Skip to main content

ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น

ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน

..............

(ต่อ)

อีกเรื่องหนึ่ง ที่แม่อยากบอกกับลูก ถ้าแม่รู้ว่าลูกจะอยู่กับเราไม่นาน แม่คงไม่ส่งลูกไปเรียนหนังสือในเมือง แม้ว่าการไปอยู่ที่นั่นเป็นเรื่องที่ดีต่ออนาคตก็ตาม


ป่านต้องเรียนในเมืองนะลูก ไปอยู่กับปู่กับย่า กับพี่ปุ้ย” แม่บอกลูกกระทันหันเกินไปใช่ไหม ลูกจึงตกใจมองหน้าแม่อย่างนิ่งอึ้ง แต่ไม่มีคำใดเอ่ยออกมา เพราะแม่กับพ่อตกลงกันโดยไม่ได้ถามความสมัครใจของลูก แต่ลูกก็ไม่ได้ขัดขืน เมื่อแม่สัญญาว่าจะไปเยี่ยมลูกให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะไปหาลูกทุกครั้งที่ลูกต้องการ แล้วแม่กับพ่อก็ทำตามนั้นจริงๆ เราไม่เคยห่างกันเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่ลูกป่วยแม่จะอยู่ข้างๆลูกเสมอ แต่ความป่วยไข้ก็ยังพรากลูกไปอยู่ดี

 

แม่วางใจว่าลูกเป็นเด็กที่เข้มแข็งทั้งกายและใจ เมื่อได้อ่านเรียงความของลูก ที่คุณครูให้เขียนเกี่ยวกับเรื่องแม่ ลูกเขียนไว้ว่า

แม่ให้ฉันมาเรียนหนังสือในเมือง เพราะแม่อยากให้ฉันมีอนาคตที่ดี เพื่อนฉันบางคนไม่มีพ่อแม่แต่เขายังเรียนหนังสือได้ ฉันยังมีแม่ที่เป็นกำลังใจ ฉันต้องอยู่ได้เช่นกัน”

 

แต่ทว่าปีแรกที่ลูกอยู่ในเมืองมุกดาหาร ในชั้นเรียนประถมปีที่ 3 ลูกเริ่มมีอาการปวดท้องด้านซ้าย พี่ปุ้ยบอกว่าทุกครั้งที่ปวดท้อง น้องยังตั้งใจไปโรงเรียน บางวันปวดมากจนต้องไปนอนพักในห้องพยาบาล แต่เมื่อพี่ถามว่าเป็นยังไงบ้าง ปวดมากไหม ลูกจะตอบเหมือนๆกันทุกครั้งว่า

ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงป่าน” พี่ปุ้ยไม่แน่ใจว่าน้องจะตอบตามความจริง จึงถามซ้ำอย่างเป็นกังวล

ไม่เป็นไรจริงๆ ไม่ต้องถามมาก”


นั่นล่ะ ที่ทำให้แม่เห็นถึงความเข้มแข็งของลูก ไม่ว่าร่างกายจะป่วยไข้อย่างไร แต่การเรียนของลูกไม่เคยตกต่ำ เพียงปีแรกที่เข้ามาเรียนในเมืองลูกก็สอบได้ที่
1 แล้ว แม้แต่ภาษาอังกฤษที่แม่กังวลว่าลูกจะสู้เพื่อนๆไม่ได้ ลูกกลับทำได้ดีจนอาจารย์ที่สอนเอ่ยปากชมกับแม่

 

เพราะลูกเป็นเด็กเรียนเก่ง การไปหาหมอในครั้งแรกๆ หมอบอกว่าลูกเป็นโรคเครียด ความเครียดลงกระเพาะ หมอจะจ่ายยารักษาอาการปวดท้องให้เท่านั้น และเป็นเช่นนั้นทุกครั้งไป ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลใดก็ตาม

 

จนกระทั่งหนึ่งปีผ่านไป อาการปวดท้องของลูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยปวดเพียงเดือนละครั้ง กลายมาเป็นหลายครั้ง แม่ต้องเปลี่ยนหมอเปลี่ยนโรงพยาบาล แต่แล้วการวินิจฉัยโรคก็ไม่ต่างไปจากเดิม

จริงอยู่ที่ประวัติการเรียนของลูกดีเยี่ยม ด้วยความตั้งใจเรียนของลูก ไม่มีใครบังคับลูกเลยสักนิด ลูกมีวินัยในตัวเอง คุณย่าบอกว่าตลอดเวลาที่อยู่กับคุณปู่คุณย่า ลูกไม่เคยเหลวไหลในเรื่องการเรียน กลับจากโรงเรียนลูกจะต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนแล้วจึงจะเล่นตามประสาเด็กๆ ลูกเล่นเกมคอมพิวเตอร์เหมือนเด็กอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องควบคุมระวังว่าลูกจะติดเกม เพราะสิ่งที่ลูกติดมากกว่าคือนิทานก่อนนอน

 

ทุกคืน แม้กระทั่งตอนที่ลูกป่วยมาก ลูกจะขอให้พ่อกับแม่เล่านิทานก่อนนอน เรื่องเดิมๆซ้ำๆ ลูกฟังได้ไม่เบื่อคือเรื่องสโนว์ไวท์ และเรื่องชีวิตวัยเด็กของแม่ที่ยากจนมากต้องเดินเท้าไปไกล เพื่อขอข้าวจากหมู่บ้านอื่นมากิน ดังนั้นแม่คิดว่า เรื่องจิตใจที่ตึงเครียดไม่น่าจะเกิดกับลูก เพราะลูกมีคนเล่านิทานให้ลูกฟังหมุนเวียนกันไป ทั้งปู่ ทั้งพ่อ และแม่ เราอยู่ใกล้ๆลูกตลอดเวลา เราให้เวลากับลูกมากเท่าที่จะทำได้ แม้กระทั่งพ่อที่มีงานยุ่งเป็นที่สุด

 

แต่สาเหตุการปวดท้องของลูก แม่ก็ไม่เคยคาดเดาไปไกล

 

เรื่องจิตใจที่เติบโตเป็นปกติตามวัย แม่รู้ว่าลูกโตขึ้นและพร้อมที่จะเข้าใจคนอื่น รู้จักการให้กำลังใจคนอื่นได้แล้วด้วย โดยเฉพาะกับแม่ เมื่อเวลาที่แม่ไปเยี่ยมไปนอนค้างกับลูกในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เวลาที่แม่ต้องกลับหมู่บ้าน ลูกจะร้องเพลงให้กำลังใจ บางครั้งก็เป็นเพลงตลกๆ ของโปงลางสะออน แล้วบอกว่า “หนูไม่คิดถึงแม่หรอกนะ” แล้วส่งยิ้มทะเล้นให้แม่ ก่อนโบกมือบายบาย เมื่อแม่ขับรถจากมาแล้ว ลูกยังส่งข้อความทางโทรศัพม์มือถือมาให้กำลังใจแม่ บอกว่า “แม่ขับรถดีๆนะ รักแม่นะ”

 

การเป็นเด็กในเมืองไม่ได้ทำให้ลูกเปลี่ยนแปลง ทุกปิดเทอมลูกกลับมาบ้านบัวของเรา ลูกมีเพื่อนเล่นของลูกราวๆสิบคน ลูกตั้งตัวเป็นผู้นำ ทุกปิดเทอม เด็กทุกคนจะต้องมีงานเป็นของตัวเอง นั่นคือการดูแลความสะอาดของศูนย์อินแปง ลูกประชุมจัดเวรกวาดขยะ ทุกคนต้องช่วยทำงานให้เสร็จก่อนที่จะวิ่งเล่น สิ่งที่ลูกและเพื่อนๆชอบมากที่สุดคือเกมไล่แตะตัว ที่คนเก่งๆมักจะปีนหนีขึ้นไปอยู่บนเถาวัลย์สูง และลูกนั่นเองที่ปีนได้สูงกว่าทุกคน

 

เถาวัลย์ใหญ่ยังคงอยู่ ทุกครั้งที่แม่เหลียวเห็น มันเป็นสิ่งบาดตาบาดใจ ลูกรู้ไหม เสียงหัวเราะร่าเริงแจ่มใสของลูกยังคงอยู่ เพื่อนๆของลูกไม่มีใครปีนป่ายเล่นบนนั้นอีกเลย ทุกคนคงคิดถึงลูก

 

อาการป่วยของลูกชัดเจนขึ้น เมื่อตอนปิดเทอมครั้งสุดท้าย เดือนเมษายน ปี 2551 ลูกปวดท้องนอนซมอยู่ในบ้าน นานหลายชั่วโมง แม่จึงให้กินยาประจำตัว คือยารักษาโรคกระเพาะ ลูกจึงลุกขึ้นมาเล่นกับเพื่อนๆที่นั่งรออยู่ที่ข้างล่างได้

 

นั่นคือการเล่นปีนป่ายเถาวัลย์ครั้งสุดท้ายของลูก

..............(ยังมีต่อ)

 

ฉันมองฝอยฝนด้วยใจหวั่นเศร้า คนที่เป็นชาวไร่ชาวนา ย่อมจะรู้ซึ้งถึงการรอคอยแบบนี้ เหมือนชีวิตบางชีวิต ที่เข้ามาเพื่อจะเติมเต็ม แต่ทว่าเป็นการเติมเต็มที่ยากยิ่งต่อการ “หยั่งรู้” ในความจริงของธรรมชาติ เมื่อการเติมเต็มนั้น

ต้องเริ่มจากการสูญเสีย”

 

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
เช้านี้...ไร้เรี่ยวแรงที่จะทำงาน จึงต่อสายไฟจากหม้อแบตเตอรี่รถแทรคเตอร์ เพื่อเปิดทีวีขนาดสิบสี่นิ้ว ฟังดูข่าวคราวของโลกกว้าง พบว่าราคาน้ำมันยังพุ่งลิ่ว ผู้คนในหลายประเทศตายเกลื่อนเพราะภัยพิบัติ ขณะที่ฉันกำลังทรมานใจกับความผิดบาปของตัวเอง เนื่องจากการทำงานเมื่อวานนี้... งูลายทางยาวๆ สีดำ ตัวโตขนาดข้อมือเด็กๆ กำลังบิดตัวขยับร่างให้เคลื่อนไหวต่อไปข้างหน้า มันผงกหัวออกแรงพุ่ง แต่ลำตัวกลับติดตายอยู่บนพื้นดิน ท่อนกลางและท่อนหางถูกตัดออกจนเกือบขาด มีเจ้าหมาหนุ่มสองตัวของฉันกำลังเอาตีนเขี่ยให้มันเคลื่อนไหวอย่างล้อเล่น
เงาศิลป์
กลีบดอกไม้ป่าร่วงผลอยไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเท่าทันกับฤดูฝนที่มาถึง ราวป่าท้ายไร่จึงเขียวขจีชุ่มชื่นแผ่ผ่านความสดใสมาถึงหัวใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียง“ไปทำบุญที่ยอดห้วยกันเถอะ”ยายแดงตะโกนเรียกมาจากบนรถอีแต๊ก ที่ควบปุเลงๆผ่านหน้าไร่ฉันไปอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับต้นหญ้าเล็กๆที่หน้าบ้าน
เงาศิลป์
เสียงลมอื้ออึง ปลุกฉันจากความหลับใหลที่เนื่องมาจากความอ่อนล้าโรยแรงฉันตื่นกลัวจนกระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจ ผุดนั่งอย่างลืมตัวผืนผ้าใบที่ชายคาเสียงดังพึ่บ มันสะบัดปลายจนเรือนไม้หลังน้อยสะเทือนไหว เงี่ยหูฟังเสียงลมที่กำลังมุ่งหน้ามามันมีกำลังแรงขึ้นและแรงขึ้นอย่างรวดเร็วแสงสว่างวาบลอดเข้ามาตามช่องฝาผนัง  ฉันกอดอกด้วยความหวาดกลัว  และแล้ว ..เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ “ฉันมาทำอะไรที่นี่” เสียงครางอยู่ข้างในถามไถ่ตัวเองอย่างน่าสงสารน้อยครั้งนักที่ฉันจะหวาดกลัวอะไร หรือจะคิดจินตนาการอะไรๆ ที่เป็นเรื่องร้ายๆ ต่อชีวิต แม้ในท่ามกลางวิกฤติ เพราะฉันมีความเชื่อว่าพระจะต้องคุ้มครองฉันเสมอ …
เงาศิลป์
“มันจะได้ผลหรือคุณ” น้ำเสียงต่ำๆ แกมรอยยิ้มที่ริมปาก ทำให้ฉันฉุนกึกอยู่ข้างใน แต่ต้องฝืนตอบออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะนับเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ตาลีถามฉันอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของแกซะหน่อย“ได้ผลสิ ที่บ้านที่ใต้ทำใช้อยู่ประจำ”เรากำลังสนทนาถึงน้ำหมักชีวภาพที่ฉันทำไว้ใช้เอง บรรจุในถังพลาสติกใบใหญ่และนำออกมารดพื้นดินแทบทุกครั้งที่ฝนตกชุ่ม ความหวังที่จะฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อให้ไส้เดือนคืนถิ่นของฉัน ดูช่างยาวไกลราวกับนักเดินทน ที่ต้องเดินรอบโลกหลายรอบ เผลอๆอาจหมดแรงตายเสียก่อนที่จะครบรอบแรกด้วยซ้ำ
เงาศิลป์
“โชค ไปเที่ยวในป่ากันดีกว่า น้าได้กลิ่นดอกไม้หอม”เขาพยักหน้า วางเครื่องมือทำงานไว้ในที่ร่มแล้วคว้าขวดน้ำดื่มติดมือมาแทน เจ้าหมาหนุ่มสองตัวรีบมุ่งหน้ามาสมทบโดยไม่ต้องส่งเสียงเรียก เพราะการเคลื่อนไหวของเราอยู่ในสายตาของมันเสมอแค่เอื้อมเท่านั้น...ที่ฉันจะหาความสุขอันลึกซึ้งได้ แต่บ่อยครั้งที่ฉันแข็งใจไม่แวะเข้าไปในป่า เนื่องจากงานในไร่กำลังเร่งรีบ และยามนี้เป็นเวลาปิดเทอมใหญ่ “โชค” จึงมีเวลามาช่วยงานได้เต็มวัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เป็นครูสอนงานที่ดีให้แก่ฉันในบางกรณี และพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้งานได้อย่างน่าชื่นชม ฉันแอบดูเขาทำงาน มองร่างผ่ายผอมในวัยเพียงสิบห้าปี…
เงาศิลป์
แสงไฟสีส้มดวงเล็กๆ ดาหน้ากันเข้ามาจากทุกทิศทาง ยกเว้นจากส่วนที่เป็นด้านหลังไร่ เพราะนั่นคือป่าชุมชนผืนใหญ่ ที่เป็นเป้าหมายของการไปสู่ของแสงไฟเหล่านั้น ดูแล้วน่าตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อตอนเย็นนี้ฉันนึกถึงแนวรั้วลวดหนามด้านท้ายไร่ ที่เสร็จไปครึ่งทางแล้ว ด้วยฝีมือของตาลี “เราทำรั้วกั้นที่ของเรา ไม่มีใครเขามาว่าได้หรอก อีกหน่อยพอฝนตกชุก คุณต้องทำประตูกั้นทางเข้าไร่ด้วยนะ ทำรั้วง่ายๆพอเป็นที่เข้าใจว่าถนนที่ตรงมาทางนี้คือทางส่วนบุคคล ไม่ใช่ทางสาธารณะ” แกย้ำถึงความจำเป็น เพราะฉันเคยลังเลกลัวว่าจะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องเดินอ้อมไปไกลจึงจะไปถึงป่าชุมชนนั้นได้…
เงาศิลป์
การใช้ชีวิตในบ้านไร่ชายป่า บางครั้งทำให้ฉันถามตัวเองว่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิตด้วยหรือเปล่า แต่แล้วก็มีบางเรื่องราวมาคลี่คลายเป็นคำตอบให้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับคำถามใดๆ ทั้งสิ้น.......สวัสดีค่ะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะหนูชื่อทรายนะคะ บังเอิญเข้ามาอ่านเจอพอดี พี่ทำงานกับป๊าหนูด้วยเหรอค่ะ (ยงยุทธ ตรีนุชกร) แต่พ.ศ.31 หนูเพิ่งจะเกิดเอง คงไม่รูจักพี่แน่เลย!! แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่นะค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย เพราะหนูเรียนแพทย์แผนไทยอยู่ ก็เลยรู้สึกดีที่มีคนชอบการรักษาแบบแผนไทยเหมือนกัน ขอให้พี่หายเร็วๆ นะคะ แล้วก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะคะ……………………….
เงาศิลป์
มือขวาที่บวมเบ่ง ความสากกร้านที่ห่อหุ้มยิ่งทำให้มือนั้นดูเทอะทะ เจ้าของมือยังมีเค้าความสวยงาม แม้วัยล่วงเลยจนเป็นย่าคนแล้ว เธอยังต้องทำงานหนัก จนกระทั่งบาดเจ็บ
ฉันค่อยๆลูบยาหม่องสูตรเข้มข้นที่ปรุงเอง ความร้อนของน้ำมันสมุนไพรคงพอบรรเทาอาการ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดในการเยียวยาคือให้พักงาน หยุดใช้มือนั้นทำงานสักระยะ  เธอยิ้มตอบคำแนะนำอย่างสดใส บนใบหน้ากร้านแดด บอกว่าทำไม่ได้หรอก งานมีเยอะแยะ หนี้สินอีกมากมายจะหยุดทำงานได้อย่างไร“นี่ก็เปลี่ยนกันทำงาน ให้ตาเก้ไปรับจ้างไถไร่เพิ้น เอาเงินมาซื้อน้ำมันสูบน้ำใส่ไร่อ้อย ข้อยกะต้องมาเลี้ยงวัวแล้วกะเสียหญ้าอ้อยไปนำ” ฉันคลึงเบาๆที่นิ้วกลางอันบวมช้ำ…
เงาศิลป์
“ต้นไม้ไม่ต้องการคำภาวนา มันต้องการน้ำ” อาการห่อเหี่ยวของเรียวใบยังคงอยู่ บางต้นปลิดใบสีน้ำตาลร่วงพราวเกลื่อนพื้น........แม้แต่ความรัก ก็ยากจะเยียวยา.....ไม่ว่าฉันจะพูดปลอบประโลมอย่างไร มันก็ไม่อาจฟื้นคืนมาสู่ความสดใสได้อีกแล้วฉันสิ ที่ต้องคร่ำครวญและพาลโมโหตัวเองที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวสวน แต่ไม่เคยมีวิชาทำสวนติดตัวสักกระผีกริ้น สิ้นลมหายใจพ่อ เหมือนสิ้นคู่มือชีวิต เรื่องของต้นไม้และเม็ดดินกลายเป็นความลี้ลับ ที่ต้องใช้เวลา และสติปัญญา มาถอดรัสลับ ซึ่งไม่รู้ว่าชาตินี้ฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ของต้นไม้แต่ละชนิดแม้เวลานี้ ยังได้ชื่อว่าเป็น “ฤดูหนาว”…
เงาศิลป์
ดนตรีแห่งฤดูกาล กำลังเปลี่ยนผ่านจังหวะไปสู่ความรุนแรงร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังหลอกล่อหัวใจผู้คนด้วยจังหวะผ่อนแผ่วของไอหนาว เมื่อคืน ฉันเผลอเรอลืมห่อห่มร่างกายให้อบอุ่น จึงถูกไข้หวัดจู่โจม จะเรียกว่าเป็นความอ่อนแอของร่างกายหรือว่าเป็นความแข็งแรงอันร้ายกาจของไวรัสก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะรอบทิศทางของไร่ มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ทุกคืน การเผาซากอ้อยจึงกลายเป็นฤดูกาลเผาไร่...ฤดูกาลใหม่ของที่นี่ถ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไกลลิบนั่น คงเห็นรอยไฟลามเลียเป็นหย่อมๆ แผ่กระจายไปทั่ว คล้ายสัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงเคลื่อนไหวเพยิบกลืนกินผิวโลกจนไหม้เกรียม และทุกหัวค่ำ ยังมีของแถมเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง…
เงาศิลป์
 ริ้วสีชมพูอมส้ม กระจ่างจ้าที่ริมขอบฟ้า ดุจแก้มใสปลั่งของสาวน้อย ไรแสงสาดจับจ้าบนท้องฟ้าเหนือศรีษะ งดงามตระการ ฉันยืนมองแสงสีตรงหน้า ที่แปรเปลี่ยนไปทีละนิดๆ อย่างโปร่งโล่งในอารมณ์ สูดลมหายใจยาว นำเอาความสดชื่นไปกักเก็บไว้เต็มปอด สัมผัสความเย็นชุ่มที่ล่วงลึกลงภายใน ผิดกับผิวกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวสีทึมเนื้อหนานุ่ม เพียงผิวหน้าเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับละไอหมอกหนาลอยเรี่ยพื้น ความหนาวเย็น ไม่ใช่มิตรที่ดีนัก ไม่ควรใกล้ชิดจนเกินไป ร่างกายมันบอกให้ฉันอย่างนั้น เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นทั้งกายใจ งานหนักในไร่กลายเป็นคุณแก่ชีวิต…
เงาศิลป์
“เจ้าสองตัวนี่ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ ดูที่อุ้งตีนมันสิ ใหญ่กว่าหมาทั่วไป” ลุงเจนบอก เมื่อเราเดินเล่นไปจนถึงนาของแก เสียงลิ้นตวัดน้ำในสระดังขวับ ๆ ๆ เพราะความหิวกระหาย มันคงเหนื่อยอ่อนทีเดียวเพราะต้องเดินดั้นด้นมุดกอหญ้าที่ท่วมตัว ดีว่ามีกันสองตัวพี่น้องจึงพอสนุกสานหยอกล้อไล่กัดกันไปพลาง ชวนขุดหามดหาแมลงกินกันไปพลาง ระยะทางเกือบกิโลเมตรจึงพอเดินสบายๆ ในยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ฉันมีเจ้าสองตัวเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาได้สิบกว่าวัน อายุของมันทั้งสองราวๆ 2 เดือนกว่า กำลังกินกำลังซนและมันทั้งคู่ต่างประกาศนิสัยส่วนตัวออกมาอย่างชัดเจน  เจ้าเสือตัวโตกว่าเพราะกินเก่งกว่า ขี้เล่น ห้าวหาญ…