Skip to main content

ก้อนเมฆหนาสีเทาทึมทึบ ขยับเคลื่อนช้าๆมาจากทิศตะวันตก จากโค้งฟ้าไกลๆค่อยๆเคลื่อนผ่านศรีษะฉันไปอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายลังเลว่าจะแวะพักสักครู่ดีหรือไม่ คงไม่อาจรีรอได้ จึงบ่ายคล้อยต่อไปยังทิศตรงข้าม ทิ้งไอฉ่ำระเรี่ยพื้นพอให้คนรอคอยใจหายเล่น

ชีวิตบางชีวิตก็เช่นกัน

..............

(ต่อ)

อีกเรื่องหนึ่ง ที่แม่อยากบอกกับลูก ถ้าแม่รู้ว่าลูกจะอยู่กับเราไม่นาน แม่คงไม่ส่งลูกไปเรียนหนังสือในเมือง แม้ว่าการไปอยู่ที่นั่นเป็นเรื่องที่ดีต่ออนาคตก็ตาม


ป่านต้องเรียนในเมืองนะลูก ไปอยู่กับปู่กับย่า กับพี่ปุ้ย” แม่บอกลูกกระทันหันเกินไปใช่ไหม ลูกจึงตกใจมองหน้าแม่อย่างนิ่งอึ้ง แต่ไม่มีคำใดเอ่ยออกมา เพราะแม่กับพ่อตกลงกันโดยไม่ได้ถามความสมัครใจของลูก แต่ลูกก็ไม่ได้ขัดขืน เมื่อแม่สัญญาว่าจะไปเยี่ยมลูกให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะไปหาลูกทุกครั้งที่ลูกต้องการ แล้วแม่กับพ่อก็ทำตามนั้นจริงๆ เราไม่เคยห่างกันเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่ลูกป่วยแม่จะอยู่ข้างๆลูกเสมอ แต่ความป่วยไข้ก็ยังพรากลูกไปอยู่ดี

 

แม่วางใจว่าลูกเป็นเด็กที่เข้มแข็งทั้งกายและใจ เมื่อได้อ่านเรียงความของลูก ที่คุณครูให้เขียนเกี่ยวกับเรื่องแม่ ลูกเขียนไว้ว่า

แม่ให้ฉันมาเรียนหนังสือในเมือง เพราะแม่อยากให้ฉันมีอนาคตที่ดี เพื่อนฉันบางคนไม่มีพ่อแม่แต่เขายังเรียนหนังสือได้ ฉันยังมีแม่ที่เป็นกำลังใจ ฉันต้องอยู่ได้เช่นกัน”

 

แต่ทว่าปีแรกที่ลูกอยู่ในเมืองมุกดาหาร ในชั้นเรียนประถมปีที่ 3 ลูกเริ่มมีอาการปวดท้องด้านซ้าย พี่ปุ้ยบอกว่าทุกครั้งที่ปวดท้อง น้องยังตั้งใจไปโรงเรียน บางวันปวดมากจนต้องไปนอนพักในห้องพยาบาล แต่เมื่อพี่ถามว่าเป็นยังไงบ้าง ปวดมากไหม ลูกจะตอบเหมือนๆกันทุกครั้งว่า

ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงป่าน” พี่ปุ้ยไม่แน่ใจว่าน้องจะตอบตามความจริง จึงถามซ้ำอย่างเป็นกังวล

ไม่เป็นไรจริงๆ ไม่ต้องถามมาก”


นั่นล่ะ ที่ทำให้แม่เห็นถึงความเข้มแข็งของลูก ไม่ว่าร่างกายจะป่วยไข้อย่างไร แต่การเรียนของลูกไม่เคยตกต่ำ เพียงปีแรกที่เข้ามาเรียนในเมืองลูกก็สอบได้ที่
1 แล้ว แม้แต่ภาษาอังกฤษที่แม่กังวลว่าลูกจะสู้เพื่อนๆไม่ได้ ลูกกลับทำได้ดีจนอาจารย์ที่สอนเอ่ยปากชมกับแม่

 

เพราะลูกเป็นเด็กเรียนเก่ง การไปหาหมอในครั้งแรกๆ หมอบอกว่าลูกเป็นโรคเครียด ความเครียดลงกระเพาะ หมอจะจ่ายยารักษาอาการปวดท้องให้เท่านั้น และเป็นเช่นนั้นทุกครั้งไป ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลใดก็ตาม

 

จนกระทั่งหนึ่งปีผ่านไป อาการปวดท้องของลูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยปวดเพียงเดือนละครั้ง กลายมาเป็นหลายครั้ง แม่ต้องเปลี่ยนหมอเปลี่ยนโรงพยาบาล แต่แล้วการวินิจฉัยโรคก็ไม่ต่างไปจากเดิม

จริงอยู่ที่ประวัติการเรียนของลูกดีเยี่ยม ด้วยความตั้งใจเรียนของลูก ไม่มีใครบังคับลูกเลยสักนิด ลูกมีวินัยในตัวเอง คุณย่าบอกว่าตลอดเวลาที่อยู่กับคุณปู่คุณย่า ลูกไม่เคยเหลวไหลในเรื่องการเรียน กลับจากโรงเรียนลูกจะต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนแล้วจึงจะเล่นตามประสาเด็กๆ ลูกเล่นเกมคอมพิวเตอร์เหมือนเด็กอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องควบคุมระวังว่าลูกจะติดเกม เพราะสิ่งที่ลูกติดมากกว่าคือนิทานก่อนนอน

 

ทุกคืน แม้กระทั่งตอนที่ลูกป่วยมาก ลูกจะขอให้พ่อกับแม่เล่านิทานก่อนนอน เรื่องเดิมๆซ้ำๆ ลูกฟังได้ไม่เบื่อคือเรื่องสโนว์ไวท์ และเรื่องชีวิตวัยเด็กของแม่ที่ยากจนมากต้องเดินเท้าไปไกล เพื่อขอข้าวจากหมู่บ้านอื่นมากิน ดังนั้นแม่คิดว่า เรื่องจิตใจที่ตึงเครียดไม่น่าจะเกิดกับลูก เพราะลูกมีคนเล่านิทานให้ลูกฟังหมุนเวียนกันไป ทั้งปู่ ทั้งพ่อ และแม่ เราอยู่ใกล้ๆลูกตลอดเวลา เราให้เวลากับลูกมากเท่าที่จะทำได้ แม้กระทั่งพ่อที่มีงานยุ่งเป็นที่สุด

 

แต่สาเหตุการปวดท้องของลูก แม่ก็ไม่เคยคาดเดาไปไกล

 

เรื่องจิตใจที่เติบโตเป็นปกติตามวัย แม่รู้ว่าลูกโตขึ้นและพร้อมที่จะเข้าใจคนอื่น รู้จักการให้กำลังใจคนอื่นได้แล้วด้วย โดยเฉพาะกับแม่ เมื่อเวลาที่แม่ไปเยี่ยมไปนอนค้างกับลูกในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เวลาที่แม่ต้องกลับหมู่บ้าน ลูกจะร้องเพลงให้กำลังใจ บางครั้งก็เป็นเพลงตลกๆ ของโปงลางสะออน แล้วบอกว่า “หนูไม่คิดถึงแม่หรอกนะ” แล้วส่งยิ้มทะเล้นให้แม่ ก่อนโบกมือบายบาย เมื่อแม่ขับรถจากมาแล้ว ลูกยังส่งข้อความทางโทรศัพม์มือถือมาให้กำลังใจแม่ บอกว่า “แม่ขับรถดีๆนะ รักแม่นะ”

 

การเป็นเด็กในเมืองไม่ได้ทำให้ลูกเปลี่ยนแปลง ทุกปิดเทอมลูกกลับมาบ้านบัวของเรา ลูกมีเพื่อนเล่นของลูกราวๆสิบคน ลูกตั้งตัวเป็นผู้นำ ทุกปิดเทอม เด็กทุกคนจะต้องมีงานเป็นของตัวเอง นั่นคือการดูแลความสะอาดของศูนย์อินแปง ลูกประชุมจัดเวรกวาดขยะ ทุกคนต้องช่วยทำงานให้เสร็จก่อนที่จะวิ่งเล่น สิ่งที่ลูกและเพื่อนๆชอบมากที่สุดคือเกมไล่แตะตัว ที่คนเก่งๆมักจะปีนหนีขึ้นไปอยู่บนเถาวัลย์สูง และลูกนั่นเองที่ปีนได้สูงกว่าทุกคน

 

เถาวัลย์ใหญ่ยังคงอยู่ ทุกครั้งที่แม่เหลียวเห็น มันเป็นสิ่งบาดตาบาดใจ ลูกรู้ไหม เสียงหัวเราะร่าเริงแจ่มใสของลูกยังคงอยู่ เพื่อนๆของลูกไม่มีใครปีนป่ายเล่นบนนั้นอีกเลย ทุกคนคงคิดถึงลูก

 

อาการป่วยของลูกชัดเจนขึ้น เมื่อตอนปิดเทอมครั้งสุดท้าย เดือนเมษายน ปี 2551 ลูกปวดท้องนอนซมอยู่ในบ้าน นานหลายชั่วโมง แม่จึงให้กินยาประจำตัว คือยารักษาโรคกระเพาะ ลูกจึงลุกขึ้นมาเล่นกับเพื่อนๆที่นั่งรออยู่ที่ข้างล่างได้

 

นั่นคือการเล่นปีนป่ายเถาวัลย์ครั้งสุดท้ายของลูก

..............(ยังมีต่อ)

 

ฉันมองฝอยฝนด้วยใจหวั่นเศร้า คนที่เป็นชาวไร่ชาวนา ย่อมจะรู้ซึ้งถึงการรอคอยแบบนี้ เหมือนชีวิตบางชีวิต ที่เข้ามาเพื่อจะเติมเต็ม แต่ทว่าเป็นการเติมเต็มที่ยากยิ่งต่อการ “หยั่งรู้” ในความจริงของธรรมชาติ เมื่อการเติมเต็มนั้น

ต้องเริ่มจากการสูญเสีย”

 

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…