Skip to main content

 

    ยูซุปนั่งผิงฝาท้ายกะบะรถปิคอัพ ถัดจากเขาเข้าไปเป็นน้าสาว ม๊ะ และญาติคนอื่นๆอีกสามคน ทุกคนนั่งอยู่บนเสื่อพาสติกคร่ำคร่าที่ปูทะบพื้นกะบะอีกที ใบหน้าของทุกคนเศร้าสร้อย ต่างรนั่งเงียบ ไม่พูดอะไรกัน น้าสาวซั่งตาแดงก่ำ เอามือวางบนไหล่ของม๊ะเป็นเชิงปลอบ ขระที่ม๊ะก็สะอึกสะอื้นอยู่กับผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตา ตรงกลางระหว่างทุกคนนั้น มีลังไม้วางอยู่ ซึ่งญาติๆเอาผ้าสีดำคลุมไว้ ยูซุปไม่อยากเห็นความหดหู่บนรถ เมื่อรถเคลื่อนจากที่ เขาจึงมองออกไปข้างหลังแทน

     รถปิคอัพเคลื่อนออกจากบริเวณโรงพยาบาล เข้าสูถนนสายหลักที่ตัดผ่านใจกลางเมือง รถวิ่งไม่เร็วนัก ไปๆหยุดๆเมื่อถึงสี่แยก บนฟ้าดวงอาทิตย์กำลังหรี่แสงและความร้อนลง ยูซุปได้ยินเสียงสวดอะซาน เรียกคนให้ไปละหมาดจากมัสยิดใกล้ๆนั้น ...โอ้ องค์อัลเลาะห์ผู้ประเสริฐ โปรดช่วยประทานสันติสุขแก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด ขอจงทรงปกป้องพวกข้าพระองค์จากสิ่งเลวร้ายทั้งปวงด้วยเถิด ยูซุปอ้อนวอนในใจ

     รถเคลื่ยนช้าลง เสียงเซ่งแว่ฟังไม่ได้ศัพท์ดังอยู่ข้างหน้า สลับกับเสียงเป่านกหวีดของเจ้าหน้าที่ รถค่อยๆเคลื่อนเข้าไปในเสียงเซ่งแซ่นั่น เสียงเจ้าหน้าที่บอกให้ขับเบี่ยงไปอีกเลน ผู้คนยืนรายล้อมบนฟุตบาทและที่เกาะกลางถนนหนาตา วิจากษ์วิจารณ์กันถึงเหตุระเบิดที่เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อรถผ่านจุดเกิดเหตุ ทุกึคนก็ได้เห็นซากรถปิคอัพพังยับ โครงเหล็กบิดเบี้ยวเกรียมดำ มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ เศษกระจกแตกกระจัดกระจายเกลื่อนถนน ใกล้ๆกันนั้นมีรถดับเพลิงและรถมูลนิธิอาสากู้ภัยจอดอยู่ ยูซุปเห็นซากสีดำหงิกงออยู่ที่ตอนหน้าของรถคันนั้น และบนพื้นถนนที่แฉะน้ำ มีเศษซากมนุษย์กระจายเกลื่อน เศษชิ้นเนื้อเปื้อนไขมันฉ่ำเลือด กระจายบนพื้นถนน ทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ เลือดปนน้ำย้อมถนนเป็นสีแดงเป็นหย่อมๆผสมกับคราบน้ำมันและเขม่าไฟไหม้

     ยูซุปตกตะลึกกับภาพที่เห็น รู้สึกกระอักแระอ่วนในช่องท้อง น้าสาวโผเข้ากอดเขาพร้อมกับเอามือปิดตา เขาได้ยินเสียงน้าสาวอ้อนวอนให้องค์อัลเลาะห์คุ้มครอง ขณะที่กลิ่นคาวงเลือดคละคลุ้งเข้าจมูก มันคละเคล้าผสมกับกลิ่นไฟไหม้และกลิ่นน้ำมัน กลายเป็นกลิ่นพิเศษที่ชวนให้คลื่นไส้  แม้จะไม่มีใครอ้วกออกมา แต่กลิ่นนั้นก็ยังอวลอยู่ในจมูกแม้รถจะผ่านจุดเกิดเหตุมาไกล

     รถแล่นออกนอกเมืองแล้ว ภาพตึกรามบ้านช่องข้างทางแปรเปลี่ยนเป็นสวนยางพาราสลับกับสวนปาร์ม น้าสาวคลายเขาออกจากอ้อมกอดแล้ว แต่มือยังแต่ยู่บนไหล่ ญาติที่นั่งใกล้ๆยื่นมือมาขยี้หัวเขาอย่างเอ็นดู พลางบอกให้ลืมภาพที่เห็นเสีย ทุกคนบนรถพยายามยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ฝืดแห้ง เพราะใบหน้าของทุกคนยังหมองหม่น

     ยูซุปมองออกไปนอกรถ เขาเองก็อยากจะลืมเช่นกัน ลืมภาพที่เห็น ลืมทุกสิ่งที่ผ่านมา เรื่องราวโศกเศร้าทุกข์ทน เรื่องราวที่ทำให้ทุกคนหม่นหมอง แต่เขาจะลืมไปได้อย่างไร ในเมื่อเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดขึ้น ภาพทุกภาพยังติดอยู่ในตา และเมื่อตอกย้ำด้วยภาพสยดสยองที่เพิ่งผ่านมา เขาจะบอกตัวเองได้อย่างไรว่าไม่เคยเห็น จะฟหลอกตัวเองได้อย่างไรว่าเป็นเพียงภาพฝัน ในเมื่อเขายังรู้สึกตัวอยู่ ตื่นอยู่ท่ามกลางความเป็นจริงที่รายล้อม เหตุร้ายที่เกิดขึ้นทุกวัน

     เขาไม่รู้หรอกว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร และใคร ที่ทำให้เรื่องร้ายๆเกิดขึ้น เขาได้ยินมาว่า เป็นเพราะพวกโจรบ้าง เป็นเพราะพวกที่อยากแบ่งแยกดินแดนบ้าง และบ้างก็ว่าเป็นเพราะพวกมีอิทธิพลซึ่งได้ผลประโยชน์จากความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เขาไม่รู้เลยว่าความจริงมันคืออะไร ข่าวที่เล่าลือปากต่อปากจากเพื่อนบ้านก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ พอๆกับข่าวที่เห็นในทีวีก็ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือแฝงความเท็จเพียงใด เขาไม่รู้เลยเกี่ยวกับความเป้นจริงที่เกิดขึ้น เขาคิดได้แค่ว่า หากเหตุร้ายทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะพวกอยากแบ่งแยกดินแดน เขาก็อยากจะถามว่า ทำไมไม่สู้กับพวกเจ้าหน้าที่ตรงๆ ทำไมต้องทำร้ายชาวบ้านที่ไม่เกี่ยวข้อง ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย อยากได้ดินแดนเพื่อตนเองจะได้เป็นผู้ปกครอง แต่ไม่ยอมใส่ใจชาวบ้านที่ตนเองอยากให้อยู่ภายใต้ปกครอง อย่างนี้เป็นความคิดชของผู้นำหรือ ...หรือผู้ปกครองทุกคนทุกแห่งเขาคิดอย่างนี้กัน

     และหากเหตุร้ายทั้งหมดเป็นเพราะผู้มีอิทธิพลที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็อยากจะรู้ว่าผลประโยชน์ที่จะได้กันนั้น มันมากมายขนาดไหนกัน ถึงทำให้คนต้องไถลตัวจมลงในบาปหยาบช้า ก่อกรรมทำเข็ญกับคนอื่นอย่างไร้จิตสะนึก ...ผลประโยชฯเช่นใดกันที่ดึงดูดให้จิตใจคนชั่วช้าตกต่ำยิ่งกว่าเดรัจฉาน

     ยูซุปนึกถึงคำพูดของป๊ะ ป๊ะเล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด กล่าวไว้ในครั้งสุดท้ายว่า ให้ทุกคนดูแลซึ่งกันและกัน จงรักษาความเชื่อมั่นศรัทธาให้คงไว้ในจิตใจ จงหลีกเลี่ยงออกห่างจากบาปกรรมและความชั่วร้ายทั้งหลาย การแก้แค้นทดแทนกันด้วยเลือดเป็นสิ่งต้องห้าม การอาฆาตจองล้างจองผลาญกันด้วยเลือดต้องสิ้นสุดลงเสียที.... ป๊ะบอกว่า เพราะท่านนบีมุฮัมมัด อยากให้ทุกคนรักไคร่สามัคคี ไม่เบียดเบียนต่อกัน จึงกล่าวสั่งสอนอย่างนี้

     ....พวกคนเหล่าใดที่ฝ่าฝืนต่อคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัด ขอความโชคร้ายทั้งปวง จงปรากฏขึ้นแก่มันและญาติของมัน ขอความอัปยศอดสู ความเสื่อมเกียรติต่ำช้า ความทุกข์ทรมานจงปกคลุมยึดกุมพวกมันและติดตามมันไปดุจเงา ขอไฟโลกันต์อันเร่าร้อนจงแผดเผามัน ขอให้วิญญาณของมันจมลงสู่สุดก้นบึ้งอันมืดมิดของขุมนรก และคงอยู่ที่นั้นชั่วนิรันดร์... ยูซุปอ้อนวอนในใจด้วยความโกรธแค้น เขาไม่รู้หรอกว่า ใครเป้นตัวการก่อความไม่สงบ เขาขอเพียงให้คำสาปแช่งของเขาจงเกิดขึ้นแก่มัน ไม่ว่ามันจะอยู่ในเพศใด ชาติใด หรือศาสนาใด จะเป้นมุสลิม พุทธ หรือคริสต์ หากมันละเมิดต่อคำสอนของอัลลอฮ ก็ขอให้ผลบาปหยาบชั่วทั้งหลายจงเกิดขึ้นแก่มันอย่างเท่าเทียมกัน

     พุทธ!? คำนี้ทำให้เขาฉุกใจคิดถึงเพื่อนบ้านต่างศาสนา วรรณา เด็กหญิงน่ารักข้างบ้านที่เคยร่วมเล่นด้วยกัน ครอบครัวของเธอเป้นชาวพุทธหนึ่งเดียวสในหมู่บ้าน ซึ่งก้อยู่ร่วมกันมาอย่างสงบสุข แต่เพราะสถานการณ์ที่เลวร้ายลงทุกวันทำให้เธอต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น ซึ่งนั่นก้หลังจากที่พ่อของเธอถูกยิง แม่ของเธอจึงไม่ไว้ใจเรา-มุสลิม-  จึงพาเธอไปอยู่ที่ภาคอีสาน ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นอย่างไร ยูซุปจำได้จากหนังสือเรียนว่า ภาคอีสานเป้นภาคที่แห้งแล้งกันดาร พื้นดินขาดน้ำแตกระแหง ครอบครัวของเธอจะอยู่ยังไงในพื้นที่อย่างนั้น อยู่ที่นี่เธอยังมีสวนยางให้กรีด เธอ...!? แต่... อยู่ที่นั่นอาจจะดีกว่า เธอถึงไม่กลับมา ที่นี่แม้จะอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ต้องอยู่กับความหวาดกลัวระแวงว่าจะมีคนมาทำร้าย ไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้หรืออีกชั่วโมงข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้เลยว่าจะถูกฆ่าเมื่อไหร่ ความหวาดกลัวปกคลุมไปทุกที่ เราอยู่กับความหวาดหวั่น ในค่ำคืนมืดมิด เราต่างหวาดผวา ขลาดกลัวจนไม่กล้าเปิดไฟ

     ยูซุปหันไปมองม๊ะ ม๊ะนั่งซึมน้ำตาคลอหน่วย เป็นอย่างนี้มาสามวันแล้ว เขาคิด ไม่ซิ!?... ที่จริงม๊ะซึมมาตั้งนานแล้ว เขาไม่เห้นม๊ะยิ้มอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น เมื่อปลายปีที่แล้ว วันที่น้าชายถูกฆ่า น้าชายถูกฆ่าในสวนยาง ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ลุงในสวนใกล้ๆบอกว่า เห็นคนแปลกหน้าสามคนเข้าไปในสวนยางในวันที่น้าชายตาย น้าชายถูกแทงหลายแผลและมีรอยทุบตีทั่วตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกเป็นฝีมือของพวกสร้างสถานการณ์ แต่หลายวันต่อมา ชาวบ้านก็ลือกันเป็นสองเสียง บ้างก็ว่าน้าชายเป็นสายให้เจ้าหน้าที่จึงถูกฆ่าปิดปาก บ้างก็ว่าคนแปลกหน้าที่เข้ามาในสวนใส่ชุดลายพร่างอย่างเจ้าหน้าที่ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครรู้ความจริง แต่ม๊ะก็เริ่มซึมมาตั้งแต่วันนั้น...

     ส่วนป๊ะก็ออกจากบ้านบ่อยขึ้น ออกไปอย่างไม่เป็นเวลา ไม่เลือกว่ากลางวันหรือกลางคืน หลายครั้งที่ป๊ะกับม๊ะทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ ม๊ะไม่อยากให้ป๊ะออกไปข้างนอก ม๊ะขอให้ปีเลิกทำอย่างที่ผ่านมา แต่ป๊ะไม่ทำตาม ป๊ะบอกว่ามันเป็นหน้าที่ ป๊ะเป็นผู้นำชุมชน และป๊ะก็ออกไปจากบ้านตามแต่ที่อยากจะออก ม๊ะก็ได้แต่เอามือปิดหน้าร้องไห้ หลายคืนที่ยูซุปกได้ยอินเสียงม๊ะสะอื้นในห้อง เขารู้ว่าคืนนั้น ป๊ะไม่อยู่บ้าน

     จนเมื่อเช้าของวานก่อน ป๊ะแต่งตัวด้วยชุดใหม่สวมหมวกกะปิเยาะเรียบร้อย บอกว่าจะไปละหมาดและจะแดวะทำความสะอาดกุโบร์ของน้าชาย ยูซุปนั่งอยู่ข้างประตู เมื่อป๊ะเดินเข้ามาใกล้จึงเอามือขยี้หัวเขาเล่นอย่างเอ็นดู ป๊ะยิ้มอย่างอารมณ์ดี บอกว่าเดี๋ยวกลับมาจะต้มไก่ให้เขากิน แล้วป๊ะก็ออกไป

 

     .....มุฮัมมัดแยกจากเพื่อนบ้านที่หน้ามัสยิด เขาปลีกตัวเพื่อจะไปกุโบร์ที่ฝังศพของอับดุลลาห์น้องเมียของเขา พักหลังมานี่เขามีเรื่องต้องทำเยอะจึงไม่ค่อยได้มา หญ้าคงจะขึ้นท่วมแล้วมั้ง? เขาคิด ก่อนจะโล่งใจเมื่อเห็นว่าที่ฝังศพของอับดุลลาห์ยังไม่รกมากนัก หญ้าที่ขึ้นคลุมนั้นยังเล็กอยู่ เขาจึงเริ่มลวงมือถอนหญ้า

     อับดุลลาห์เป็นน้องเมียก็จริง แต่ก็รักนับถือเขาราวกับพี่ชายแท้ๆ และเขาก้ชอบในความฉลาดและอ่อนน้อมถ่มตนของอับดุลลาห์เช่นกัน เขารู้สึกว่าอับดุลลาห์เป็นน้องชายแท้ๆของเขา ในวันที่อับดุลลาห์ตายนั้น เขาไม่ได้อยู่บ้านเพราะต้องไปอบรมผู้นำชุมชนที่ต่างจังหวัดหลายวัน เขาฝากให้อับดุลลาห์ช่วยกรีดยางให้เขาด้วย และอับดุลลาห์ก็รับคำ ก่อนถึงกำหนดวันกลับหนึ่งวัน ซากินะน้องเมียของเขาอีกคนก็โทรไปบอกข่าวร้าย

     เขาไม่รู้หรอกว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไง อับดุลลาห์ไปติดต่อหรือทำธุระกับใคร เพราะเท่าที่เขารู้มาอับดุลลาห์เป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยจะออกจรากบ้าน เสียงลือที่ว่าอับดุลลาห์เป็นสายให้กับทางการบ้าง เป็นสายให้กับผู้ก่อการร้ายบ้างนั้น เขาก็ไม่รู้แน่ชัด แต่คิดว่ามันคงเป็นเพราะนิสัยช่างพูดของชาวบ้านมากกว่า ที่พอไม่รู้อะไรจริงๆ ก็คิดเดากันเอาเอง และพูดต่อๆกันไปเรื่อยๆ ผสมผเสแต่งเติมเรื่องราวกันไปตามแต่จะคิดได้ และไม่มีทีท่าว่าจะยุติ แม้อับดุลลาห์จะตายไปนานแล้วก็ตาม

     เขาไม่รู้หรอกว่าคนเราเมื่อตอนจะตายนั้นรู้สึกยังไง จะหวาดกลัวอย่างที่สุด หรือนิ่งยอมรับมันอย่าสงบ เขาไม่รู้ แต่เขาคิดว่าอับดุลลาห์คงจะเจ็บปวดและทรมานอย่างมากก่อนจะตาย ...ไหล่หลุด กระดูกซี่โครงและแขนหัก กระดูกสะบ้าหัวเข่าแตกละเอียดทั้งสองข้าง กระโหลกศรีษะยุบไปซีกหนึ่ง น้องชายของเขาถูกทุบตีจนน่วมก่อนจะถูกแทงอย่างไม่ยั้งอีก12แผล มันเป็นการตายอย่างทารุณ เขาสงสารน้องชายจับใจ จึงพยายามหาเวลามาเยี่ยมกุโบร์บ่อยๆ เพื่อทำความสะอาดและอ่านอัล-กุรอานให้หลุมฝังศพฟัง เผื่อองค์อัลลอฮจะได้รับรู้เรื่องราวของอับดุลลาห์ และทรงนำพาดวงวิญญาณของอับดุลลาห์ไปอยู่กับพระองค์

     ถอนหญ้าเสร็จมุฮัมมัดก็ลงนั่งคุกเข่าหน้าหลุมฝังศพ และเริ่มอ่านอัล-กุรอาน เขาอ่านอย่างไพเราะด้วยเสียงอันดัง เพื่อให้ได้ยินไปทั่วบริเวณนั้น เผื่อดวงวิญญาณอื่นใดที่ยังหลงทางอยู่จะได้เห็นแสงสว่างชี้นำทางไปสู่องค์อัลลอห์

     มีเสียงเดินอยู่ข้างหลังเขา มุฮัมมัดไม่สนใจ คิดว่าคงเป็นคนที่มาเยี่ยมหลุมศพอื่นๆ เขาอ่านอัล-กุรอานต่อไปอย่างสงบ เสียงซวบซาบนั้นมาหยุดอยู่ข้างหลังเขา เขาคิดว่าคงเป็นคนรู้จักกันหรือเป็นเพื่อนบ้านคนใดคนหนึ่งมีธุระรีบร้อนจึงตามมา เขาจึงรีบอ่านอัล-กุรอานให้เร็วขึ้นจนจบ เขาทำความเคารพแด่องค์อัล-ลอห์ผู้ประเสริฐ ก่อนจะค่อยๆหันกลับมา พร้อมๆกับเสียงปืนที่แผดลั่น!

เสียงปืนดังขึ้นหลายนัด มุฮัมมัดฟุบลงกับพื้น เขารู้สึกมึนงง จำได้รางๆว่าผู้มาหามีสามคน ตาเขาหรี่ปรือ สติเริ่มพร่าเลือน แล้วความเจ็บปวดก็เริ่มซึมซ่านท่วไปหมด เขาเห็นเงารางๆก้าวเข้ามาหา เห็นผ้าลายพรางเหน็บอยู่ในรองเท้าคอมแบต ร่างนั้นเงื้อมือขึ้น ก่อนจะเหวี่ยงวัตถึบางอย่างลงมากระทบที่ลำคอ

 

     .....ยูซุปนึกถึงบ่ายวันนั้น วันที่เพื่อนบ้านมาบอกข่าวร้าย ม๊ะทรุดฮวบลงกับพื้นร่ำไห้ คร่ำครวญราวกับเสียสติ เขาก็ร้องไห้โฮเหมือนกัน พวกญาติๆที่อยู่ใกล้ๆต่างก็วิ่งมาหา ถามไถ่กันพอรู้เรื่องทุกคนก็พากันร่ำไห้ เสียงแห่งความโศกเศร้า เสียงเอ่ยนามของพระเจ้าดังไปทั่วบริเวณบ้าน พอม๊ะได้สติกออกไปกับญาติๆ โดยฝากให้เขาอยู่กับน้าสาว กำชับว่าสักพักค่อยตามไป เขาได้แต่ร้องไห้ และน้าสาวก็กอดเขาพลางร่ำไห้เช่นกัน

     งานศพของป๊ะเสร็จลงอย่างรวดเร็ว โต๊ะครูบอกว่าไม่ควรเอาไว้นาน ป๊ะจะได้ไปเฝ้าองค์อัลลอฮเร็วๆ ยูซุปไม่ได้เห็นป๊ะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะร่างของป๊ะถูกพันไว้ด้วยผ้าสีขาวจนรอบ และถูกฝังในเย็นวันนั้นเอง หลังเสร็จงาน เขาได้ยินเพื่อนบ้านพูดกันว่า ป๊ะน่าสงสารมาก นอกจากจะตายในกุโบร์แล้วยังไปเฝ้าองค์อัลลอฮอย่างไม่สมบูรณ์ มีบางอย่างของป๊ะหายไป ยูซุปไม่เข้าใจ ป๊ะทำอะไรหายหรือ? เขาไม่รู้จะถามใคร เพราะไม่มีใครตอบ จะถามม๊ะก็ไม่กล้า เพราะม๊ะก็เอาแต่ร้องไห้

     วันนี้พอโต๊ะครูมาที่บ้านบอกม๊ะให้ไปดูบางอย่างที่โรงพยาบาลเพื่อยืนยันว่าใช่ของป๊ะหรือเปล่า ม๊ะ ยูซุปและญาติๆจึงไปกับโต๊ะครู เมื่อถึงห้องชันสูตร ยูซุปต้องรออยู่นอกห้อง เพราะทุกคนห้ามไม่ให้เขาเข้าไป ส่วนคนอื่นๆเข้าไปกันทั้งหมด ซักพักเขาก็ได้ยินเสียงโฮไห้ระงม เป็นเสียงของม๊ะกับญาติๆ น้าสาวออกมาเป็นคนแรก รีบโผเข้ากอดเขาแล้วร้องไห้ เขาก็เลยร้องไห้ไปด้วย เขาไม่รู้หรอกว่าทุกคนไปเห็นอะไรมา แต่เขาตกใจที่เห็นทุกคนร้องไห้จึงร้องตาม โต๊ะครูเดินออกมาพร้อมกับกล่องไม้สีขาว ม๊ะเดินตามมอย่างหมดเรี่ยวแรงพวกญาติๆต้องช่วยกันประคอง เขาไม่รู้หรอกว่ามีอะไรอยู่ในกล่องใบนั้น แต่เขาได้กลิ่นบางอย่างโชยออกมาบางๆ เป็นกลิ่นแปลกๆเหมือนจะเป็นกลิ่นเหม็นเน่า ชวนคลื่นเหียนผสมกับกลิ่นบางอย่าง เขาคิดว่าคล้ายๆจะเป็นกลิ่นยาฆ่าหญ้า ญาติๆช่วยกันคลี่ผ้าสีดำปิดคลุมกล่องไม้ หลังจากที่โต๊ะครูวางมันลงบนพื้นกะบะรถ

     รถสั่นสะเทือนไปทั้งคัน ทันทีที่เลี้ยวแยกจากถนนสายหลักเข้าสู่ทางลูกรัง ทางเข้าหมู่บ้านที่ถูกน้ำกัดเซาะเป็นหลุมบ่อตลอดทาง กล่องลังไม้กลางกะบะรถถึงกับกระเด้งกระดอน ญาติๆรีบเอามือจับไว้ให้นิ่ง ผ้าคลุมสีดำเลื่อนหล่น ม๊ะรีบคว้าขึ้นมาแล้วคลุมไว้ตามเดิม เป็นอะไรของป๊ะก็ไม่รู้ แต่คงจะเป็นของสำคัญ ยูซุปคิดอยากจะถามแต่ก็เงียบไว้ เพราะคงไม่มีใครบอกและเขาอาจจะโดนดุด้วย เขาจำได้ว่าตอนอยู่ที่โรงพยาบาลโต๊ะครูบอกทุกคนว่าต้องรีบฝังหากเย็นนี้ไม่ทัน ก็ให้ฝังพรุ่งนี้แต่เช้า ทุกอย่างจะได้เสร็จสิ้น ป๊ะจะได้ไปอย่างสงบ

     นั่นซินะ ยูซุปคิด ของในกล่องจะเป็นอะไรไม่รู้ละ แต่เมื่อมันเป็นของๆป๊ะ ก็ควรจะเอาไปฝังให้ป๊ะ ป๊ะจะได้ไม่ต้องกังวล ไปเฝ้าองค์อัลลอฮได้อย่างหมดห่วง

     น้าสาวเห็นยูซุปมองกล่องอยู่นาน หล่อนรู้สึกสะท้านใจจนน้ำตาซึม หล่อนสงสารหลานจับใจ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่กลืนก้อนสะอื้นลงในอก ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม

บล็อกของ Road Jovi

Road Jovi
หลายวันก่อน มีชายสูงอายุ ท่าทางเหมือนคนจรจัดเข้ามาดูต้นไม้ 
Road Jovi
ป่าไม้น่านหายไปไหน?-เป็นแคมเปญเรียกความสนใจของกลุ่มเอ็นจีโอบางกลุ่มอยู่...-คำตอบของคำถามข้างบน หากไปถามนักอนุรักษ์(ทำท่าจะเดินทางไปหาคำตอบกันอยู่นี่) ก็ไม่พ้นเกี่ยวเนื่องกับซีพี ข้าวโพดอาหารสัตว์ บลา บลา บลา....
Road Jovi
van van.รถแว๊นซ์เพื่อชีวิต
Road Jovi
ผมจะเขียนเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะจบประเด็นทั้งหมดก็แล้วกันนะครับ เพราะคิดว่าการถกเถียงกันไป-มาในโลกออนไลน์ ด้วยการโพสต์หรือเม้นเฉพาะข้อมูลที่ตนต้องการนำเสนอ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่ได้ช่วยให้สังคมเข้าใจความจริงมากขึ้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านหรือภาครัฐ ทั้งรังแต่จะทำให้สังคมเกิด
Road Jovi
 ข่าวสารในโลกวันนี้มีความหลากหลาย.......หลายอย่างก็เป็นความจริงที่เสนอตัวเองอย่างครบถ้วนรอบด้าน พอๆกับที่หลายอย่างก็เป็นความเท็จหรือจริงปนเท็จที่แต่งเติมเสริมเรื่องราวจนโอเวอร์เกินไป
Road Jovi
เมื่อหมู่คนให้ความชื่นชมแก่ใคร คนๆนั้นก็จะได้รับความนิยม.เมื่อได้รับความนิยมมากๆ ก็จะมีความสำคัญ.และเมื่อสำคัญมากๆ เขาย่อมได้รับการสถาปนาให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันใครจะแตะต้องมิได้...... 
Road Jovi
     ไปเชียงใหม่ครั้งที่ผ่านมา นั่งคุยกับมิตรสหายทั่นพี่นักเขียน ผมเล่าว่า พักหลังมันยากเหลือเกินที่ผมจะทำใจไปร่วมงานกับกลุ่มอนุรักษ์ ngoหรรมใหญ่หรรมน้อยทั้งหลาย เพราะทัศนะคติไม่ตรงกัน ในช่วงกปปส.ออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พวกเขาเหล่าต่างชัดเจนว่าเห็นด้วยร่วมเป็นแรงพลังหน
Road Jovi
ไม่มีเสียงใดๆ ความเงียบยังปกคลุม กสม.จนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นแถลงการณ์ ไม่เห็นการโผล่ออกมากล่าวคำใดของ กสม. ต่อกรณีการถูกลอบดักยิงจนเสียชีวิตของคุณไม้หนึ่ง ก.กุนที หรือนายกมล ดวงผาสุก กวีและนักเคลื่อนไหวเสื้อแดง
Road Jovi
เฮ่อ.... เหนื่อยเหมือนกันนะ เห็นตรรกะการออกมาสนับสนุนเห็นด้วยกับพรบ.สุดซอยนี้แล้ว...ถ้าเพื่อหวังความสงบสุขสมานฉันท์ แล้วเราต้องลืม ต้องยกเว้นกันไปนี่ เขาทำมากันเท่าไหร่แล้ว หลายครั้งแล้วในประวัติศาสตร์ และผลสุดท้าย ลืมกันได้ไม่นานก็ออกมาฆ่ากันอีก เพราะอะไร..??