นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้
ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า และบ่อยครั้งที่นำเสบียงพร้อมทั้งจดหมายข่าวสารจากภายนอกมาถึงฉันก็เป็นอันต้องงดใช้ไปด้วย ครอบครัวรถอีแต๊ก ที่มีลูกสาวเล็กๆอีกหนึ่งคนต้องใช้วิธีเดินเท้าเข้ามาที่นา ในอีกเส้นทางหนึ่ง
ความเคยชินของการได้ยินเสียงอีแต๊ก ดังแต๊ก ๆ ๆ ๆ แว่วมาจากแนวป่า จนกระทั่งพวกเขาโผล่มาให้เห็นทางประตูไร่ แล้วก็ลับหายไปกับแนวไม้อีกครั้ง ขาดหายไปหลายวันแล้ว
ความสุขที่รถอีแต๊กคันนั้นนำมาให้ มันบรรจุอยู่ในกล่องพัสดุที่ส่งมาจากแดนไกล โดยเฉพาะหนังสือจากพี่ชายที่แสนดี นามว่า โดม วุฒิชัย พร้อมกับคำเคี่ยวเข็นให้ฉันเขียนหนังสือให้มากๆ หรือจะเป็นซองกระดาษบรรจุหนังสือจากสหายปราณชลี มิตรภาพในโลกไซเบอร์ บล๊อกโอเคเนชั่น แต่มีอยู่อีกชิ้นหนึ่งที่นำความสุขกึ่งขบขันมาให้ คือกล่องบรรจุปลาเค็มที่มาไกลจากเกาะเต่า มันเป็นปลาเค็มตัวโต๊โต ที่แม่ใหญ่แถวนี้ไม่กล้ากินเด็ดขาด บอกว่า “ปลาทะเลตัวโต กินแล้วผิดสำแดง”
เมื่อวานนี้ น้าพงษ์แวะมาเยี่ยม ก็ไม่เชิงทีเดียว เขามาเพื่อจะถามว่ายังต้องการไม้ไว้ต่อเติมบ้านหรือเปล่า ฉันบอกว่าต้องการ ก็ดูเอาซี บ้านที่น้าพงษ์สร้างให้จวนจะล้มแล้ว เขาหัวเราะหึ หึ รู้ว่าฉันหยอกเย้า แต่ความจริงของบ้านหลังนี้ก็คือ เสาเล็กไปนิด ใครๆที่ผ่านมาเห็นมักจะทำหน้าประหลาดใจว่าไม่กลัวมันจะพังครืนลงมาเหรอ
เสาทั้งหกเสา ทำจากไม้แดงทั้งต้น ในสภาพคดงอ ไม่ได้ถากเปลือกออกให้เกลี้ยงเกลาแต่อย่างใด แต่มันก็ยังยืนหยัดรับน้ำหนักเครื่องประกอบด้านบนได้เป็นอย่างดี
“น้าพงษ์ นี่นกอะไรน่ะ” ฉันเปิดประตูกรงเจ้าคุกคูให้เขาดู น้าพงษ์หัวเราะ
“ไม่มีใครเขาเลี้ยงนกชนิดนี้หรอกเจ๊” แกว่า “เพราะไม่นานมันก็จะไม่กินอาหาร แล้วตายไปเอง”
“มันจะใจเสาะ ไม่รักชีวิตขนาดนั้นเชียวเหรอ” ฉันแกล้งว่า แต่ก็บอกเขาไปว่า ที่ผ่านมาสามสี่วันมันพยายามกินอาหารทุกอย่างที่ป้อนให้ เพียงแต่วันหลังๆ ดูท่ามันจะอยากให้ป้อนเนื้อสัตว์มากกว่า ฉันจึงหาไส้เดือนและลูกปลามาให้มันกิน
ฉันต้องเป็นนักล่า และนักฆ่า เพราะต้องการรักษาชีวิตอีกชีวิตหนึ่ง
“คุกคู คุกคู ฉันรู้ว่าแกเป็นนักล่า แกเกิดมาเพื่อล่าชีวิตอื่น และแน่นอน แกย่อมถูกล่าได้เช่นกัน แต่ฉันก็ยังอยากให้แกรอดชีวิต ฉันอยากเห็นแกโบยบินได้แบบเดิม”
ทุกๆ วันของการดูแล เจ้าตัวน้อย นอนซมซุกอยู่ในกรง เพราะขาพับหักทรงตัวไม่ได้ มันส่งแววตาซื่อๆสื่อว่าคุ้นเคยกับเสียงร้องเรียก ฉันจึงรู้สึกสงสารเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งอยากจะเห็นมันบินได้ อยากให้มันมีอิสระเสรีอย่างที่เคยเป็น
แม้ความยุ่งยากในการดุแลจะเพิ่มขึ้นทุกวัน ทุกครั้งที่หย่อนไส้เดือนลงปากเจ้านกน้อย
“อโหสิกรรมด้วย” ฉันกล่าวอย่างเสียใจ ขณะที่เหยื่อบิดร่างเป็นเกลียวอยู่ในจงอยปากที่แข็งคม
“ขอโทษด้วย ขอโทษจริงๆ รีบหายไวๆนะเจ้านกน้อย ฉันไม่อยากฆ่าแกงชีวิตใครมากไปกว่านี้”
แต่ครั้งต่อๆมา ฉันพยายามจะไม่ให้ความรู้สึกใดๆ แผ้วผ่านมา นอกจากความสุขยามที่เห็นมันจิกกินด้วยตัวเอง
วันที่สี่ เจ้านกบาดเจ็บเริ่มเมินหน้าหนีไส้เดือน แต่ก็ยังยอมจิบน้ำ ฉันร้อนใจกลัวมันจะตายเพราะอดอาหาร จึงต้องเดินไปขอลูกปลาเล็กๆจากที่นาเพื่อนบ้าน ด้วยกลิ่นคาวของปลาสด ทำให้มันอ้าปากอีกครั้ง
เช้าตรู่ของวันนี้ ฉันเปิดประตูกรง ร้องเรียกคุกคู คุกคู เหมือนอย่างเคย มันเหยียดร่างนอนนิ่ง ฉันใจหาย รีบจับขึ้นมาดู มันสิ้นใจนานแล้ว
จริงหรือที่ว่ามันไม่อยากมีชวิตอยู่ ไม่จริงหรอก เมื่อวานตอนเย็นมันยังพยายามจะกลืนลูกปลาลงไปในท้อง เพียงแต่มีอาการเชื่องช้าและทำท่าเหมือนไม่มีแรง ฉันจึงชำแหละซากเพื่อดูข้างใน พบว่าเนื้อบางๆที่หุ้มกระดูก เขียวคล้ำไปทั้งร่าง ภายในช่องท้อง มีสีแดงช้ำเหมือนเลือดคั่ง
นั่นอย่างไร ฉันเห็นความพยายามในการมีชีวิต แต่ชีวิตไม่ให้โอกาสมันอีกต่อไป
ฉันเริ่มรู้สึกว่าบางอย่างขาดหายไป โดยเฉพาะยามนี้ ยามที่ฉันร้องเรียกคุกคู คุกคู แล้วไร้วี่แววการขานตอบ
ความเคลื่อนไหวในไร่ถูกหยุดไว้ด้วยสายฝน วันเวลาที่ฉันทุ่มเทให้กับเจ้านกน้อย สร้างความสุขอย่างลางเลือนขึ้นมาช้าๆ แต่พอความสุขจางหาย ความทุกข์กลับเด่นชัดอย่างรวดเร็ว
นั่นเป็นเพราะฉันหลงลืมกฏของชีวิต ที่จะเป็นเพียงผู้เฝ้าดู
กระโจนลงไปในสายธารแห่งความสุขอย่างลืมตัว พร้อมทั้งมาดหมายที่จะมีมันนิรันดร์