นักวิชากล้วยหลับฝันในวันฟ้าฉ่ำฝน.....

     ฝนตกกลางคืน  ตอนนี้ก็ยังโปรยปรายเป็นสายและพักหยุดบ้างในบางช่วง  ลมพัดเอื่อยๆเรื่อยๆพาความเย็นมาต้องตัวเป็นพักๆ    เป็นบรรยากาศที่น่านอนหลับสำหรับคนที่อยากหลับ   และเป็นบรรยากาศที่น่าดื่มสำหรับผู้ที่อยากดื่ม       แต่สำหรับนักวิชากล้วยผู้มั่นคงในศีลห้า  พร้อมน้อมนำปรัชญาพอเพียงของพ่อหลวงมาปฏิบัติทั้งเทิดไว้เหนือจั่วบ้านเขาย่อมไม่ทำอย่างนั้นแน่     เขาไม่นอนกลางวันอย่างคนเกียจคร้าน  และทั้งไม่ดื่มสุราอันจะทำให้ศีลขาดแลเสียทรัพย์โดยใช่เหตุ  เขาย่อมมีวิธีฆ่าเวลาตามสไตร์ของเขาเอง    โดยการนั่งนิ่งๆ  คิด  ถกเถียง  บริหารสมองตนเองไปเรื่อยๆท่ามกลางบรรยากาศชวนหาวสัปหงกเช่นที่กล่าว.....

     นั่งนิ่งนานไปแล้ว...   จนปวดเมื่อย  เขาจึงขยับย้ายองค์ไปเอกเขนกบนเปลริมเฉลียงข้างบ้าน  หมิ่นเหม่ชายหลังคาสังกะสีเพียงพอที่อวลไอละอองฝนจะปลิวโปรยมาโดนหน้าตาบ้างเป็นครั้งคราวให้แช่มชื่นตื่นคลายง่วง    เหม่อมองเลยต้นมะขามหลังบ้านไปที่ดงกล้วยชุ่มฝน   ใบตองใบใหม่ผลิออกมาอย่างแช่มชื่นยินดีกับสายฝน   เครือกล้วยแก่ห้อยย้อยจากต้น   แตกหวีที่มีผลสมบูรณ์น่าชื่นใจ  สุดเครือเป็นปลีสีม่วงปนแดงเต่งตึงเป็นกระพุ่มราวเต้านมสาว  ปลายปลีมีน้ำใสหยดย้อยไหลระริกรี้เป็นสายบ้าง  เป็นเม็ดบ้าง  ตามแต่ความหนักเบาของสายฝนที่ห่มพร่ำ

 

     นักวิชากล้วยนั่งสัปหงกตาปรืออยู่เป็นนาน   ครั้นแล้วเขาก็นึกฝันไปถึงเหตุการณ์ตอนเช้าที่เขาได้ไปบ้านของมิตรสหายชาวนาคนหนึ่งมา

      ....ความเป็นเกษตรกร  ทำให้นักวิชากล้วยมีเพื่อนฝูงชาวเกษตรกรรมหลายคน  หลายคนปลูกพืชสวนทำไร่  และหลายคนก็ทำนาปลูกข้าวไปด้วย  นักวิชากล้วยไปบ้านมิตรชาวนาก็เพื่อจะถามความรู้สึกของเพื่อนหลังจากได้ยินการประกาศปรับเปลี่ยนราคารับจำนำข้าวของรัฐบาลที่ได้ช่วยกันเลือกมา 

     เพื่อนชาวนาทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก  ก่อนจะบอกเล่าระบายไปอย่างอัดอั้นตันใจ  ด้วยความรู้งูๆปลาๆเท่าที่ชาวนาจะพอมี 

“ข้าว่า  รัฐบาลแก้ปัญหาไม่ถูกจุด  เหมือนคนเกาไม่ถูกที่คัน มันคันหำแต่ไปเกาหัว”

“ห๊า!!  ทำไมเอ็งถึงว่าอย่างนั้นล่ะ  นี่ข้าถามถึงเรื่องนโยบายของรัฐบาลนะโว้ย  จะมาคันหำคันหัวอะไร?    อีกอย่างรัฐบาลเป็นผู้บริหารประเทศ  เอ็งเอาหำคันๆของเอ็งมาเปรียบมาเทียบมันไม่ถูก ไม่สมควร...”

“อาจจะไม่ถูก  แต่ข้าว่ามันก็สมควรไอ้กล้วย    เอ็งลองกรองดู  มีอย่างที่ไหนว๊ะ!?    รัฐบาลประกาศรับจำนำข้าวในราคาหมื่นห้าอยู่ดีๆ  แล้วจู่ๆ  เกิดอารมณ์ทางเพศ  เอ้ย!?  อาเพศอะไร  มาปรับเปลี่ยนลดราคาลงโดยที่ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าเพื่อให้ข้ารู้ให้ข้าเตรียมใจก่อนเลย”

“ก็เขาถูกฝ่ายค้านโจมตี  เล่นงานด้วยข้อมูลเท็จๆ  แต่งตัวเลขโอเวอร์เพื่อโจมตีไง   ดูซิมันเมคตัวเลขขาดทุน  ตั้งสองแสนกว่าล้าน  รัฐบาลก็ต้องถอยกลับไปตั้งหลักเป็นธรรมดา”

“ไอ้ทิดกล้วยเอ้ย...   เอ็งนี่  สมกับที่ชอบใส่เสื้อแดงจริงๆ  ทำตัวเป็นโฆษกรัฐบาลอยู่ได้  จะถูกเล่นงาน  จะถูกโจมตีอย่างไร    รัฐบาลก็ไม่ควรจะตัดสินใจอย่างปัจจุบันทันด่วน   จนดูลุกลี้ลุกลนอย่างนี้    ข้าก็อ่านก็ฟังข่าวเหมือนกัน  การขุดคุ้ยเรื่องปกปิดมิดเม้น  เรื่องไม่ดีไม่งามมันก็เป็นสิ่งที่ฝ่ายค้านเขาจะต้องทำกันอยู่แล้ว  ส่วนมันจะมีคุณภาพหรือไม่มีคุณภาพ อย่างที่เอ็งว่าเขาเมคตัวเลขมาลอยๆไร้ที่มาที่ไป      เรา  สังคมนี่ล่ะก็จะคนที่จะตัดสินคุณภาพให้แก่ฝ่ายค้านกัน  แต่ประเด็นของข้าก็คือ  การประกาศรับจำนำข้าวของรัฐบาลนี้  ประกาศไว้ตั้งแต่ตอนหาเสียง   เรียกว่าเป็นสัญญาประชาคมก็ได้  ที่ว่า   เมื่อได้รับเลือกไปเป็นรัฐบาลจะต้องนำมาทำ...”

“เขาก็นำมาทำแล้วไง?” 

“เอ็งอย่าเพิ่งแทรกไอ้กล้วย  ให้ข้าพูดให้จบก่อน     ที่นี่พอรัฐบาลเอานโยบายนี้มาทำ  พวกคนทำนาเขาก็ได้ลืมตาอ้าปากกัน  ขายข้าวได้ราคาดีกว่าที่เป็นมา  คุ้มค่าปุ๋ยค่ายา  ก็เหลือมีเงินเก็บ   บางคนก็ได้ออกรถออกรา  มันก็หมายความว่าพวกเราต่างได้ประโยชน์และก็เห็นชอบยกย่องรัฐบาลที่กล้าคิดทำโครงการดีๆเพื่อชาวนาอย่างนี้     แล้วอีทีนี้    ที่ข้ารู้สึกไม่ดีกับรัฐบาลก็คือพอตอนที่จะเลิกทำนี่แหละ   เอ็งเห็นไหมมีข่าวแค่ไม่กี่วัน  รัฐบาลประกาศตู้มออกมาเลยว่า  ไม่เอาแล้ว  ปรับลดราคารับจำนำข้าวทันที    โดยที่  พวกข้าชาวนาที่ทำงานอยู่ภายใต้นโยบายของรัฐบาลมาตลอดก็ไม่มีทางเลี่ยงเป็นอื่นได้   มันมีปัญหาก็คือ   ข้าวงวดนี้พวกข้าก็ปลูกก็ลงกันไปแล้ว   ค่าปุ๋ยค่ายา  ค่าเตรียมนา   ค่าแรงคนงานก็เพิ่มขึ้นมาจากนโยบายเพิ่มค่าแรงคนงานของรัฐบาล     จากปกติที่ก่อนหน้านี้  ข้าวหนึ่งตัน  ข้าต้องใช้พื้นที่ทำนาราวสองไร่เศษถึงจะได้  โดยมีค่าปุ๋ยค่ายาประมาณแปดพันกว่าบาท   รัฐบาลรับจำนำหมื่นห้า   แต่ส่วนมากก็ได้ไม่ถึงกัน  เพราะโดนหักความชื้นบ้าง  โดนหักปนเปื้อนบ้าง  จะได้กันราวๆ  หมื่นสองหมื่นสาม    แล้วเอ็งลองกรองดูไอ้กล้วย  ว่าถ้ารัฐบาลลดราคาข้าวลงมาเหลือ  หมื่นสอง-หมื่นสาม  พวกข้าจะขายข้าวได้ในราคาเท่าไหร่   หลังจากโดนหักความชื้นและการปนเปื้อน   ต้นทุนของข้ามันไม่ได้ลดลงด้วยนะเว้ย    ไม่นับว่าต้นทุนค่าคนงานมันก็สูงขึ้นแล้วจากนโยบายเพิ่มค่าแรง   ทุกปีข้าก็จ้างคนงานวันละสามร้อยกว่าบาทอยู่แล้ว  มาตอนนี้ยิ่งต้องจ่ายเพิ่มมากขึ้น”

“สรุปว่า   เอ็งเห็นว่าการประกาศลดรารับจำนำข้าวของรัฐบาลเป็นปัญหา....?”

“ก็แน่ซิว๊ะ  ไอ้กล้วย   มีอย่างที่ไหน  จู่ๆก็มาลดมาปรับลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  จากที่เป็นนโยบายเพื่อช่วยชาวนาอยู่ดีๆ   กลับจะเป็นนโยบายฆ่าชาวนาซะงั้น!?   นี่แหละ  ข้าถึงได้ว่ารัฐบาลมันเกาไม่ถูกที่คัน   เป็นสังคังตรงไข่หำกลับเอามือไปเกาหัว”

“แน๊ะ!?  เอาอีกแล้ว   คันหำเกาหัวอีกแล้วเอ็งนี่   ไอ้ชาวนาไร้การศึกษา  พูดเป็นแต่คำหยาบคาย   เอ็งพูดราวกับว่า  เอ็งรู้ดีกว่ารัฐบาลรู้ว่าตรงไหนเป็นปัญหาไม่เป็นปัญหา...   ไหน?  ลองเสนอมาซิว่า  ทำยังไงรัฐบาลถึงจะทำได้ถูกต้องเหมือนที่เอ็งเอาซีม่าโลชั่นไปทาไข่หำตอนคัน...?”

“ได้...  ไอ้กล้วย    ข้าจะบอกให้เอ็งฟัง   ถ่างหูของเอ็งรอฟังให้ดี     นโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลน่ะมันดี   มันเป็นประโยชน์ต่อพวกข้าคนทำนาอย่างแน่นอน   ราคารับจำนำหมื่นห้านี่  มันทำให้พวกข้าเหลือกำไรหลังจากหักต้นทุนแล้วประมาณสี่-ห้าพันบาทต่อตัน    นี่  มันเป็นประโยชน์    แต่ถ้าถามว่าทำไมมันถึงมีโทษ   ก็เพราะ...?    เอ็งเห็นไหม?   เขาให้พวกมันออกมาแถลงการณ์บอกเล่าการทำงาน   มันก็ดันออกมาแถล(แถ+แหล)  ผลงานซะงั้น   พูดไม่เข้าเรื่องไม่เข้าราว”

“ห๊ะ!?   นี่เอ็งจะว่า   นโยบายนี้เป็นโทษเพราะรอมอตอกับรอมอชอมันพูดไม่ได้เรื่องเท่านั้นเหรอ?   แล้วเอ็งไม่คิดว่าสิ่งที่ฝ่ายแค้นมันเอามาโจมตีนั่น   ไม่เป็นโทษบ้างเลยเหรอ?”

“ไอ้กล้วย    เอ็งนี่   มันชอบทำตัวเป็นนักวิชากล้วย   แล้วก็ชอบเสือกชอบแทรก   พูดสอดไปเรื่อย เอ็งฟังข้าให้จบก่อนซิว๊ะ!  ไอ้นี่...       มันเป็นอย่างนี้  นอกจากรอมอตอมันจะพูดไม่ได้เรื่อง   เพราะมันไม่รู้เรื่องแล้ว    มันก็ยังมีปัญหาในการจัดการระหว่างกระบวนการอีกหลายอย่าง   คือ  ในขั้นตอนเปิดรับจำนำข้าวนี่  มันก็เป็นปัญหา อย่างเช่นการที่มีรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นเครือข่ายกับโรงสีที่รับจำนำมันมาสวมสิทธิ์   การที่โรงสีสามารถเป็นคนกำหนดการเปิดหรือปิดรับจำนำได้เอง   โดยที่ชาวนาไม่สามารถตรวจสอบหรือรู้ได้เลยว่า   ที่มันปิดรับจำนำนี่   เพราะโควตามันเต็มจริงๆ    หรือมันรอเอาข้าวของเครือญาติของมันมาสวมสิทธ์แทน   อันนี้   ทิดมีมันเล่าให้ข้าฟังว่า   พอมันเกี่ยวเสร็จจะเอาไปขาย   โรงสีที่มันไปแจ้งรับจำนำดันบอกปิดไม่รับ   มันต้องไปยื่นเรื่องยื่นเอกสารกับโรงสีอื่นๆ   ต้องเดินเรื่องใหม่อีกนานกว่าจะได้เข้ารับจำนำ    ถ้าเอ็งจะเถียงว่า    ทุกโรงสีมันต้องมีเจ้าหน้าที่จากอตก.และตำรวจมาเฝ้าอยู่  เอ็งก็พอเถียงได้      แต่...  ข้าก็อยากจะแย้งว่า   มันไม่ใช่ทุกที่และทุกเวลาที่เจ้าหน้าที่ทั้งสองหน่วยงานจะขยันอย่างนั้น    ซึ่งอันนี้มันก็มีสองอย่างที่ข้าคิด  คือ  เจ้าหน้าที่ไม่ใส่ใจกับงานที่ได้รับมอบหมาย  มันก็เลยเปิดโอกาสให้โรงสีสามารถทุจริตได้   หรืออีกอย่างคือ  โรงสีจ่ายค่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ให้เจ้าหน้าที่   เพื่อจะได้สามารถกำหนดอะไรก็ได้ด้วยตัวเอง   ตรงนี้    มันเป็นปัญหาในขั้นตอนระหว่างกระบวนการรับจำนำที่มันเปิดช่องให้มีการทุจริตได้   โดยชาวนา  สังคม   ไม่สามารถตรวจสอบได้    ยังไม่นับว่า   ในการรับจำนำที่มีการกำหนดค่าความชื้นต่างๆ และค่าการปนเปื้อน   มันก็จะเปิดช่องให้โรงสีสามารถเมคตัดแต่งตัวเลขเองได้   เช่น   รับซื้อจากชาวนาบอกว่ามีค่าความชื้นสูงกว่าเกณฑ์   ไม่สามารถจ่ายเต็มได้   จ่ายให้แค่ตันละสามหมื่นหรือสองหมื่นกว่าบาท    แต่พอถึงเวลาเอาบัญชีข้าวที่รับไว้ไปยื่นต่อรัฐบาลก็กลับเปลี่ยนตัวเลขเป็นว่า   ความชื้นได้ตามกำหนดก็ได้   เห็นไหม?   การที่ปล่อยให้โรงสีเป็นผู้สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆได้   โดยที่ชาวนาที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโครงการนี้ไม่สามารถทักท้วงได้มันก็เป็นปัญหาอย่างนี้   ยิ่งเจ้าหน้าที่ที่ควรรับผิดชอบไม่ใส่ใจด้วยแล้ว   โรงสีมันก็เลยได้เปรียบ   เอาเปรียบชาวนาและรัฐบาลได้อย่างเห็นๆ”

"ที่นี้   พอกระบวนการตรงนี้มันไม่โปร่งใส  ตรวจสอบไม่ได้  มันก็ยิ่งเปิดช่องให้คนคิดทุจริตได้หลายๆอย่างตามที่เป็นข่าวไงว่า   มีการเอาข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์บ้าง    มีการลักลอบเอาข้าวออกไปขายหรือเอาออกไปหมุนเพื่อเอากลับเข้ามารับจำนำอีก   เป็นต้น    นี่แหละ   ปัญหาทั้งนั้น   ยังไม่นับเรื่องค่าใช้จ่ายในกระบวนการจัดการที่เป็นค่าเบี้ยเลี้ยง   ค่าเดินทางต่างๆของเจ้าหน้าที่  ที่ได้รับมอบหมาย   ว่าจะมีการหมกเม็ดและเข้ากระเป๋าใครบ้าง   โรงสีบางแห่งมีแต่เจ้าหน้าที่อตก.จบใหม่มานั่งยิ้มทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมให้คนงานแซวเฉยๆก็มี   เห็นไหม?   ไอ้กล้วย    พอกระบวนการต่างๆมันไม่โปร่งใสมันก็ย่อมเปิดช่องให้ทุจริต  ดังนั้นไอ้ที่ฝ่ายค้านเขาทักเขาท้วงมาเอ็งก็อย่าได้ไปดูแคลน   และยิ่งถ้าเอ็งเปิดดูทีวีตอนที่รอมอตอ   รอมอชอเขาชี้แจง   เอ็งยิ่งจะเห็นว่า   ไอ้พวกนี้มันไม่รู้ห่าอะไรเลย   แม่งดีแต่เถียงข้างๆคูๆว่ารับจำนำข้าวดีกว่ารับประกันข้าว    คือ  ไอ้ตรงนั้น สำหรับชาวนาอย่างข้าก็พอรู้อยู่ว่า   มันมีดีมีเสียต่างกัน   แต่ประเด็นวันนี้คือ   มึงต้องออกมาอธิบายโครงการของมึงที่เขามองว่ามันมีปัญหา    ว่ามันเป็นอย่างไร?   มีกระบวนการอย่างไร?    มีข้อขัดข้องตรงไหน?   และจะแก้ไขปัญหาอย่างไร?    นี่  ตรงนี้ต่างหากที่มันควรพูด  ไม่ใช่หาเรื่องแถ  ยกตนข่มคนอื่นไปเรื่อย  ทำตัวเป็นไอ้ดีแต่พูดไปได้  พับผ่า!!”

“นี่ข้ายังไม่ได้ไปอ่านข่าวเรื่องการขายข้าวที่รอมอตอบอกว่าเป็นการขายแบบจีทูจี    ระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลอีกนะ   ที่เห็นว่าไม่สามารถบอกให้สาธารณชนทราบได้ว่ามันคุยมันขายกันยังไง...   เห็นไหมไอ้กล้วย   ไอ้นักวิชากล้วย   ว่ากระบวนการต่างๆในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลนี้มันมีปัญหา   มันไม่โปร่งใส   และรัฐบาลหรือผู้ดูแลโครงการก็ไม่สามารถอธิบายได้   นี่แหละมันถึงเป็นช่อง   เป็นจุดคันของรัฐบาล   ที่ทำให้การโต้แย้งของฝ่ายค้านมันมีน้ำหนัก   จี้ได้ตรงจุดอับชื้นก็เหมือนเพิ่มความชื้นเข้าไป   ทำให้สังคังมันลามมากขึ้น  เข้าใจไหม??”  

“เอ็งหมายความว่า  การไม่รู้เรื่องของรอมอตอและรอมอชอ   รวมทั้งกระบวนการดำเนินนโยบายที่ไม่โปร่งใสเป็นปัญหา   เป็นจุดคันอย่างที่สุดของโครงการนี้?”

“ก็ใช่ซิว๊ะ!!!   นี่แหละจุดคันจนรัฐบาลมันนั่งไม่ติด   แล้วแม่งก็รนลานมานั่งประชุมตบโต๊ะบอกลดราคารับจำนำให้พวกข้าเป็นเดือดกันอยู่นี่ไงละ   คือ  ปัญหามันอยู่ที่คนรับผิดชอบไม่รู้เรื่องที่ตนรับผิดชอบ   กับกระบวนการทำงานแม่งไม่โปร่งใส    แทนที่พวกมันนั่งรวมหัวประชุมกันจะเห็นปัญหา   กลับไม่เห็น   แล้วก็มาแก้ผ้าแก้ผ่อนกันไปเรื่อย   เหมือนมันคันสังคังตรงไข่หำ   แต่ดันเสือกเอาซีม่าไปทาตามแขน   ตามขา  ตรงหัว    ข้าว่า  มันน่าจะเอาทาตรงตามันมั่ง   มันจะได้ตาสว่างเห็นจุดคันของมันซะที..”

“หรือถ้าไม่เห็นก็ปล่อยให้มันตาบอดไป...”

“ช่ายยย...   นั่นแหละ   แม่งโง่นัก     แล้วเห็นไหม   พอไอ้พวกหน้าโง่ในรัฐบาลมาประกาศจะลดราคารับจำนำข้าว   ฝ่ายค้านมันก็ออกมารำเซิงอย่างสะสาสบายใจ   ข้าก็เลือกรัฐบาลนี้มานะ    แต่ก็ซะใจจริงๆที่แม่งถูกฝ่ายแค้นเย้ยหยัน   แม่งอยากโง่กันนัก  ตามเกมส์เขาตลอด   ไม่เคยคิดทันหรือคิดนำเขาได้เลย   ห่วยจริงๆรัฐบวย...”  

“แล้วพวกคนทำนาอย่างเอ็งจะเอายังไงกันต่อไป?   ถ้ายอมรับราคาจำนำที่ลดลง พวกเอ็งก็ขาดทุนนิ”

“ก็ไม่ยอมรับซิ   นี่ก็คิดกันอยู่ว่าจะรวมตัวกันไปยื่นเรือง   ยื่นหนังสือคัดค้านการตัดสินใจห่วยๆของรัฐบาลอยู่    เดี๋ยวพอพร้อมกันเมื่อไหร่ก็จะออกไป   ข้าก็หวั่นๆเหมือนกันว่าจะมีไอ้พวกปากหมามาว่าพวกข้าเป็นม็อบถูกเสี้ยม  ถูกหลอกมาไล่รัฐบาล   สังคมนี้แม่งอยู่อยาก   ลำบากจะออกมาบ่นก็ถูกด่าว่ามาป่วน   สังคมหลายสีสันในทุกวันนี้แม่งทุเรศจริงๆ...”

“555+ ข้าก็เห็นใจเอ็งนะไอ้ชาวนา    แต่...นิดนึง   ข้าจะบอกว่าที่เอ็งต้องมาลำบากลำบนทุกวันนี้  นั่นก็เพราะเอ็งไม่ยอมน้อมนำพระราชดำริพอเพียงของในหลวงมาปฏิบัติด้วยนะเว้ยย..   เอ็งถึงได้ร่ายทุรายร้อน   ดิ้นไปตามนโยบายของรัฐบาล   ทุกข์เข็ญและดีใจไปตามแต่ที่เขาจะประกาศ   นี่เพราะความไม่พอเพียงของเอ็งนั่นแหละ     ดูข้า...  ข้าดำรงตนอยู่อย่างพอเพียงตามทฤษฎีของพ่อหลวง   ทำสวนปลูกกล้วยขายดำรงตัวอย่างพออยู่   พอกิน   และพอเพียง   เห็นไหม?   ข้าไม่ต้องทุกข์ต้องร้อนกับนโยบายอัลไรของรัฐบาลเลย    มีกล้วยข้าก็ขายกล้วย   ไม่มีกล้วยข้าก็ขายใบตอง   มีหัวปลีเยอะข้าก็เอาไปขาย   ไหนจะมียอดตำลึงที่ขึ้นอยู่ตามแนวสวนและชะอมที่ข้าปลูกแทรกระหว่างกอกล้วยอีกที่มีให้ข้าเก็บขายได้เรื่อยๆ    เห็นไหมทุกวันนี้ข้าก็อยู่ได้อย่างสบายพอเพียง    ไม่ต้องลำบากตากแดดหน้าดำคร่ำเคร่งอย่างที่เอ็งกำลังเป็นอยู่...”     นักวิชากล้วยพูดยิ้มกริ่มพร้อมทำตาทะเล้นใส่เพื่อนชาวนา

“มันก็ถูกอยู่.... อย่างที่เอ็งว่านั่นแหละ   ที่เอ็งสบายกว่าไม่ต้องทุกข์ร้อนลำบากอย่างข้า   ข้าก็เห็นด้วยว่าที่เอ็งยืนหยัดทำอยู่เป็นแนวทางที่ดี     แต่... มันก็คงดีสำหรับเอ็ง    ข้าไม่สามารถทำได้    ข้าไม่สามารถปลูกกล้วยแล้วรออีกสี่-ห้าเดือนเพื่อจะได้เอาผลมันไม่ขายในราคาหวีละสิบบาท   ซาวบาท   อย่างที่เอ็งทำได้   เพราะกล้วยเอ็งก็ไม่เยอะแถมราคาก็ไม่เคยแพง   ไม่เคยขึ้นถึงสามสิบบาทสักที    ต่อให้หวีใหญ่หวีงามยังไงก็เถอะ     ส่วนเรื่องผักที่เอ็งขยันเก็บไปขายกำละสามบาทห้าบาทนี่  ข้าก็ยอมรับในความอุตสาหะขยันขันแข็งของเอ็งเหมือนกัน    ที่สามารถไปขายได้เงินวันนึงๆตั้งสี่สิบห้าสิบบาท      ข้าทำไม่ได้ว๊ะ  ที่จะไปนั่งในตลาดสามสี่ชั่วโมงเพื่อเงินแค่นั้น    แต่เอ็งทำได้   อันนี้ข้าก็ต้องยอมรับเอ็งอย่างที่สุดจริงๆ    เอาแค่ให้ข้าเอาผักใส่ตะกล้าปั่นจักรยานห้า-หกกิโลเพื่อไปขายตลาดตำบล   ข้าก็ไม่ไหวแล้ว   ก็ต้องยอมรับว่า    เอ็งนี่มันแน่ที่สุดแล้วในหมู่บ้านเรา...”

นักวิชากล้วยยิ้มแฉ่มฉื่นอย่างออกนอกหน้าที่เห็นเพื่อนชม

“แต่เอ็งก็ควรเข้าใจด้วยว่าทำไมพวกข้าถึงต้องหวังต้องคิดพึงรัฐบาล    ก็ในเมื่อเราอยู่ในสังคมประชาธิปไตยที่เราต้องช่วยกันเลือกรัฐบาลเลือกพรรคเลือกคนมาทำงานให้ประเทศ  ให้ชาติ  ให้พวกเราชาวบ้านชาวนาได้อยู่ดีมีสุข     รัฐบาลที่เราเลือกมาก็ต้องมีหน้าที่คอยช่วยเหลืออำนวยการให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายปลอดภัย    และทำงานได้อย่างสะดวก   ได้กำไรไม่ขาดทุน   นี่ละ    จึงคือเหตุผลที่พวกข้าและเอ็ง  ทุกๆคนในสังคมจึงต้องใส่ใจต่อสิ่งที่รัฐบาลจะแถลงจะทำ   ก็ในเมื่อเราเลือกมันมา    และจ่ายเงินเดือนให้พวกมันในรูปแบบภาษี   เราก็ต้องสามารถใช้งานพวกมันและเรียกร้องให้มันทำงานเพื่อเราได้ซิ    ไม่ใช่แค่รัฐบาลอย่างเดียวนะ   ไอ้พวกข้าราชการขี้เก็กทั้งหลายก็เหมือนกัน    เราต้องสามารถเรียกร้องกับพวกมันได้   และพวกมันก็ต้องทำงานเพื่อรับใช้อำนวยการให้เราได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น   นี่   ตรงนี้เป็นสิทธิ์ของพวกเราที่เสียภาษีไปเป็นเงินเดือนให้พวกมัน...”

“อืม... ถูก   อันนี้เห็นด้วย   เราสามารถเรียกร้องกับรัฐบาลและข้าราชการได้ตามสิทธิ์ของพวกเราประชาชนทั้งหลาย...  ว่าแต่ทีวีอันใหม่ของเอ็งนี่สวยดี   ซื้อมาเท่าไหร่นิ?”

“อ้อ...  อันนี้แม่คุณของข้าอยากได้มาไว้ดูความหล่อของไอ้พวกคุณชายคุณเชยอะไรนี่แหละ    เลยต้องพาเจ้าหล่อนไปซื้อมา    เก้าพันกว่าบาทละมั่ง   ข้าจำไม่แม่น  ต้องถามแม่คุณของข้านู้น...   หล่อนเอาไปเล่าให้คนแถวนี้ฟังสามวันสามคืนแล้ว..”

เพื่อนชาวนาเห็นนักวิชากล้วยมองทีวีจอแบนอันใหม่อย่างสนใจจึงเล่าต่อ

“นี่ข้าก็ยังไม่รู้จักพออีก    ดูซิท้ายรถปิกอัพของข้า   เห็นไหม?   ไอ้จุกมันอยากได้มอไซค์รุ่นใหม่มันก็มาอ้อนข้าจนต้องออกให้มัน   มันบอกว่ารุ่นนี้แรงดี   ขี่ไปไร่ไปนาได้สะดวก   หรือจะขี่ไปตลาดในเมืองก็ไม่อายใคร    เพราะมันเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด    เห็นมันอยากได้มากๆ   ข้าก็ไม่อยากขัดใจมัน   เลยไปออกมาให้  ต้องผ่อนอีกสามปี  ข้าเป็นหนี้เป็นสินเพราะไม่รู้จักพอแท้ๆ....”

“เอาน่า  ไหนๆก็ออกมาแล้ว  เอ็งอย่าคิดมาก    ว่าแต่  มันก็สวยนะ   คล้ายๆรถวิบาก  นี่เอ็งไปดาร์วเท่าไหร่ว๊ะ?”

“ข้าไปดาร์วสามหมื่น   ผ่อนอีกสามปี   ทำยังไงเน๊อะ   อยากได้แล้วนี่    มันก็ดีเวลาไปนาคนเดียวก็ไปได้สะดวกไม่ต้องเอารถปิกอัพไปให้เปลืองน้ำมันมากกว่า...”

 

เพื่อนจะออกไปดูน้ำในนา   นักวิชากล้วยจึงร่ำลาจากเพื่อนชาวนา   จูงจักรยานไอ้แก่รุ่นเก่าสนิมกินจนไม่เหลือสีเดิมออกมาจากบ้านเพื่อน   อดที่จะเมียงมองมอไซค์คันใหม่ของเพื่อนไม่ได้เหมือนกัน     มันดูเท่ห์  ดุ   และน่าจะแรงเอาเรื่อง     นักวิชากล้วยนึกถึงเงินเก็บที่เอาใส่ไหฝังไว้ในสวน   ไหนึงมีทั้งเหรียญบาทไปจนถึงแบงค์พัน   มีประมาณสามพัน   จำได้ว่าฝังไว้ประมาณสี่-ห้าใบแล้ว   อืมม... มันก็ยังไม่พอเงินดาร์วเลยนะ...

ฝนโปรยแรงขึ้น   ลมพัดละอองกระเซ็นเปียกเปลและนักวิชากล้วยที่เผลอหลับตั้งแต่เที่ยงจนเลยบ่าย   ฝนแรงอากาศเย็นเขาขยับห่อตัวนิดนึงแล้วหลับต่อ  เปลือกตาปิดสนิทแต่ใบหน้าเขายิ้มกริ่ม   เพราะกำลังฝันว่าได้ขี่มอไซค์คันใหม่เอี่ยมสีแดง   ผูกตระกล้าผักไว้ด้านท้ายกำลังขี่ไปขายที่ตลาดตำบล   และเขาก็ได้ขี่ผ่านบ้านสาวที่เขาแอบชอบมานานปีแล้วด้วย    แม้เธอจะเคยดูถูกว่านักวิชากล้วยจนแล้วไม่เจียม  แต่ในฝันนั้นเมื่อเธอเห็นเขาขี่มอไซค์ผ่านเธอก็ยิ้มหวานให้เขาอีกตะหาก.....  

 

หมายเหตุ: คำว่ากล้วยเป็นคำกลางๆ และมีหลายความหมายตามแต่ที่ใช้จะนำไปใช้ ดังนั้น ผู้ที่อ่านบันทึกนี้จึงควรอ่านและใช้คำว่ากล้วยด้วยความระมัดระวัง ควรศึกษาคู่มือให้ละเอียดก่อนใช้ เด็กและสตรีควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เบาๆ   ;)