Skip to main content

 

“คุณครูค่ะ ถ้าหนูเรียนจบ ม.6 หนูมาทำงานกับคุณครูได้ไหมค่ะ...”

สิ้นเสียงหวานใสของเด็กหญิง ครูอึกอักอยู่ครู่นึง ก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อนอาการประหม่าของตัวเอง และตอบคำถาม “โอ้... หนู มันยังเป็นเรื่องที่อยู่ไกลมาก ต้องรอให้หนูเรียนจบ ป.6 หรือม.3 เสียก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกันก็ได้ ตอนนี้หนูยังอยู่ ป.5 อยู่เลย ยังมีเวลาอีกนาน ขอให้หนูตั้งใจเรียนก่อนเถอะ...”

สิ้นคำตอบอย่างเป็นงานเป็นการ ทั้งครูและเด็กหญิงต่างคุยเรื่องสัพเพเหระกันต่อไป พลางหัวเราะคิกคักเป็นระยะ จนเด็กหญิงจะลากลับ เธอได้หันมาถามครูอีกว่า “ครูคะ แล้วหนูต้องเอาชุดนักเรียนโรงเรียนเก่าของหนูไปด้วยไหมคะ?” ครูนิ่งคิดอยู่ครู่นึงก่อนตอบ “เอาไปด้วยก็ได้หนู เราเอาไปก่อน เดี๋ยวค่อยไปแก้ชื่อโรงเรียนออก แล้วปักชื่อโรงเรียนใหม่ที่นั่นก็ได้”  “ค่ะ คุณครู” เด็กหญิงรับคำ พร้อมยกมือไหว้ลา แล้วเธอก็ซ้อนจักรยานของเพื่อนกลับออกไป........

 

นี่เป็นเรื่องที่หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าครูมาเล่าให้ผมฟังเมื่อวานนี้เอง(14 กุมภาพันธ์ 2556) เด็กหญิง อายุ 11 ปี เธอต้องออกจากบ้านมาพักที่บ้านเพื่อนของเธอชั่วคราว พักจนกว่าจะผ่านพ้นช่วงสอบปลายภาคในเดือนมีนาคมนี้ก่อน เธอก็จะได้ ไปอยู่ที่ศูนย์สงเคราะห์เด็กหญิงที่ต่างจังหวัดต่อไป

ทำไมเธอไม่อยู่บ้านของเธอ หลายคนคงสงสัยอย่างนี้?

แน่ล่ะ มันย่อมมีเหตุแน่นอนที่ทำให้เธอต้องออกจากบ้านอย่างนี้ นั่นก็คือ เธอจำเป็นต้องออกจากบ้านเดิม ออกจากสถานที่คุ้นเคย เพื่อความปลอดภัย และเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง

เด็กหญิงพักอยู่กับตา-ยาย เพราะพ่อ-แม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ในระแวกบ้านของยายที่อยู่ใกล้ๆตลาด มีบ้านญาติๆอยู่ใกล้เคียงหลายหลัง ตา-ยายรักหลานสาวมากจึงเลี้ยงเธอมาอย่างตามค่อนข้างใจ เธอ เด็กสาว เป็นเด็กที่กำลังโต เธอผอม สูง กำลังจะแตกเนื้อสาว ผิวเนียนแบบคมขำ คิ้มดกเข้มทำให้เธอดูคล้ายเด็กแขก ใบหน้ารูปใข่ เวลายิ้มมีรักยิ้มบุ๋มที่ข้างแก้มพร้อมโชว์ฟันขาวที่เรียงกันเป็นระเบียบราวมุก

วันเกิดเหตุ เป็นเวลา ประมาณสามทุ่ม ตากับยาย ได้ยินเสียงดังกุกกัก ลอดออกมาจากห้องของเด็กสาว ทั้งสองจึงเดินไปที่หน้าห้องหลานและผลักประตูที่ไม่ได้ล็อกนั้นเข้าไป ภาพที่ปรากฏ แทบทำให้ตากับยายสิ้นสติ นั่นคือ เด็กหญิงนอนหงายอยู่บนเตียงในสภาพเปลือยท่อนล่าง บนร่างของเธอมีร่างของผู้ชายคนหนึ่งนอนทับอยู่ ตากับยาย จึงร้องพร้อมตวาดเสียงดัง ชายคนนั้นรีบลงจากร่างของเด็กหญิง ฉวยเอากางเกงของมัน พร้อมผลุนผลันออกไปทางหน้าต่าง ตารีบขยับตามไปที่หน้าต่าง แต่ความมืดในคืนนั้นได้พรางร่างมันไปเสียแล้ว

สองตายายจึงถามเด็กหญิงว่า เจ้าหมอนั่นเป็นใคร? เด็กหญิงที่กำลังร้องไห้สะอื้นฮักไม่ตอบ เธอเอาแต่ร้องไห้ โดยมีตาและยายคาดคั้นถามอยู่ตลอดเวลา  

เนิ่นนาน... กว่าที่เธอจะปริปากพูดออกไป ตายายจึงรีบพาหลานสาวไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ ภายในคืนนั้น ตำรวจก็สามารถรวบตัวชายคนนั้นได้ และนำมาขังที่ สภ.ทันที ส่วนเด็กหญิงทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ให้ตายายนำไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่องรอยการถูกข่มขืนต่อไป

ในคืนนั้น สิ่งที่ตำรวจและผู้ปกครองของเด็กสาวรู้ก็คือ เด็กสาวถูกข่มขืน โดยผู้ชายที่ข่มขืนก็คือลุง(ลูกพี่ลูกน้องของยาย) ของเธอนั่นเอง

เช้าวันรุ่งขึ้น ตำรวจรีบทำเรื่องส่งผู้ร้ายไปฝากขังที่เรือนจำพร้อมกับห้ามประกัน ส่วนทีมสหวิชาชีพก็ได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ OSCC ที่เข้าเวรเมื่อคืน ทางทีมสหฯได้ เข้าไปพูดคุยกับตายาย และนำตัวเด็กมาสอบปากคำเพิ่มเติมที่โรงพัก  เพราะมีเจ้าหน้าที่ ที่เป็นผู้หญิง จึงทำให้เด็กวางใจและเชื่อใจ เธอจึงเปิดเผยสิ่งที่เธอปกปิดไว้ทั้งหมด เธอไม่ได้เพิ่งถูกข่มขืน เธอถูกลุงข่มขืนนานแล้วตั้งแต่อยู่ ป.4 ลุงแอบย่องเข้าห้องเธอบ่อยมาก และที่เธอไม่กล้าบอกตายายก็เพราะถูกลุงขู่ว่า หากเธอบอก จะฆ่าเธอ และเธอยังบอกด้วยว่า ที่เธอมีเงินใช้จนตายายและเพื่อนๆนักเรียนผิดสังเกต ก็เพราะลุงได้ให้เงินเธอหลังจากมีเพศสัมพันธ์นั่นเอง เมื่อทั้งทางทีมสหฯ และตำรวจได้ข้อมูลพยานหลักฐานพร้อม ตำรวจก็ได้ส่งเรื่องให้สำนักอัยการเพื่อส่งฟ้องศาลต่อไป ขณะนี้กำลังรอหมายเรียกจากศาล ส่วนทีมสหฯได้ประชุมกันเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ ต่างลงความเห็นว่า การที่จะปล่อยให้เด็กหญิงอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมต่อไป อาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นได้ เพราะระแวกบ้านของเด็กหญิง มีวัยรุ่นชายที่ไม่ได้เรียนหนังสือและมีนิสัยเกเรเยอะ แต่ครั้งจะส่งเด็กไปพักที่บ้านพักเด็กและครอบครัวเลย ก็เกรงว่าเด็กไม่เคยห่างบ้านนานๆจะตื่นกลัวสถานที่ได้  พอๆกับกำลังจะถึงช่วงสอบปลายภาคของเด็ก จึงหารือกันว่า ควรให้เด็กออกจากบ้านและมาพักอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่สามารถไปโรงเรียนได้ด้วย ทางทีมสหฯจึงได้ติดต่อไปหาผู้อุปการะที่รู้จักกัน เมื่อทางนั้นตอบตกลงก็ได้นำเด็กไปขนเสื้อผ้าข้าวของต่างๆไปพักที่บ้านผู้อุปการะทันที โดยการทั้งหมดนี้เป็นไปด้วยความยินยอมของตายายและพ่อแม่ของเด็กที่รีบกลับจากกรุงเทพฯทันทีที่รู้ข่าวของลูก

เหตุที่ทีมสหฯ ต้องแยกเด็กออกไปอยู่ที่อื่น มีข้อหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ กลัวว่าเด็กจะมีอาการทางจิตคือติดเซ็กค์ มีข้อมูลจากจนท.จิตวิทยาของบ้านพักเด็กบอกว่า เด็กที่ถูกข่มขืน จะมีพฤติกรรมสองอย่างที่เป็นไปทางตรงกันข้ามกัน คือ หากไม่ เกลียดกลัวผู้ชาย ก็จะติดเซ็กค์คือเรียกร้องใฝ่หาความรักจากเพศตรงข้าม โดยเฉพาะในเด็กที่ถูกข่มขืนนานๆ มักจะเป็นอย่างหลังกันเยอะ ทางทีมสหฯจึงอยากให้เธอออกไปอยู่ที่อื่น อยู่ในที่ๆปลอดภัยพร้อมกับใกล้โรงพยาบาลที่มีแพทย์แผนกจิตเวชมือดี เพื่อจะได้คอยตรวจดูและแก้ปมตรงนี้ให้แก่เธอ

สามวันต่อมา... ทางผู้อุปการะได้โทรศัพท์มาแจ้งแก่ทีมสหฯว่า เด็กร้องไห้ จะกลับบ้าน พูดยังไงก็ไม่ฟัง ทางทีมสหฯจึงประสานให้ จนท.เข้าไป พุดคุยกับเธอ ผลการพูดคุยทางทีมฯได้ทราบว่า เด็กรู้สึกอึดอัดเพราะต้องตื่น กิน นอน เป็นเวลา ต่างจากอยู่ที่บ้านที่เธออยากทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องทำงานซักผ้าล้างจาน เพราะตากับยายทำให้หมด แต่ด้วยการใช้คำพูด ให้เหตุผล และหลักจิตวิทยาของจนท. ก็ทำให้เธอสงบลงและยอมที่จะอยู่บ้านผู้อุปการะต่อไป พร้อมทั้งยินยอมที่จะย้ายไปอยู่บ้านพักที่ต่างจังหวัดหลังจากสอบเสร็จด้วย จนท.จึงได้ชวนเธอให้มาเที่ยวที่สนง.ด้วย เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และคำพูดข้างบนที่ผมยกมานั้น ก็เป็นคำพูดของเด็กหญิงหลังจากที่เธอมาเยือนสนง.ครั้งที่สองแล้ว...

กรณีอย่างนี้ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งเดียวที่ทางทีมฯได้รับแจ้งและเข้าไปช่วยเหลือ เหตุการณ์อย่างนี้ เกิดขึ้นอยู่ตลอดไม่ว่าจะเป็นในสังคมเมืองใหญ่ หรือในสังคมชายแดนเล็กๆก็ตาม อยู่ที่ว่าจะมีเหตุการณ์ไหนหลุดไปอยู่ที่หน้าสื่อฯหรือไม่เท่านั้นเอง เพราะคนที่ทำงานเรื่องนี้ ต่างรู้กันดีว่าจะต้องทำงานกันอย่างเงียบๆ เพื่อเป็นการปกป้องเด็กหรือหญิงสาวที่ตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ ไม่ให้พวกเธอถูกสังคมดูถูกเหยียดหยามและประณาม อย่างในกรณีของเด็กสาวนี้ การที่เราจะย้ายเธอออกนอกพื้นที่ก็ต้องประสานกับโรงเรียนเดิม พร้อมทั้งบอกแก่สังคมว่าเธอได้ทุนไปศึกษาต่อที่อื่น เป็นการสร้างเหตุผลรองรับไม่ให้คนในชุมชนของเธอแปลกใจต่อการหายไปของเธอนั่นเอง ซึ่งมันน่าแปลกว่า ในสังคมไทย หากเรื่องเหล่านี้เป็นที่รับทราบของสาธารณชน คนที่จะถูกตีตรามากที่สุดกลับเป็นฝ่ายเหยื่อซึ่งเป็นผู้หญิงที่สูญเสียมากกว่า ส่วนผู้ชายหลังติดคุกไม่นาน ก็ออกมาอยู่ในสังคมเดิมของตนได้ โดยไม่ต้องอับอายเท่ากับฝ่ายหญิงที่ถูกกระทำ มันคงเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า สังคมของเรายังเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศชายและหญิง คือยังเป็นสังคมที่ชายเป็นใหญ่นั่นเอง

สังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ที่ผู้กระทำผิดแทนที่จะสำนึกในการกระทำชั่วของตน กลับมีหน้ามาข่มขู่และคุกคามผู้เสียหายซะอีก  มันเป็นสังคมเดียวกันกับที่ผู้มีอำนาจบารมีและเงินทอง สามารถทำผิดได้โดยที่ไม่ต้องรับผิด ทำเลวอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าว่าเลว ทำชั่วอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าฟ้องเอาผิด เป็นสังคมที่คุกมีไว้สำหรับขังคนยากจน และส่วนมากมีแต่แพะทั้งนั้นที่อยู่ในคุก  

ซึ่งเราท่านทั้งหลายก็คงต้องอยู่ในสังคมเหลวเละเช่นนี้ต่อไป ไม่มีใครจะปรับเปลี่ยนมันได้อย่างแน่นอน ตราบใดที่สังคมของเราไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสียที สังคมนี้ก็เป็นแค่รัฐนาวาอันผุพังที่เสากระโดงโก่งงอ ไม้ข้างลำเรือคลอนจะหลุดมิหลุดแหล่ และหางเสือเรือก็ปริร้าวกำลังแล่นผ่านคลื่นลมมรสุมร้ายคลั่งบ้ากลางความมืดสนิทที่มองไม่เห็นแม้ลายมือตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกินที่รัฐนาวาลำนี้จะถึงฝั่งที่คาดหวัง โดยไม่แตกล่มจมลงใต้มหาสมุทรเสียก่อน...

ยุคสมัยของเราคงจะปรับเปลี่ยนสิ่งใดๆไม่ได้หรอก หากเพียงข้อเสนอเพื่อปรับปรุงกฎหมายและข้อบังคับใช้ต่างๆให้สังคมนี้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงก็ยังไม่ได้ ขนาดเรามีผู้นำที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ก็ยังขลาดเขลากลัวเกรงต่อพลังอำนาจนอกระบบที่เป็นตัวบ่อนเซาะทำลายสังคมตลอดมา ในเมื่อหัวไม่ส่าย ต่อให้หางกระดิกยังไง สังคมนี้ก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดี คงต้องรอวันที่มันแตกสลายเหมือนเรืออับปางกลางพายุเท่านั้น....

ซึ่งหากยุคนี้มันไม่มีการเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจริงๆ ผมก็คงได้แต่หวังในคนรุ่นต่อไป เช่นเด็กหญิงคนนั้น ซึ่งใฝ่ฝันที่จะได้ทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคม ได้ช่วยเหลือ ได้ดูแลคนที่ถูกกระทำเช่นเธอในอนาคต มันอาจดูเป็นความหวังที่แร้นแค้นยากจะเป็นจริง ด้วยระยะเวลาที่นานหลายปี ใจเธออาจเปลี่ยนแปลงไปเมื่อไรก็ได้

หากแต่... เรา ก็ไม่ควรทิ้งความหวังไปเสียหมด เพราะในบรรดาเด็กหญิงเด็กสาวที่เราได้ช่วยเหลือมา มีหลายคนที่กำลังเดินไปในเส้นทางที่ดี ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างมุ่งมั่น เช่นเด็กสาวคนหนึ่งที่ถูกพี่ชายแท้ๆล่วงละเมิด เธอถูกตราหน้าในสังคมทั้งหมู่ญาติและเพื่อนบ้านรอบข้างกระทั่งครูที่โรงเรียนว่า โง่ ขี้เกียจ แต่ตอนนี้ข่าวล่าสุดที่เราได้ทราบมาก็คือ เธอเรียนเก่งมาก และได้คะแนนท็อปภาษาอังกฤษสูงสุดในห้องเรียน และเธอยังได้รับมอบหมายเป็นติวเตอร์ภาษาอังกฤษให้กับเพื่อนๆเด็กสาวและรุ่นน้องในบ้านอุปการะที่เธอพักอยู่ด้วย และยังมีอีกหญิงสาวคนหนึ่งที่มุ่งมั่นในการเรียนวิชานิติศาสตร์อย่างมาก โดยเธอมีแรงขับจากการที่เธออยากจะได้นำเอาความรู้ในทางกฎหมายมาช่วยเหลือเด็กหญิงหรือเยาวชนที่จะถูกกระทำอย่างเธอ...

ฉะนั้นต่อให้สังคมนี้มันมืดมิดยังไง เราก็อย่าได้สิ้นหวังกับวันข้างหน้า เพราะมันยิ่งมืดมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งใกล้จะสว่างมากขึ้นเท่านั้น คนรุ่นใหม่ก็กำลังศึกษาเรียนรู้เพื่อจะมาร่วมเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ให้หายจากความฟอนเฟะอยู่  ส่วนเรา ในฐานะที่ยังเป็นคนหนุ่มในยุคนี้หากไม่สามารถเปลี่ยนมันได้อย่างถอนรากถอนโคนในปัจจุบัน ก็คงต้องพยายามขับเคลื่อนสังคมนี้ให้มันเข้าใกล้ความเป็นประชาธิปไตยให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อที่คนรุ่นหลังที่มาสานต่อจะได้ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ไกลนัก เราเริ่มต้นสู้ในช่วงที่หน้ากากที่ปกปิดสังคมนี้ยังใหม่ แข็งแกร่งสายงาม น่าเชื่อถือ หากแต่หลังจากที่เราเริ่มสู้กันมา หน้ากากใบนั้นก็เริ่มสกปรก เปรอะเปื้อน และกร่อนจนแตกลาย บางส่วนก็เริ่มกะเทาะหลุดไปแล้ว หากคนรุ่นหลังได้มาเริ่มจากจุดนี้  ไม่นาน... จะต้องสามารถกระชากหน้ากากอันปลิ้นปล้อนหลอกลวงใบนั้นทิ้งได้ และเมื่อนั้นสังคมนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริงได้แน่นอน... 

สุดท้ายนี้ จนท.ที่ได้รับบทเป็นครู(จำเป็น)ของเด็กสาวคนนั้น ได้บอกผมว่า แม้เธอจะไม่ได้บอกเด็กหญิงที่อยากจะมาทำงานด้วยว่าได้หรือไม่ได้ หากแต่ นับแต่การคุยกันวันนั้น คุณครู(จำเป็น)ก็ได้จัดการหาตำแหน่งไว้รอเด็กหญิงเรียบร้อยแล้ว เพียงขอให้เธอกลับมาเมื่อถึงเวลาก็แล้วกัน......

 

 

  

บล็อกของ Road Jovi

Road Jovi
หลายวันก่อน มีชายสูงอายุ ท่าทางเหมือนคนจรจัดเข้ามาดูต้นไม้ 
Road Jovi
ป่าไม้น่านหายไปไหน?-เป็นแคมเปญเรียกความสนใจของกลุ่มเอ็นจีโอบางกลุ่มอยู่...-คำตอบของคำถามข้างบน หากไปถามนักอนุรักษ์(ทำท่าจะเดินทางไปหาคำตอบกันอยู่นี่) ก็ไม่พ้นเกี่ยวเนื่องกับซีพี ข้าวโพดอาหารสัตว์ บลา บลา บลา....
Road Jovi
van van.รถแว๊นซ์เพื่อชีวิต
Road Jovi
ผมจะเขียนเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะจบประเด็นทั้งหมดก็แล้วกันนะครับ เพราะคิดว่าการถกเถียงกันไป-มาในโลกออนไลน์ ด้วยการโพสต์หรือเม้นเฉพาะข้อมูลที่ตนต้องการนำเสนอ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่ได้ช่วยให้สังคมเข้าใจความจริงมากขึ้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านหรือภาครัฐ ทั้งรังแต่จะทำให้สังคมเกิด
Road Jovi
 ข่าวสารในโลกวันนี้มีความหลากหลาย.......หลายอย่างก็เป็นความจริงที่เสนอตัวเองอย่างครบถ้วนรอบด้าน พอๆกับที่หลายอย่างก็เป็นความเท็จหรือจริงปนเท็จที่แต่งเติมเสริมเรื่องราวจนโอเวอร์เกินไป
Road Jovi
เมื่อหมู่คนให้ความชื่นชมแก่ใคร คนๆนั้นก็จะได้รับความนิยม.เมื่อได้รับความนิยมมากๆ ก็จะมีความสำคัญ.และเมื่อสำคัญมากๆ เขาย่อมได้รับการสถาปนาให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันใครจะแตะต้องมิได้...... 
Road Jovi
     ไปเชียงใหม่ครั้งที่ผ่านมา นั่งคุยกับมิตรสหายทั่นพี่นักเขียน ผมเล่าว่า พักหลังมันยากเหลือเกินที่ผมจะทำใจไปร่วมงานกับกลุ่มอนุรักษ์ ngoหรรมใหญ่หรรมน้อยทั้งหลาย เพราะทัศนะคติไม่ตรงกัน ในช่วงกปปส.ออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พวกเขาเหล่าต่างชัดเจนว่าเห็นด้วยร่วมเป็นแรงพลังหน
Road Jovi
ไม่มีเสียงใดๆ ความเงียบยังปกคลุม กสม.จนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นแถลงการณ์ ไม่เห็นการโผล่ออกมากล่าวคำใดของ กสม. ต่อกรณีการถูกลอบดักยิงจนเสียชีวิตของคุณไม้หนึ่ง ก.กุนที หรือนายกมล ดวงผาสุก กวีและนักเคลื่อนไหวเสื้อแดง
Road Jovi
เฮ่อ.... เหนื่อยเหมือนกันนะ เห็นตรรกะการออกมาสนับสนุนเห็นด้วยกับพรบ.สุดซอยนี้แล้ว...ถ้าเพื่อหวังความสงบสุขสมานฉันท์ แล้วเราต้องลืม ต้องยกเว้นกันไปนี่ เขาทำมากันเท่าไหร่แล้ว หลายครั้งแล้วในประวัติศาสตร์ และผลสุดท้าย ลืมกันได้ไม่นานก็ออกมาฆ่ากันอีก เพราะอะไร..??