ระหว่างทีเราอยู่ในโรงเรียน กลางป่าใหญ่บนดอยสูงนั้น หลายครั้งหลายหนที่เราต้องประสบภาวะขาดแคลนครู จากยุคก่อร่างสร้างตัว โรงเรียนมีห้องเรียนเพิ่มขึ้นปีละชั้น เช่นปีแรกมี ป.๑ ปีที่สองก็ต้องเพิ่ม ป.๒ อย่างนี้ไปเรื่อยจนมีครบ ป.๖ ดังนั้นในกรณีอย่างนี้เราจึงประสบปัญหาเรื่องครูไม่พออยู่เรื่อยๆขณะเดียวกัน หมู่บ้าน และโรงเรียนของเราก็มีคนเดินทางมาเยี่ยมมิได้ขาด บางช่วงเวลาก็มาบ่อยจนทุกเสาร์อาทิตย์ ดังนั้นจึงมีผู้คนไม่น้อยที่บอกเล่าความฝันของพวกเขาทั้งหลาย แน่นอนว่า การมาใช้ชีวิตในป่าเขา ในหมู่บ้านบนดอย สอนเด็กๆ ชาวเขาที่น่ารักบริสุทธิ์ เป็นความฝันยอดฮิตอันหนึ่งของคนหนุ่มสาวทั้งหลาย มันจึงง่ายมากที่เมื่อมีผู้คนเข้ามาที่หมู่บ้าน ที่โรงเรียนของเรา พวกเขาล้วนชื่นชมเรามาก จนเราแทบจะไม่ได้เป็นคนธรรมดาไปเสียก็มี ความสวยงามตามจินตนาการที่พวกเขาทั้งหลาย ว่าก็คนหนุ่มสาวที่เกิดและเติบโตในเมืองใหญ่ แน่นอนว่าพวกเขาโหยหามัน และอยากอย่างยิ่งที่จะออกมาใช้ชีวิต แบบที่พวกเราเป็นอยู่ขณะนั้น ว่าก็หลายครั้งพวกเราก็รอ รอพวกเขาที่จะมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนบนภูเขาของพวกเรา แต่พวกเราก็ได้แต่รอ เพราะแม้หลายคนจะได้กลับมาอีก แต่ก็เพียงแวะมาเยี่ยม มาเที่ยวตามประสาหนุ่มสาว นานเข้าก็หายไป หรือบางคนก็มาครั้งเดียวแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
เรื่องมันคงเป็นอย่างนี้ว่า เมื่อพวกเขามา มันก็เป็นจินตนาการ จินตภาพที่สวยงาม แล้วพวกเขาก็ดื่มด่ำบรรยากาศนั้น แล้วก็เอาความปรารถนาในเสรีนั้นมาผสมจินตนาการ แล้วพวกเขาก็มีความสุข ความสุขกับความฝันของตัวเอง แล้วพวกเขาก็กลับไปสู่ความจริงอีกฝั่งหนึ่งของชีวิต ความจริงที่พวกเขาทั้งหลสายตางก็โหยหาภาพแห่งความฝัน และมันเป็นภาพแห่งความฝันที่มันมีอยู่จริง แล้วทันก็เหมือนไม่ยากนักที่จะเดินออกไป แต่หลายคนมักตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมพวกเขาถึงไปไม่ได้ ทั้งที่พวกเขาโหยหามัน และบางคนบางคราว พวกเขาก็ไม่ได้มีความเดือดร้อนทางการเงินด้วยซ้ำไป
จะว่าพวกเขาทั้งหลายยินดีในสุขกับความฝัน นั่นก็คงไม่ใช่กระมัง เรื่องนี้ออกจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนงำอยู่ในหัวใจมนุษย์กระมัง เรารู้ว่า ทางหนึ่ง เป็นทางแห่งความฝันของเรา เรารู้ว่าเราเดินเข้าไปได้ แต่เรากลับไม่ไป เรากลับเอาแต่นั่งโหยหามัน ทั้งๆ ที่มันอยู่แค่เอื้อมถึง แล้วเราก็เบื่อชีวิตที่เป็นอยู่ นี่คือปรากฏการณ์ใดกันของชีวิต.....