหนือชาวประชาแก่ใครก็ได้ที่ชนชั้นเผด็จการอำนาจเลือกขึ้นมา เขาผู้นั้นสามารถได้รับการสถาปนาให้เป็นได้หมดทั้งเทพ เทวดา ผีป่า ผีเขา ผีน้ำ และหากจำเป็น... เพื่ออ้างอิงว่าเขาผู้นั้นเป็นคนดีมากมายดีอย่างล้นเกินเขาก็สามารถกระทั่งจะได้รับการสถาปนาเป็นโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญตบะบารมีตามคำสอนของศาสนา

 

     แต่การอ้างอิงเพื่อสถาปนาความสำคัญอันศักดิ์สิทธิ์ให้แก่คนผู้นั้นจะมีข้อแม้อยู่นิดเดียวตรงที่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขา จะไม่สามารถสถาปนาตัวตนได้เทียบเทียมหรือเทียบเท่าผู้เผด็จการอำนาจที่แท้จริง ที่คอยหนุนช่วยเขาอยู่เบื้องหลัง เพราะนั่น คือการท้าทาย เป็นสิ่งที่ผู้เผด็จการอำนาจตัวจริงยอมรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด โทษของผู้ที่หลงเข้าไปท้าทาย ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ คือความตายและการสูญสลายหายไปจากสังคมอย่างอากาศธาตุ...

     นั่น... คือตัวอย่างของบุคคลที่รัฐเผด็จการยกขึ้นมาให้เป็นคนสำคัญ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อย่างที่กล่าวมาในตอนต้น ใช่แต่ผู้ที่รัฐเผด็จการยกชูขึ้นมาเท่านั้นที่จะเป็นคนสำคัญได้ ในสังคมเผด็จอำนาจ ปฏิเสธการใช้สติปัญญาความคิด อุดมการณ์ประชาธิปไตยไม่เข้มข้น วิทยาการทางวิทยาศาสตร์ย่อมด้อยต้อยต่ำ ผู้คนย่อมหลงงมงายอยู่กับสิ่งลวงตาต่างๆ ความเชื่ออย่างงมงายคือพลังพลวัฒน์ในการผลักดันสังคมให้เดินก้าวไปข้างหน้าอย่างมืดบอด สังคมเช่นนี้เอง ย่อมสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากหลายขึ้นมาจนเต็มไปหมด จะท้องนา หัวไร่ ในป่า บนเขา ต่างเป็นที่สถิตอยู่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากความงมงายมืดบอดทางปัญญาของผู้คนในสังคม เช่นเดียวกัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นตัวคน เป็นบุคคลทั่วๆไป และ/หรือกระทั่งพวกที่เป็นฝ่ายต่อต้านอยู่ตรงข้ามกับชนชั้นเผด็จการอำนาจก็สามารถจะสถาปนาตัวตนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกลุ่มชน ในกระบวนการของตนได้เช่นเดียวกัน

 

     การวัดว่าใคร? สิ่งใด? คือความศักดิ์สิทธิ์ สามารถวัดได้ด้วยสาวกหรือติ่งที่สนับสนุน ส่งเสริมยกชูและเชียร์สิ่งเหล่านั้นนั่นเอง สาวกหรือติ่งของสิ่งดังกล่าวจะคอยช่วยปกปักรักษาดูแลป้องกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาด้วยทุกวิธีการที่พวกเขาทำได้ นับแต่การห้ามวิพากษ์วิจารณ์ ห้ามสงสัย ห้ามตรวจสอบไปจนถึง ดุด่าว่ากล่าว ขับไล่ไสส่ง ไปจนทำร้ายร่างกายและ/หรือฆ่าให้ตกตายไปในนามแห่งการปกป้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์

     และแม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นก้อนดิน ก้อนหิน ต้นไม้ หรือภูเขาเลากาใดๆ จะไม่ได้มีส่วนช่วยยังประโยชน์อันใดแก่เหล่าสาวกเลย แต่พวกเขาก็ย่อมต้องช่วยกันปกป้องและดูแลรักษามันให้คงสถานะอันศักดิ์สิทธิ์นั้นไว้ ก็ไม่ต่างจากผู้คนอันศักดิ์สิทธิ์ที่แม้เขาจะเป็นแค่เพียงคนขี้คุยโต ขี้โม้ โอ้อวด  สร้างภาพ ไร้สมองไม่มีแผนการในการนำมวลชนสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ และทำความผิดมากมาย นำพาสาวกไปสู่ความตายและการถูกจับกุมไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่พวกเขาก็จะยังได้รับการยอมรับนับถือ เชิดหน้าชูตา และพร้อมจะออกมาปกป้องรักษาให้ยืนหยัดเชิดชูเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจของเหล่าสาวกไปอีกชั่วกัลปาวสาน....

 

จบการพล่าม... พึมพำ...  -_-

บล็อกของ Road Jovi

Road Jovi
หลายวันก่อน มีชายสูงอายุ ท่าทางเหมือนคนจรจัดเข้ามาดูต้นไม้ 
Road Jovi
ป่าไม้น่านหายไปไหน?-เป็นแคมเปญเรียกความสนใจของกลุ่มเอ็นจีโอบางกลุ่มอยู่...-คำตอบของคำถามข้างบน หากไปถามนักอนุรักษ์(ทำท่าจะเดินทางไปหาคำตอบกันอยู่นี่) ก็ไม่พ้นเกี่ยวเนื่องกับซีพี ข้าวโพดอาหารสัตว์ บลา บลา บลา....
Road Jovi
van van.รถแว๊นซ์เพื่อชีวิต
Road Jovi
ผมจะเขียนเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะจบประเด็นทั้งหมดก็แล้วกันนะครับ เพราะคิดว่าการถกเถียงกันไป-มาในโลกออนไลน์ ด้วยการโพสต์หรือเม้นเฉพาะข้อมูลที่ตนต้องการนำเสนอ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่ได้ช่วยให้สังคมเข้าใจความจริงมากขึ้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านหรือภาครัฐ ทั้งรังแต่จะทำให้สังคมเกิด
Road Jovi
 ข่าวสารในโลกวันนี้มีความหลากหลาย.......หลายอย่างก็เป็นความจริงที่เสนอตัวเองอย่างครบถ้วนรอบด้าน พอๆกับที่หลายอย่างก็เป็นความเท็จหรือจริงปนเท็จที่แต่งเติมเสริมเรื่องราวจนโอเวอร์เกินไป
Road Jovi
เมื่อหมู่คนให้ความชื่นชมแก่ใคร คนๆนั้นก็จะได้รับความนิยม.เมื่อได้รับความนิยมมากๆ ก็จะมีความสำคัญ.และเมื่อสำคัญมากๆ เขาย่อมได้รับการสถาปนาให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันใครจะแตะต้องมิได้...... 
Road Jovi
     ไปเชียงใหม่ครั้งที่ผ่านมา นั่งคุยกับมิตรสหายทั่นพี่นักเขียน ผมเล่าว่า พักหลังมันยากเหลือเกินที่ผมจะทำใจไปร่วมงานกับกลุ่มอนุรักษ์ ngoหรรมใหญ่หรรมน้อยทั้งหลาย เพราะทัศนะคติไม่ตรงกัน ในช่วงกปปส.ออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พวกเขาเหล่าต่างชัดเจนว่าเห็นด้วยร่วมเป็นแรงพลังหน
Road Jovi
ไม่มีเสียงใดๆ ความเงียบยังปกคลุม กสม.จนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นแถลงการณ์ ไม่เห็นการโผล่ออกมากล่าวคำใดของ กสม. ต่อกรณีการถูกลอบดักยิงจนเสียชีวิตของคุณไม้หนึ่ง ก.กุนที หรือนายกมล ดวงผาสุก กวีและนักเคลื่อนไหวเสื้อแดง
Road Jovi
เฮ่อ.... เหนื่อยเหมือนกันนะ เห็นตรรกะการออกมาสนับสนุนเห็นด้วยกับพรบ.สุดซอยนี้แล้ว...ถ้าเพื่อหวังความสงบสุขสมานฉันท์ แล้วเราต้องลืม ต้องยกเว้นกันไปนี่ เขาทำมากันเท่าไหร่แล้ว หลายครั้งแล้วในประวัติศาสตร์ และผลสุดท้าย ลืมกันได้ไม่นานก็ออกมาฆ่ากันอีก เพราะอะไร..??