ผมจะเขียนเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะจบประเด็นทั้งหมดก็แล้วกันนะครับ เพราะคิดว่าการถกเถียงกันไป-มาในโลกออนไลน์ ด้วยการโพสต์หรือเม้นเฉพาะข้อมูลที่ตนต้องการนำเสนอ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่ได้ช่วยให้สังคมเข้าใจความจริงมากขึ้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านหรือภาครัฐ ทั้งรังแต่จะทำให้สังคมเกิดความแตกแยกมากขึ้นอีกต่างหาก...
จากการที่ผมได้เขียนบล็อกชื่อ “ฟังความอีกด้าน กรณีบ้านห้วยหก เวียงแหง” ออกไป ก็ทำให้มีคนเข้ามาติดตามอ่านและแชร์จำนวนที่เยอะพอสมควร ก็คงมีทั้งคนที่เห็นด้วยและคนที่ไม่เห็นด้วย ส่วนทางเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือก็ได้มีการแชร์ข้อคิดเห็นที่เห็นต่างจากที่ผมเขียนไว้ที่หน้าเพจของพวกเขา(ไม่ใช่ในนามของเพจฯ) โดยที่ตัวผมเองก็ได้เข้าไปแสดงความคิดเห็นในที่ตรงนั้นด้วยและรวมทั้งคนอื่นๆก็เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยเช่นกัน
จากการอ่านและแสดงความเห็นผ่านหน้าเพจมันก็ทำให้ผมเห็นบางอย่างที่ควรจะพูดถึงเพื่อที่จะจบเรื่องราวพวกนี้เสียที
ทุ่งนาติดชายป่าท้ายหมู่บ้านห้วยหก ถ่ายจากหน้าหน่วยพิทักษ์อช.ห้วยน้ำดัง บ้านห้วยหก
คือ อย่างแรก ตอนที่ผมเขียนนั้น ผมรู้สึกเงิบและโกรธมากพอสมควร แม้ผมจะเขียนในบันทึกนั้นว่า ผมเป็นคนเชี่อคนยาก แต่จริงๆผมก็เชื่อนั่นแหละ ไม่งั้น จะบุกบั่นเข้าไปที่นั่นทำไม? จริงไหม? แต่พอไปแล้วเจอสิ่งที่มันเป็นข้อมูลที่แตกต่างจากที่เรารับทราบก่อนเข้าไป ซ้ำยังเป็นข้อมูลที่หักล้างกับสิ่งที่ผมรับทราบมาก่อนอีกด้วย ก็เลยรู้สึกว่า เหมือนเราถูกหลอก และนั่นแหละคือ อาการเงิบครับ
แรกเขียน ผมเขียนด้วยความโกรธ จึงมีประโยคที่ไม่เหมาะสมมากมาย จนผมต้องพักไว้ก่อน แล้วเข้าไปแก้อีกครั้งในวันหลัง ก่อนที่จะตัดสินใจโพสต์ลงบล็อก ซึ่งมันก็จะเป็นสำนวนที่ยืดยาว เยิ้นเย้อ และซ้ำประเด็นไป-มาตามที่ทุกท่านได้อ่านนั่นเอง ซึ่งอาจทำให้หลายๆท่านอ่านแล้วงง บางท่านก็อาจอ่านไม่จบ หรือตีประเด็นไม่แตก
เรื่องที่สองคือ การตีประเด็นไม่แตกและ/หรืออาจเป็นการไม่สนใจที่จะตอบ
อันนี้ ความที่มันยาว เยิ้นเย้อ และประเด็นวกวนย้ำซ้ำไป-มา อาจทำให้คนอ่านงงและตีประเด็นที่ผมต้องการสื่อสารไม่ออก จึงไม่เข้าใจ และไม่มีการตอบกลับมา ถึงประเด็นคำถามในบันทึกดังกล่าว ผมเขียนถึงข้อมูลสองด้านที่ขัดแย้งและหักล้างกัน หนึ่ง คือข้อมูลสถานการณ์ของชาวบ้านลีซูห้วยหก ที่กำลังได้รับความลำบาก เพราะถูกรัฐกระทำ ข้อมูลส่วนนี้ผมได้มาจากหน้าเพจของมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือทั้งสิ้น และเป็นสิ่งที่ผลักดันให้ผมอยากเดินทางเข้าไปเพื่อนำสิ่งของไปช่วยเหลือชาวบ้าน... สอง คือข้อมูลจากฝ่ายภาครัฐ คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐโดย กำนันสีทนต์ แก้วฝั้น ที่เป็นผู้นำชุมชนในพื้นที่ ได้ให้ข้อมูลอีกด้านที่เป็นข้อหักล้างข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือทั้งสิ้น
ข้อมูลเหล่านั้นมีอะไรบ้าง....??
============ ทางเพจมูลนิธิฯโพสต์ว่า ชาวบ้านลีซูห้วยหก ถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้และอุทยานฯห้วยน้ำดังอาศัยคำสั่งประกาศที่64ของคสช. จึงบุกเข้ามาตัดฟันพืชไร่ มีข้าวและข้าวโพดที่กำลังจะได้เก็บเกี่ยว เมื่อพืชเหล่านี้ถูกตัดฟันหมด ทำให้ชาวบ้านไม่มีข้าวไว้เก็บและกิน
::::::ประเด็นนี้ ผมได้เอาข้อมูลจากฝ่ายกำนันซึ่งเป็นข้อมูลที่แตกต่างกัน มาลงไว้ว่า เจ้าหน้าที่ป่าไม้และอุทยานฯห้วยน้ำดัง ได้เข้าไปตัดฟันพืชไร่ของชาวบ้านจริง แต่... ได้ทำการตัดฟันเฉพาะส่วนที่ชาวบ้านได้กระทำการรุกป่าเข้าไป คือปลูกเกินพื้นที่เดิมที่เป็นของตน
>ครับ ประเด็นนี้ ผมยังไม่เห็นทางเพจมูลนิธิภาคเหนือ หรือคนที่อ้างว่าทำงานในมูลนิธิฯเอาหลักฐานข้อมูล ข้อเท็จจริงอื่นๆมายืนยันโต้แย้งกับข้อมูลที่กำนันได้กล่าวมาเลยนะครับ
============ ทางเพจมูลนิธิฯโพสต์ว่า พื้นที่ชองชาวบ้านลีซู ที่ถูกตัดฟันมีประมาณ40ไร่ และมีผู้ได้รับผลกระทบ 15ครอบครัว
::::::ตรงนี้ ผมก็ได้ลงข้อมูลของกำนันที่แย้งว่า จริงๆพื้นที่การเกษตรรอบหมู่บ้านที่ถูกยึดคืนนั้น ไม่เยอะขนาดนั้น เพราะเป็นการตัดฟันและยึดคืนเฉพาะส่วนที่รุกเข้าไปในเขตป่าอุทยานฯ ซึ่งแต่ละเจ้าก็ไม่เยอะ ประมาณสอง-สามงาน รวมๆพื้นที่รอบหมู่บ้านทั้งหมดที่ถูกยึดคืนก็ประมาณสิบกว่าไร่เท่านั้นเอง แต่ก็มีพื้นที่ที่ถูกบุกรุกตัดฟันป่าเป็นหย่อมๆอยู่กลางป่า ห่างไกลจากพื้นที่การเกษตรของชาวบ้าน อยู่หลายสิบไร่ ซึ่งตรงนี้ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้กระทำการยึดคืนมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยที่ไม่สามารถจับผู้บุกรุกได้ เพราะไม่มีใครมาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของ โดยเจ้าหน้าที่กล่าวว่า หากมีใครมาแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกบุกรุกกลางป่าดังกล่าว ก็จะทำการจับกุมและส่งฟ้องดำเนินคดีข้อหาบุกรุกป่าทันทีเช่นกัน ... ส่วนจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ กำนันกล่าวว่าไม่ถึง15ครอบครัวอย่างที่เพจมูลนิธิฯกล่าว แต่เฉพาะชาวลีซูห้วยหกน่าจะราว ๆ7-8ครอบครัวเท่านั้น
>ครับ นี่ก็เป็นสองประเด็นที่แตกต่าง ที่ก็ยังไม่มีใครในมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือเอาข้อมูลที่เป็นจริงออกมาหักล้างข้อมูลของฝ่ายเจ้าหน้าที่อีกเช่นกัน
============เรื่องเงินเยียวยา ทางเพจมูลนิธิฯกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ให้มาเพียงหนึ่งหมื่นบาท สำหรับแบ่งกันในหมู่ครอบครัวพี่น้องลีซูที่ถูกตัดฟันพืชเกษตรนั้น พร้อมทั้งมีการเรียกร้องให้ทางเจ้าหน้าที่จ่ายเงินเยียวยามากกว่านี้
::::::อันนี้ข้อมูลจากฝ่ายกำนันบอกว่า เงินเยียวยาดังกล่าว เจ้าหน้าที่จ่ายไปเพราะโดนกระแสสังคมกดดันว่ากระทำป่าเถื่อนกับชาวบ้าน จึงจ่ายไปเป็นค่าเมล็ดพันธุ์พืชที่ชาวบ้านซื้อมาปลูกแล้วถูกตัดไป ไม่ได้หมายความว่าเป็นการจ่ายค่าพื้นที่ที่เข้าไปยึดแต่อย่างใด เพราะนั่นคือพื้นที่ป่าอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ไปยึดคืนมาเป็นพื้นที่ป่าดังเดิม ดังนั้นจึงไม่ต้องจ่ายชดเชยค่าพื้นที่เหล่านั้น
>ครับ เรื่องนี้ก็แตกต่างกัน ซึ่งก็ยังไม่เห็นเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือเอาข้อมูลอื่นใดมาหนุนเสริมข้อมูลที่ตนเผยแพร่ก่อนหน้านี้ เพื่อหักล้างข้อมูลของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ
=============เรื่องข้อเสนอของชาวบ้าน ที่ทางเพจมูลนิธิฯกล่าวว่า ควรมีการคืนพื้นที่ให้แก่ชาวบ้าน โดยมีการตรวจสอบข้อเท็จ ด้วยกระบวนการที่มีส่วนร่วม
::::::เรื่องนี้ กำนันก็ให้ข้อมูลมาว่า การจะให้คืนพื้นที่นั่น เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ทำหน้าที่รักษาป่าคงไม่สามารถคืนให้ได้ เพราะมันเป็นพื้นที่ป่า และการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยการมีส่วนร่วมนั้น กำนันบอกว่าทำอยู่ และต้องการให้ชาวบ้านลีซูเข้ามาร่วมประชุมประชาคมด้วยอย่างมาก แต่ก็บอกอีกว่า เมื่อจะจัดการประชุม ชาวบ้านพี่น้องลีซูก็ไม่เข้ามาร่วมสักที ยามหมู่บ้านจะมีประชุมประจำเดือน แต่พี่น้องชาวลีซูก็ไม่เคยเข้ามาร่วมประชุม ประกาศเสียงตามสายก็ไม่มา ไปบอกถึงบ้านก็ไม่มา แล้วพี่น้องชาวลีซูก็เอาการไม่ได้เข้าร่วมประชุมนี้ ไปอ้างว่า เรื่องข้อตกลงต่างๆระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้านห้วยหกอื่นๆ(คนเมือง)นั้น ไม่เกี่ยวกับพวกตน และพวกตนไม่ยอมรับข้อตกลงดังกล่าว
>ครับ เรื่องนี้ ทางเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ก็ยังไม่มีการให้ข้อมูลที่แท้จริงอื่นใดเพิ่มเติมเพื่อหักล้างข้อมูลของกำนันอีกเช่นกัน
============เรื่องการถูกตัดฟันข้าวไร่จนไม่มีข้าวเก็บไว้กิน
::::::ข้อนี้ ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่ได้ตัดฟันทั้งหมด ตัดเฉพาะส่วนที่ปลูกเกินเข้าไปในเขตพื้นที่ป่า ดังนั้นก็หมายความว่า ชาวบ้านก็ยังสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่างๆที่ปลูกบนผืนที่ดินของตนได้เช่นเดิม เพียงแต่ได้น้อยลงหน่อย เพราะส่วนที่ปลูกล้ำเข้าไปในพื้นที่ป่านั้นถูกตัดออกไปแล้ว
>ประเด็นนี้ ก็ยังไม่มีการแสดงหลักฐาน ข้อมูลต่างๆอื่นใด จากเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เพื่อหักล้างข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ที่ผมเอามาเผยแพร่อีกเช่นกัน
============เรื่องการลงข้อความโปสเตอร์รณรงค์ให้สาธารณชนร่วมบริจาคข้าวของเงินทองอื่นๆให้แก่ชาวบ้านลีซู ที่มีการใช้ข้อความว่า นอกจากชาวบ้านจะถูกตัดฟันข้าวที่ปลูกไว้กินแล้ว ในบางพื้นที่ ยังมีการลอบวางเพลิงเผายุ้งฉางที่อยู่กลางไร่อีกด้วย พร้อมทั้งมีการลงรูปภาพยุ้งฉางที่ถูกเผา
::::::เรื่องนี้ ผมได้ลงข้อมูลจากทางกำนันที่สอบถามเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ว่า ไม่เป็นความจริง การลงพื้นที่ยึดพื้นที่ของเจ้าหน้าที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคมหนึ่งครั้ง และเดือนกันยายน อีกหนึ่งครั้ง ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ฝนยังตกชุกอยู่ ยากที่ใครจะก่อไฟหรือเผาสิ่งใดกลางป่า อีกอย่าง กำนันกล่าวว่า ที่บ้านห้วยหก ไม่มีใครไปทำยุ้งฉางไว้เก็บข้าวของไว้กลางป่า เพราะกลัวถูกคนไปขโมย ในบันทึกที่แล้ว ผมจึงกล่าวว่า การที่เพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือให้ข้อมูลอย่างนี้ พร้อมทั้งลงภาพประกอบอย่างไม่มีที่มาที่ไปอย่างนี้ มันไม่น่าเชื่อถือ เพราะเหมือนเป็นการให้ข้อมูลแก่สาธารณชนว่าชาวบ้านโดนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำหนักมาก สร้างภาพว่าเจ้าหน้าที่เป็นปีศาจที่กระทำการเลวร้ายและอยุติธรรมต่อชาวบ้านมากๆ และผม ที่ก็ยังไม่เชื่อข้อมูลทั้งจากเจ้าหน้าที่ และจากเพจ ก็ได้ขอให้เพจช่วยลงข้อมูลที่แท้จริงเพิ่มมากขึ้น เช่น บอกพิกัดของยุ้งฉางที่ถูกเผา ทั้งบอกช่วงเวลาที่โดนเผา เป็นต้น
>ซึ่งเรื่องนี้ ก็ยังไม่มีคำตอบหรือข้อมูลอื่นใดจากทางเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนืออีกเช่นกัน
และผมก็จะยกประเด็นมาแค่นี้ เพราะเดี๋ยวมันจะยาวเกินไป
สรุป ผมคงคุยอยู่กับความว่างเปล่า..................
........................................................................................................
...........................................................................................................................................................
ท้องทุ่งหน้าทางเข้าหมู่บ้านห้วยหก ในยามนี้เป็นที่เลี้ยงสัตว์
ผมได้อ่านข้อมูลจากทางเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ก็เชื่อครึ่งหนึ่ง จนได้ออกเดินทางเข้าไปในพื้นที่ เมื่อเข้าไปในพื้นที่ ก็ได้รับทราบข้อมูลอีกส่วนหนึ่งที่แตกต่างกัน ซึ่งผมก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง(ตราบจะมีการพิสูจน์ความจริงร่วมกัน) ผมจึงเอาข้อมูลทั้งสองส่วนมาเขียนเปิดเผยในพื้นที่สาธารณะ คือ ในบล็อกนี้ เพื่อที่ว่าสาธารณชนจะได้รับทราบข้อมูลทั้งสองด้าน คนที่ติดตามเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ รับทราบข้อมูลจากมูลนิธิฯมา ก็จะได้มีโอกาสรับทราบข้อมูลจากทางฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐบ้าง การได้รับข้อมูลจากทั้งสองด้าน มันจะทำให้สังคมของเรามีสติกันมากขึ้น ไม่กล่าวหา ใส่ร้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนเกินไป เมื่อสังคมได้สติ เราก็จะได้มานั่งคุยกันอย่างอารยชน และจะได้แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องต่อไป
มีคนถามว่า ทำไม ผมไม่เขียนเผยแพร่ในพื้นที่ส่วนตัวของผมเอง เช่นในเฟซบุ๊กของผม ก็จะบอกว่า เฟซบุ๊กส่วนตัวของผม มีเฟรนด์ที่ติดตาม ที่คุยกันประจำแค่ สิบ หรือยี่สิบคน แต่ประเด็นเรื่องนี้เป็นประเด็นสาธารณะ เพราะข่าวนี้ในเพจของมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ มีคนสนใจติดตาม กดไลค์ คอมเม้น และแชร์กันเยอะมาก(ล่าสุดเฉพาะโพสต์ที่ผมแคปมาประกอบในบันทึกที่แล้ว มีแชร์1364 ไลค์2876 คอมเม้นท์765) โดยพวกเขาก็ได้รับข้อมูลจากทางเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือเพียงทางเดียว(เพราะโพสต์นี้โพสต์ก่อนที่ผมจะเข้าไปในพื้นที่แล้วเขียนบันทึก) ผมเลยคิดว่า มีความจำเป็นอย่างมากที่สาธารณชนจะต้องได้รับทราบข้อมูลอีกด้าน เพื่อที่จะได้เห็นแง่มุมของสิ่งที่เกิดขึ้นให้ครบถ้วน รอบด้านมากขึ้น ผมจึงเอาบันทึกดังกล่าวมาลงในบล็อกที่นี่
และก็อย่างที่เห็น ผมก็ไม่ได้ยืนยันว่าข้อมูลของฝ่ายรัฐที่ผมรับทราบมาจะเป็นจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับข้อมูลของเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือผมก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นจริงทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมันมีข้อมูลแตกต่าง สาธารณชนก็ควรจะได้รับทราบทั้งสองทาง และอีกอย่างคือ ด้วยความที่ข้อมูลของฝ่ายรัฐมันหักล้างกับข้อมูลที่ทางเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือได้เผยแพร่แก่สาธารณชนมาก่อน ผมก็คิดว่า ทางเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือก็ควรที่จะเอาข้อมูล ข้อเท็จจริง มายืนยันข้อมูลของฝ่ายตนให้มากขึ้น เพื่อเป็นการหักล้างข้อมูลของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐที่ผมได้เอามาเผยแพร่ด้วย ทั้งนี้ ทางเพจมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ อย่าได้คิดว่า ผมตีรวนหรือหาเรื่องนะครับ แต่มันเป็นการที่ท่านจะได้แสดงข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆให้สาธารณชนรับทราบมากกว่า บันทึกดังกล่าวของผมมีคนแชร์ไปห้าร้อยกว่าแชร์ จะมีคนเชื่อข้อมูลของฝ่ายรัฐที่ปรากฏในบันทึกนั้นกี่คนก็ไม่ทราบ แต่.... แม้จะมีคนเชื่อน้อยคนหรือมีคนสงสัยในข้อมูลของเพจมูลนิธิเพียงไม่กี่คน ทางเพจก็ควรที่จะใส่ใจแสดงหลักฐานข้อมูลเพิ่มเติมให้สาธารณชนรับทราบนะครับ ยิ่งทางเพจใช้ชื่อขององค์กรมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือมาตั้งเป็นชื่อเพจ สาธารณชนก็ย่อมให้ความสนใจ รับฟัง ข้อมูล ข้อเท็จจริงจากทางเพจนะครับ... เมื่อความจริงอยู่กับเรา ก็ไม่เห็นจะต้องปกปิดหรือหวาดหวั่นใดๆเลย และอีกอย่าง ในเมื่อเราต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของชาวบ้านพี่น้องลีซูบ้านห้วยหก เราก็ควรจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่รัฐด้วยเช่นกัน
ต้องเข้าใจตรงกันว่า ผมไม่ได้ขัดแย้งกับท่าน เช่นเดียวกับท่านก็ไม่ควรจะมาขัดแย้งกับผม เพียงแต่เราได้ร่วมกันแสดงข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆให้สาธารณชนได้รับรู้รับทราบ เพื่อจะได้ร่วมกันคิดหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไปด้วยกันเท่านั้นครับ
...........................................................................................................................................
..............................................................................
กำนันสีทนต์ แก้วฝั้น ได้ทำตามที่รับปากผมไว้ คือ ได้นำข้าวสารที่ผมนำเข้าไป เอาไปจัดการแบ่งให้แก่ชาวบ้านห้วยหกที่ยากไร้อื่นๆ กำนันบอกว่า มีชาวบ้านห้วยหกหลายครอบครัวที่มีฐานะยากจน ไม่มีที่นา ต้องทำงานรับจ้างแล้วซื้อข้าวกิน ผมจึงฝากข้าวทั้งห้ากระสอบไว้กับแก แล้วให้แกจัดการแบ่งปันต่อไป และนี่ก็คือรูปที่กำนันถ่ายแล้วส่งมาให้ตั้งแต่วันที่12ธันวาคม ที่ผ่านมา
อย่าได้คิดว่าผมไม่สนใจชาวบ้าน ไม่ห่วงใยชาวบ้าน ไม่เข้าใจชาวบ้าน ในฐานะที่ผมก็เป็นคนจนๆคนหนึ่ง ผมย่อมทราบความลำบาก ความทุกข์ยากของคนจนๆด้วยกันดี ว่าในการดำเนินชีวิตไปแต่ละวันมันยากเข็ญเพียงใด แต่ทั้งนี้ เราก็ควรจะยึดมั่นในความเป็นจริงเช่นกัน และไม่ว่าจะเป็นคนจนคนรวยก็ไม่ควรมีอภิสิทธิ์ที่จะไปละเมิดกฎหมายได้ เพราะกฎหมายคือข้อตกลงที่เราจะต้องยอมรับ ยึดมั่นและปฏิบัติตามร่วมกัน สังคมที่ประกอบด้วยผู้คนที่แตกต่างหลากหลายจึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
ส่วนในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ผมคิดว่า ไม่มีวิธีไหนที่จะดีไปกว่า การเอาความจริงทั้งหมดมาตีแผ่เปิดเผยร่วมกัน เพื่อให้ทุกคนทุกฝ่ายได้รับทราบข้อเท็จจริงต่างๆตรงกัน และร่วมแก้ปัญหาด้วยกันได้อย่างถูกต้อง ถูกทาง การแก้ปัญหาโดยยืนอยู่บนความเป็นจริง ย่อมเป็นวิถีทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้เรื่องนี้คลี่คลาย จบปัญหาไปได้ด้วยความเป็นธรรม ที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ร่วมกัน และนั่นคือสิ่งที่ทุกฝ่าย ทุกคน ควรจะร่วมช่วยกันครับ...............
..................................................................................................................................................