ทิวแถวของผู้คนที่เดินทางจาริกแสวงบุญ กลางเปลวแดดที่แผดเผา ก่อนที่ลมหนาวจะมาถึง กระบวนผู้คนที่เดินทางนี้ ได้ย่ำเดินเพื่อนำเสนอข่าวคราวความป่วยไข้ของสายน้ำ และผืนแผ่นดิน ด้วยก้าวย่างแห่งการภาวนา วาระนี้เอง ในฐานะผู้ร่วมทางคราวนี้ ที่เราได้เดินเท้าเป็นทางไกลกว่าแปดสิบกิโล ลัดเลาะ และพักอยู่ตามหมู่บ้านในแถบลุ่มน้ำที่เราต่างปรารถนาฟื้นคืนชีวิตให้สายน้ำนั้น เสียงกลองนำขบวนดังอยู่ตลอดระหว่างการเดินทาง ไม่หรอก....ไม่ใช่เสียงกลองที่ตีตามจังหวะการก้าวเดิน ซ้าย ขวา ซ้าย หากแต่เป็นเสียงกลองที่ตีเพื่อเตือนเราให้อยู่กับการรับรู้ถึงการก้าวเดินของเรา..........
ชีวิตผู้คนพานพบ ประสบ สำเร็จ ล้มเหลว เร็ว ช้า ต่างกัน ประเด็นนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่ (หรือเปล่า) เพราะผู้คน ผู้รู้ทั้งหลายต่างก็กล่าวขาน รับรู้กันอยู่เช่นนั้นถึงความไม่เท่ากันของมนุษย์ แล้วมันมีความหมายอย่างไรเล่า ก็ในกระบวนการจาริกนี้เอง ที่เราได้ก้มมองทางข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าวนี้ และเราได้เห็นเท้า และการก้าวเดินของผู้คน ในหัวข้อการเดินทางแบบเดียวกัน และเป้าหมายของการเดินทางคือที่เดียวกัน แต่ที่สุดแล้ว ก้าวของแต่ละคนไม่เท่ากัน นั่นธรรมดาใช่หรือไม่ แต่สิ่งที่มากกว่านั้น ในความไม่เท่ากันของก้าว ในประเด็น และเป้าหมายเดียวกันของการเดินทาง ผู้คนต่างมีวิถีการเดินทางไม่เหมือนกัน มีเป้าหมายของการเดินทางไม่เหมือนกัน ยาวไม่เท่ากัน และเชื่อว่าการค้นพา และการค้นพบของแต่ละคนไม่เท่ากัน
นั่นคือความเป็นธรรมดา และมันเป็นความงดงามด้วยกระมัง เพราะนั่นทำให้เราเห็นว่า ด้วยก้าวที่แตกต่าง ด้วยความหมาย ด้วยเป้าหมายที่แตกต่าง การค้นหา การค้นพบต่างออกไป และด้วยเป้าหมายภายนอก และภายในบางอย่างเดียวกัน แต่มนุษย์ยังสามารถเดินร่วมบนหนทางสายเดียวกัน ในขบวนยาตราเดียวกัน
ใครๆ ก็ว่า ความหลากหลายเป็นเรื่องจำเป็นและงดงาม แต่หลายครั้งหลายหนกระมัง ที่ในชีวิตเรารู้สึกขัดแย้ง รังเกียจ จนถึงชิงชัง คนที่เห็นต่างไปจากเรา คนที่เดินไม่เหมือนเรา แต่เราก็ยังพูดอยู่นั่นแหละว่า ความหลากหลายคือความงาม หรือนั่นเป็นความหลากหลาย และงดงามหนึ่งกระนั้น
ไม่ว่าจะช้าจะเร็ว ชีวิตในกระบวนการเดินทางไกลของเราย่อมมิได้สูญเปล่ากระมัง ไม่ว่าเราจะพบสิ่งที่มุ่งหวังหรือไม่ แต่เชื่อได้ว่า ไม่ว่าอย่างเรา เราย่อมได้พบสิ่งใดสิ่งหนึ่งแน่นอนทีเดียว
เจริญ.....เจริญ.....สาธุ.....