เคยได้ฟังมาว่า ครั้งหนึ่งเออเนส เฮมมิงเวย์ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า ภาวะที่ดีที่สุดสำหรับนักเขียน คือภาวะที่เปลี่ยวเหงาโดดเดี่ยว เมื่อไรก็ตามที่นักเขียนเป็นที่รู้จักของมหาชนมากขึ้น ยื่งมากขึ้นเท่าใด พลังแห่งการสร้างสรรค์ของนักเขียนก็จะยิ่งเหือดหายไป.....................
เมื่อคราวแรกที่ดูหนังเรื่อง Finding Forester ก็สงสัยว่า ตัวละครหลักของเรื่องคือ William Forester ซึ่งเป็นนักเขียนมีชื่อเสียง เขียนหนังสือเล่มเดียวแล้วก็ไปเก็บตัวอยู่โดดเดี่ยวในห้องเช่าเล็กๆ ในเขตคนผิวดำ แล้วก็ไม่มีผลงานตีพิมพ์อีกเลย เมื่อดูหนังเรื่องนี้หลายรอบเข้า ว่าก็ปาเข้าไป ห้าถึงหกรอบเข้าไปแล้ว ถึงได้รู้ว่า สาเหตุที่เขาไม่เขียนหนังสืออีก คือ (ในเรื่องเขาเล่าเรื่องนี้ให้ เด็กหนุ่มชื่อ จามอล วอลเลส ฟัง) พี่ชายเขาป่วย เขาพาพี่ชายไปโรงพยาบาล ยามนั้นเขาเป็นนักเขียนชื่อดัง พยาบาลซึ่งแทนที่จะใช้เวลาดูแลคนป่วย กลับมาถามแต่เรื่องงานเขียน หนังสือ หรือเรื่องราวอื่นๆ กับเขา หลังจากพี่ชายตาย เขาก็เลิกเขียน หรือเขียนแต่ไม่ได้พิมพ์งาน แล้วก็มาอาศัยในห้องเช่าเล็ก ๆ ในเขตบล็อง
ว่ากันต่อมาว่า ชีวิตนักเขียนต้องเดินทาง ไปใกล้ไปไกลอย่างไรก็ขอให้ได้ไป การได้ไปสัมผัสชีวิตในมิติต่างๆ พบเจอเรื่องราวต่างๆ ทำให้ได้แรงบันดาลใจ ทำให้ได้รับฟังและเก็บเรื่องราว และสิ่งสำคัญก็คือการฟัง ว่าในแง่การฟังก็เป็นส่วนสำคัญอันหนึ่งของชีวิต กับการเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับผู้คนและธรรมชาติ
ครั้งหนึ่งผู้เฒ่าในเมือง ตั้งคำถามกับผู้เฒ่าบนดอยว่า มีที่ดินสามสิบไร่ในเมืองเป็นที่ยังรกร้างว่างเปล่า จะทำอะไรในที่ดินผืนนั้น ผู้เฒ่าบนดอยบอกผู้เฒ่าในเมืองว่า ท่านต้องไปที่นั่นบ่อยๆ อาจจะพักค้างคืนที่นั่นบ้าง แล้วรอฟังเสียง ฟังว่าผืนดินนั้นจะบอกให้ท่านทำอะไร ถ้าท่านฟัง ท่านจะได้ยิน เวลาต่อมาผู้เฒ่าในเมือง ก็ไปที่ผืนดินนั้น บ่อยเข้า ในที่สุดที่ดินผืนนั้นก็กลายเป็นทุ่งนา แม้ว่าชาวบ้านละแวกนั้นจะวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เอาที่ดินราคาหลายร้อยล้านมาทำนาก็ตาม
เช่นนั้นเอง..... การเดินทางของนักเขียนจะมีความหมายอะไร หากว่าเขาไม่ได้ ฟัง นั่นเพราะว่า นักเขียนก็คือนักเล่าเรื่อง ด้วยอักษร ถ้อยคำอักษร ความจริงก็อาจจะไม่ต่างจากถ้อยคำที่กล่าวออกไป ความหมายของมันจึงงดงามในความที่ว่า เรื่องราวเหล่านั้นถูกร้อยเรียงออกมาด้วยความงดงาม สิ่งที่ถูกบอกเล่าคือ ภูมิปัญญาบรรพชน หลอมรวมกับความรู้สึกนึกคิดของผู้เล่า ซึ่งประกอบไปด้วยการเกื้อหนุนมากมาย ทั้งพ่อแม่พี่น้อง ทุ่งนาป่าเขา แม่น้ำลำคลอง ทั้งหมดนั้นส่งผ่านวิญญาณนักเล่าเรื่อง ให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว เช่นนั้นเอง เรื่องราวที่เล่าก็หาใช่เรื่องราวที่เขาสร้าง หากแต่องค์ประกอบทั้งหลายนั้นล้วนมีส่วนต่อถ้อยความทั้งหลาย
ในภาวะอันโดดเดี่ยวของนักเขียน ความจริงจึงมิอาจโดดเดี่ยว ตราบใดที่เขายังบอกเล่าเรื่องราวทั้งของตัวเอง และของผู้อื่น เขาจะโดดเดี่ยวไปได้อย่างไร แต่ความหมายก็คือ โอกาสในการที่จะได้ฟังเรื่องราวต่างๆ นั้นจะได้มาอย่างไร การเดินทางที่สามารถเกื้อหนุนการรับฟังนั้นจะเกื้อกูลอย่างไร แล้วสภาวะใดเล่าที่ดีที่สุด คำตอบก็คือ ขณะนี้.........
เมื่อคราวแรกที่ดูหนังเรื่อง Finding Forester ก็สงสัยว่า ตัวละครหลักของเรื่องคือ William Forester ซึ่งเป็นนักเขียนมีชื่อเสียง เขียนหนังสือเล่มเดียวแล้วก็ไปเก็บตัวอยู่โดดเดี่ยวในห้องเช่าเล็กๆ ในเขตคนผิวดำ แล้วก็ไม่มีผลงานตีพิมพ์อีกเลย เมื่อดูหนังเรื่องนี้หลายรอบเข้า ว่าก็ปาเข้าไป ห้าถึงหกรอบเข้าไปแล้ว ถึงได้รู้ว่า สาเหตุที่เขาไม่เขียนหนังสืออีก คือ (ในเรื่องเขาเล่าเรื่องนี้ให้ เด็กหนุ่มชื่อ จามอล วอลเลส ฟัง) พี่ชายเขาป่วย เขาพาพี่ชายไปโรงพยาบาล ยามนั้นเขาเป็นนักเขียนชื่อดัง พยาบาลซึ่งแทนที่จะใช้เวลาดูแลคนป่วย กลับมาถามแต่เรื่องงานเขียน หนังสือ หรือเรื่องราวอื่นๆ กับเขา หลังจากพี่ชายตาย เขาก็เลิกเขียน หรือเขียนแต่ไม่ได้พิมพ์งาน แล้วก็มาอาศัยในห้องเช่าเล็ก ๆ ในเขตบล็อง
ว่ากันต่อมาว่า ชีวิตนักเขียนต้องเดินทาง ไปใกล้ไปไกลอย่างไรก็ขอให้ได้ไป การได้ไปสัมผัสชีวิตในมิติต่างๆ พบเจอเรื่องราวต่างๆ ทำให้ได้แรงบันดาลใจ ทำให้ได้รับฟังและเก็บเรื่องราว และสิ่งสำคัญก็คือการฟัง ว่าในแง่การฟังก็เป็นส่วนสำคัญอันหนึ่งของชีวิต กับการเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับผู้คนและธรรมชาติ
ครั้งหนึ่งผู้เฒ่าในเมือง ตั้งคำถามกับผู้เฒ่าบนดอยว่า มีที่ดินสามสิบไร่ในเมืองเป็นที่ยังรกร้างว่างเปล่า จะทำอะไรในที่ดินผืนนั้น ผู้เฒ่าบนดอยบอกผู้เฒ่าในเมืองว่า ท่านต้องไปที่นั่นบ่อยๆ อาจจะพักค้างคืนที่นั่นบ้าง แล้วรอฟังเสียง ฟังว่าผืนดินนั้นจะบอกให้ท่านทำอะไร ถ้าท่านฟัง ท่านจะได้ยิน เวลาต่อมาผู้เฒ่าในเมือง ก็ไปที่ผืนดินนั้น บ่อยเข้า ในที่สุดที่ดินผืนนั้นก็กลายเป็นทุ่งนา แม้ว่าชาวบ้านละแวกนั้นจะวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เอาที่ดินราคาหลายร้อยล้านมาทำนาก็ตาม
เช่นนั้นเอง..... การเดินทางของนักเขียนจะมีความหมายอะไร หากว่าเขาไม่ได้ ฟัง นั่นเพราะว่า นักเขียนก็คือนักเล่าเรื่อง ด้วยอักษร ถ้อยคำอักษร ความจริงก็อาจจะไม่ต่างจากถ้อยคำที่กล่าวออกไป ความหมายของมันจึงงดงามในความที่ว่า เรื่องราวเหล่านั้นถูกร้อยเรียงออกมาด้วยความงดงาม สิ่งที่ถูกบอกเล่าคือ ภูมิปัญญาบรรพชน หลอมรวมกับความรู้สึกนึกคิดของผู้เล่า ซึ่งประกอบไปด้วยการเกื้อหนุนมากมาย ทั้งพ่อแม่พี่น้อง ทุ่งนาป่าเขา แม่น้ำลำคลอง ทั้งหมดนั้นส่งผ่านวิญญาณนักเล่าเรื่อง ให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว เช่นนั้นเอง เรื่องราวที่เล่าก็หาใช่เรื่องราวที่เขาสร้าง หากแต่องค์ประกอบทั้งหลายนั้นล้วนมีส่วนต่อถ้อยความทั้งหลาย
ในภาวะอันโดดเดี่ยวของนักเขียน ความจริงจึงมิอาจโดดเดี่ยว ตราบใดที่เขายังบอกเล่าเรื่องราวทั้งของตัวเอง และของผู้อื่น เขาจะโดดเดี่ยวไปได้อย่างไร แต่ความหมายก็คือ โอกาสในการที่จะได้ฟังเรื่องราวต่างๆ นั้นจะได้มาอย่างไร การเดินทางที่สามารถเกื้อหนุนการรับฟังนั้นจะเกื้อกูลอย่างไร แล้วสภาวะใดเล่าที่ดีที่สุด คำตอบก็คือ ขณะนี้.........
บล็อกของ นาโก๊ะลี
นาโก๊ะลี
เรื่องเล่าจีนแต่โบราณเรื่องหนึ่ง เล่ากันมาว่า ผู้เฒ่าเซียนหมากล้อมขณะกำลังนั่งเดินหมาก เด็กหนุ่มที่เดินหมากอยู่ด้วยถามขึ้นว่า ผู้เฒ่าท่านรอบรู้ทุกเรื่องหรือเปล่า ผู้เฒ่าบอกไม่รู้ ท่านรู้เรื่องการปกครองหรือเปล่า ผู้เฒ่าบอกไม่รู้ รู้เรื่องกฎหมายหรือเปล่า ผู้เฒ่าบอกไม่รู้ รู้เรื่องดาราศาสตร์หรือเปล่า ผู้เฒ่าบอกไม่รู้ รู้เรื่องศิลปะศาสตร์หรือเปล่า ผู้เฒ่าบอกไม่รู้ แล้วท่านรู้เรื่องอะไรบ้าง ผู้เฒ่าบอก รู้เรื่องเดินหมาก เราไม่รู้อะไรนอกจากเรื่องเดินหมาก มนุษย์ควรมีสิ่งที่ศึกษาอย่างลึกซึ้ง จนแตกฉาน หากรู้ทุกเรื่อง…
นาโก๊ะลี
ติช นัท ฮันห์ เล่าไว้ในหนังสือยองท่านตอนหนึ่งว่า มีคนถามว่า เวลาใดเป็นเวลาที่คนเราจะมาความสุขมากที่สุด ท่านตอบว่า เวลานี้ไง เพราะว่าเมื่อเวลาผ่านไปสิบปี ยี่สิบปีข้างหน้า เราจะรฤกถึงวันนี้อย่างมีความสุข นี่เองมันจึงหมายความว่า ทุกวันล้วนเป็นวันแห่งความสุข สิ้นปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ความจริงมันก็คงเป็นวันเหมือนกับวันอื่นๆ ผ่านมาและผ่านไป คงมีผู้คนส่วนหนึ่งที่ไม่ได้ตื่นเต้น กับเทศกาลปีใหม่ ปีนี้ คราวนี้ ขณะที่ผู้คนต่างหา และเฉลิมฉลองตามแบบตนช่วงเทศกาล พวกเราหลายคน นัดกันที่กลางทุ่งนา หนองจ๊อม แม่โจ้ เชียงใหม่…
นาโก๊ะลี
ดูเหมือนว่า บางคราวการอยู่ร่วมกันของผู้คนนั้นเป็นเรื่องยากลำบากนักหนา ด้วยวิถี วิธีที่ผ่านไปของพวกเขาทั้งหลาย สิ่งที่ปรากฏดูเหมือนว่าอะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ล้วนเป็นเรื่องเลวร้าย หรือบางอย่างมิได้ถึงขั้นเลวร้ายมันก็เกิดเป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่ความล้มเหลว สู่ความขาดพร่องของวิถี หรือการปิดกั้นการเรียนรู้ ดังว่า...สถานการณ์จำลองหลายครั้งในกิจกรรมการเรียนรู้ ที่เรามักพบเห็นผู้คนผู้....มากเกินไปทั้งหลาย เช่น เงียบเกินไป ก้าวร้าวเกินไป นั่นก็เป็นตัวปิดกั้นการเรียนรู้ของชีวิต ทั้งหมดนั้นมันบ่งบอกว่าบางมนุษย์นั้นชอบอยู่คนเดียว …
นาโก๊ะลี
บางเวลา บางเหตุปัจจัยได้นำพาความคิดคำนึงย้อนกาลสมัยกลับไปยังวัยเยาว์ นั่นย่อมได้พบเห็นการเติบโตของตัวเอง วันเวลาเหล่านั้นทั้งหมดจะว่ายาวนานก็ยาวนาน จะว่ารวดเร็วก็รวดเร็วยิ่ง ภาพของบางช่วงเวลาปรากฎเด่นชัด ภาพของบางช่วงเวลาก็หลงเหลือเลือนลาง แล้วภาพของบางช่วงเวลาก้ลบหายไปหมดแล้ว นับรวมไปถึงว่าคุณค่า หรือสูญเปล่าของเรื่องราวทั้งหลายในระหว่างนั้น นั่นก็อาจเป็นธรรมดาอันหนึ่ง ที่สุดแล้ว ภาวะความเป็นไปของเรื่องราว การแสดงออก หรือถ้อยคำ ล้วนสะท้อนภาพภาวะภายในที่เป็นไประหว่างนั้น เมื่อค่อยๆ…
นาโก๊ะลี
ฟังว่า... นานมาแล้ว นานจนไม่อาจนับว่ามันเป็นเวลากี่ช่วงอายุขัย นับแต่กาลนั้น กองไฟลุกสว่างและอุ่น กลางค่ำคืนเหน็บหนาว ทอดวางตามถิ่นที่อาศัยของมนุษย์ กาลนั้น นอกจากเป็นแสงสว่าง นอกจากเป็นความอุ่น นอกจากป้องกันภัยจากสัตว์ร้ายนานา แต่กองไฟยังกลายเป็นสถานที่สำคัญอันหนึ่ง ว่าก็คือ ผู้เฒ่าผู้แก่ ได้ใช้พื้นที่ข้างกองไฟนี้ในการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้งนิทาน ปรัมปรา จารีต ประเพณี สัพเพเหระ สารทุกข์ สุกดิบ ข่าวคราว นั่นคล้ายว่าเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาสู่ชุมชน ล้วนต้องผ่านข้างกองไฟนี้ คืนแล้วคืนเล่า …
นาโก๊ะลี
เราทั้งหลายต่างรับรู้กันโดยพื้นฐานว่า เหล่าศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นจิตรกร นักดนตรี กวี หรือแขนงอื่นใดล้วนสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาจากแรงบันดาลใจทั้งสิ้น หลายคนให้ค่าคำนี้ยิ่งใหญ่ บางคนอาจน้อยลงไปนิด นั่นก็หาเป็นไรไม่ แต่ความจริงก็คือ ด้วยแรงบันดาลใจนั่นเองที่ส่งผลให้ศิลปินน้อยใหญ่ใหม่เก่าทั้งหลายสร้างสรรค์ผลงานอันมีความหมายและทรงค่า หากปราศจากแรงบันดาลใจเสียแล้ว ศิลปินก็ไม่อาจสร้างงานได้อีกต่อไป หรือเมื่อแรงบันดาลใจร่อยหรอลง ศิลปินก็อาจลดสถานะเหลือสภาพเพียงช่าง แต่กระนั้นแรงบันดาลใจของช่างก็อาจคือการทำมาหาเลี้ยงชีวิต เป็นสัมมาอาชีวะอันมีความหมาย …
นาโก๊ะลี
นักบริหารท่านหนึ่งกล่าวว่า “ผู้ที่เรียนรู้จากประสบการณ์ถือเป็นคนฉลาด แต่ผู้ที่เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นด้วยเป็นคนฉลาดกว่า” ในขณะที่ยุคสมัยการเรียนรู้ของมนุษย์ มุ่งเน้นไปที่เนื้อหาวิชาการ ทฤษฎีต่างๆ แบ่งสายแยกแขนงแตกต่อ สืบค้นต้นตอแสวงหาความรู้ ไม่ก็สร้างความรู้ สร้างทฤษฎีขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรม หรือให้มันรับใช้ความเชื่อของตัวเองหรือกลุ่มของตัวเอง นั่นก็ว่า ทฤษฎีของใครก็ของใคร ทั้งนั้นก็คงใช่หรอก ว่าเป็นการแสวงหาความรู้ของมนุษย์ มากกว่านั้นหลายเจ้าทฤษฎีก็ขวนขวายหาวิธี สร้างวิธีเข้าสู่ความรู้โดยวิธีลัด …
นาโก๊ะลี
วันแต่ละวัน ซึ่งก็คือตลอดเวลาของชีวิต มนุษย์ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธการสื่อสาร มีบ้างหรอกวิธี หรือเครื่องมือสื่อสารที่สามารถตัดต่อ เรียบเรียงโดยผ่านการใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ด้วยเหตุด้วยผลว่าจะได้หรือเสีย ดีหรือร้าย ในแง่นี้ก็อาจจะว่าเฉพาะไปที่การเขียน ซึ่งมันเป็นการสื่อสารที่ค่อนข้างช้า ความช้านี่เองที่ทำให้สามารถกลั่นกรองเรื่องราวเนื้อหานั้นๆ แต่การสื่อสารที่รวดเร็ว ว่าก็คือการสนทนานั้นมันเป็นการสื่อสารทันใด มันจึงทำให้กรองได้น้อย มีบ้างหรอกความพยายามที่จะ ‘คิดก่อนพูด’ แต่มันก็ไม่ได้ใช้ได้ทุกครั้ง ยิ่งขณะภาวะที่ความคิดคับแคบด้วยแล้ว …
นาโก๊ะลี
เรื่องเล่าในแถบถิ่นภูเขา และเผ่าชนบนภูเขานั้น หลายต่อหลายเรื่อง หลายต่อหลายคราว มักมีเรื่องราวแห่งการเดินทาง และนักเดินทางอยู่เสมอ ณ แผ่นดินนี้ จากเทือกผีปันน้ำ ถึงถนนธงชัย จรดตะนาวศรี หมู่บ้านเล็กๆ แทรกตัวอยู่บนภูเขามานานนัก นับจากหมู่บ้านที่มีสามหลัง ห้าหลัง ถึงหมู่บ้านที่มีนับสิบนับร้อยหลัง จัดวางอยู่บนขุนเขาสลับซับซ้อน และนั่นเอง ขุนเขาใหญ่ที่ยาวเหยียดนี้จึงเต็มไปด้วยหนทางนับร้อยนับพันทาง เชื่อมโยงต่อสายถึงกันและกัน ในวิถีแห่งการเดินทางนี่เอง จึงทำให้เราพบเสมอว่า เมื่อเราเยือนถิ่นทางเหนือ เรามักคนจากทางใต้ อยู่ ณ แดนเหนือ …
นาโก๊ะลี
ค่ำ.....มหานครถนนสายหนึ่งคลาคล่ำไปด้วยรถราและผู้คน ว่ากันว่าถนนสายนี้ มักเนืองแน่นไปด้วยรถและคนอยู่เสมอไม่เว้นวาย หลายคนหวาดผวาที่จะผ่านเข้าไปในถนนสายนี้ โดยเฉพาะรถรับจ้างสาธารณะไม่ประจำทางทั้งหลาย ตึกแถวร้านค้าขายของคึกคักจนหน้าร้านล้ำเข้ามาบนทางเท้า ริมทางรถยนต์ผู้ค้าเร่ปูผ้า หรือตั้งโต๊ะเรียงรายเป็นแนวบนทางเท้า นั่นทำให้ทางที่แคบอยู่แล้ว ยิ่งแคบลงไปอีกมาก คนจำนวนหนึ่งต้องออกมาเดินอยู่บนทางรถยนต์ นั่นก็ยิ่งทำให้รถยนต์ที่มากอยู่แล้วต้องเสียทางวิ่งไปอีกหนึ่งเส้นทาง …
นาโก๊ะลี
ในช่วงชีวิตคนๆ หนึ่ง ว่ากันโดยส่วนใหญ่ตามประสบการณ์ที่เห็นอยู่ คงมีช่วงเวลาหนึ่งที่ชีวิตก้าวลงสู่ช่วงตกต่ำ ในแง่นี้อาจจะหนักกว่าคำว่า “ขาลง” ว่าก็คือชีวิตเริ่มล้มเหลว ทุกข์แสนสาหัส ดูเหมือนช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะพยายามเพียงใด ทุ่มเทเพียงใด มันก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ยังคงแย่ลงๆ เรื่อยๆ บางครั้งมันก็หนักหนาเกินกว่าจะทนไหว ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนหนึ่งทนไม่ได้กับสภาวะนั้น กรณีฆ่าตัวตายจึงเกิดขึ้น เพราะเมื่อคนยิ่งแย่ลง ต่ำลง มันก็ได้เข้าสู่จุดศูนย์ของความเปราะบางมากที่สุด บริเวณจุดศูนย์ของความเปราะบางนี้เองที่มันก็มีความข้น –…
นาโก๊ะลี
ดูเหมือนว่าขณะที่มุมหนึ่งหรือหลายมุมของโลกผันแปรไปในระบบระบอบของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เกิดนวัตกรรมสำหรับชีวิตมากขึ้นทุกวัน ตัวแทนหรือผู้ผลิตบอก กรอกข้อมูลเข้าไปในจิตไร้สำนึกของเราทุกวันว่า สิ่งทั้งหลายนั้นล้วนจำเป็นสำหรับชีวิต หรืออย่างน้อยมันก็ทำให้ชีวิตเราสุขสบายขึ้น หลายวาระที่สิ่งทั้งหลายนั้นมันไม่ได้นำพาเฉพาะความสะดวกเพียงอย่างเดียว แต่มันได้นำพาความยุ่งยากซับซ้อนมาด้วยเสมอ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว หรือบางครั้งเราก็เสพได้สะดวกขึ้น แต่ก็ทำให้เวลาส่วนหนึ่งหายไปจากชีวิตเรา หรือเมื่อเริ่มจากสิ่งหนึ่ง มันก็พาเราไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่ง หลายๆ สิ่ง…