สนธยากำลังคลี่คลุมผืนทะเลกว้าง ณ ที่ทางของเรือที่เราอาศัยอยู่ นี่คือการเริ่มต้นของรัตติกาลอีกครั้ง ขณะที่ทอดสายตาออกไป ไกลออกไป พระจันทร์กำลังโผล่พ้นทิวเขาของเกาะไกล จันทร์ริมของฟ้าสีส้มดวงโตกว่าตอนที่อยู่กลางฟ้านัก ผู้คนหลายคนในเรือชี้ชวนให้ใครต่อใครได้ดู หลายคนยกกล้องถ่ายรูป หลายคน (เราเป็นหนึ่งในหลายคนหลังนี้) ได้แต่เพ่งมองจันทร์ มันเป็นจันทร์ดวงเดียวกับที่เราเห็นตลอดมา มันเป็นจันทร์ดวงเดียวกับที่บ้านเรา บนเทือกเขาไกลจากนี่ แต่จันทร์ที่เราเพ่งมองอยู่นี้ มันงาม ใช่ที่บ้านก็งาม แต่มันก็งามต่างกัน ดูเหมือนว่างามของจันทร์ ยังงามอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่งามของจันทร์ยังงามต่าง เมื่อเรามองจากคนละผืนแผ่นดิน
ผู้คนหลายคน ละสายตาจากจันทร์ไปแล้วเมื่อมันเริ่มลอยสูงขึ้น แต่ใครหลายคน (รวมทั้งเราด้วย) ยังมิได้ละสายตาไปจากจันทร์ ด้วยว่าจันทร์ที่ลอยสูงขึ้นก็ยังงามอยู่ งามต่างบจากจันทร์ตรงขอบฟ้า แลดวงเล็กลง แต่จันทร์ก็ยังงาม และที่งามมากขึ้น คือเงาของแสงที่ทอดยาวมาจากสุดขอบฟ้าที่จันทร์อยู่ ถึงเราที่เราอยู่ เช่นนั้นนอกจากจันทร์ เราจึงเห็นจันทร์และเงาแสงจันทร์ วาระที่ผู้คนเลิกชื่มจันทร์ตรงขอบฟ้า เรากลับยังได้ชื่นชมเงาแสงจันทร์ต่อไป เหงาทะเล เหงาจันทร์หลอมรวมกับเหงาใจ นั่นกลับสงบยิ่งขึ้นอีกนักแล้ว
นิทานเมื่อยังเด็ก บอกว่าเมื่อคิดถึงกัน ให้ต่างคนต่างมองจันทร์ สายตาของเราหลอมรวมกันที่นั่น เพียงเรารับรู้ว่าคนที่เราคิดถึงนั่งมองจันทร์ดวงเดียวกัน เรากลับมีความสุขได้ ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก จุดรวมสายตาของเราไม่ได้มีแต่เพียงจันทร์และดาวเสียแล้ว เรามีโลกอีกหลายโลกที่ใช้เป็นจุดร่วมสายตาของเราได้ ว่าก็คือโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ซ้ำเราก็ยังสามารถสนทนากันไดจากที่ไกลๆ กัน เราจึงสงสัยอยุ่ว่า ผู้คนในโลกสมัยใหม่ พวกเขาจะมีเวลาได้เหงาบ้างหรือเปล่านะ หรือว่าผู้คนทั้งหลายต่างรังเกียจความเหงา ในขณะที่เรากลับรู้สึกถึงความงดงามของมัน นั่นก็ว่ากันไปตามวิถีเถิด เมื่อโลกที่เปลี่ยนไปมากมายเหลือพื้นที่สำหรับความงามน้อยลงไป
จันทร์ในทะเลของคืนนี้ เราเพียงมอง มิได้ใฝ่ใจจดจำ แต่เรารู้ว่าเราจะไม่ลืมจันทร์คืนนี้....งดงาม...เหงา...และสงบนัก...