ฉันกำลังอยู่ในอารมณ์สองอย่างนั้น คอยจัดความสัมพันธ์ของมันราวกับกำลังกำกับการแสดงละครของเด็กน้อยและคนชราให้เท่าทันท่วงทำนองกัน
ไม่สนุกหรอก ฉันเบื่อนิสัยนี้ของตัวเองจะตายไป แต่ฉันก็ยังตามใจมันอยู่ดี พออายุมากขึ้น ได้แต่แอบครางว่าเมื่อไหร่หนอ เด็กน้อยจอมบ้าดีเดือดจะโตเสียที ฉันจะได้นอนพักผ่อนบนแคร่ไม้ไผ่ใต้เงาไม้ใหญ่อย่างไม่ทุรนทุรายอยากเดินทางอีกต่อไป
มนุษย์จำพวกไม่รู้จักหยุดนิ่ง ไม่รู้ประกอบขึ้นด้วยธาตุชนิดไหนจึงได้สั่นไหวทุกครั้งที่มีคนเล่าเรื่องการเดินทาง การผจญภัย แต่การมาป่าหนนี้ ไม่ได้เกิดจากปากคำของใคร ไม่มีใครที่เป็นคนรู้จักมาบอกว่าป่าที่นี่ดูดีที่สุด หรือป่าที่นี่มีความพิเศษสุดที่ควรจะได้เดินทางมา แต่ฉันก็ยังสร้างจินตนาการและดั้นด้นมา
ฉันหลงรักป่า รักมานาน รักมากกว่าทะเลหลายร้อยเท่า มีความสามารถในการซุ่มนั่งนิ่งๆ ในซุ้มไม้ทึมทึบได้เป็นวันๆ ตอนเป็นเด็กน้อยยังแอบมุดเข้าไปนอนหลับใต้กอไผ่ข้างบ้าน ที่มีหนามรกๆ เป็นชั่วโมง เพียงเพราะชอบฟังเสียงบ่นออดแอดของกอไผ่ และทุกวันนี้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมด ฉันแทบจะละลายกลายเป็นป่า เมื่อเดินเข้าไปในป่า
สี่ทุ่มตรง รถคันใหญ่ก็ตะบึงมาบนเส้นทางสายหลักที่วิ่งสู่เมืองหลวง ฉันเห็นภูเขาหินปูนลูกย่อมๆ แหว่งหายไปเป็นซีกๆ ตลอดรายทาง นั่นคือการทำปูนซีเมนต์อุตสาหกรรมหลักของเมือง กระทั่งเข้าสู่เขตอีโปห์ ภูเขาก็ยังแหว่งอยู่ แต่เปลี่ยนเป็นเหมืองดีบุก อย่างไรก็ตามนับว่ามาเลเซียมีความโชคดี เพราะมีปริมาณน้ำฝนมาก ต้นไม้ใกล้ๆภูเขาที่ถูกทลายลง มองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆวิ่งผ่านตาไปอย่างรวดเร็วนั้น หลายส่วนยังเป็นไม้ป่าธรรมชาติ
รถเมล์คันนี้ของมาเลเซียมีเบาะนั่งกว้างมาก แต่ด้วยตัวถังทำจากไม้แม้สภาพรถยังใหม่ แต่ด้วยเทคนิคการสร้างหรืออย่างไรไม่แจ้งชัด ตัวรถจึงครวญครางออดแอด เอี๊ยดอ๊าดไปตลอดทาง โดยเฉพาะยามที่รถตีโค้งอย่างชวนหวาดเสียว แต่ยังไงฉันก็ชอบรถเมล์ของมาเลเซีย ที่มีความสะอาดเกินมาตรฐาน ชอบตรงที่ไม่มีห้องน้ำห้องส้วมบนรถ เรื่องนี้ปิ๋นเป็นคนบอก ฉันจึงได้สังเกต อาจจะเป็นเพราะหลักศาสนาที่เน้นความสะอาด การแวะจอดใช้บริการห้องน้ำสาธารณะของรัฐบาล จึงมีเป็นระยะๆ หาง่าย ทุกที่จะมีอาหารทั้งหนักทั้งเบาท้องให้ซื้อหา และของอร่อยสำหรับฉันคงไม่พ้นไปจากกาแฟแบบโบราณบ้านเรา
ทุกๆจุดจอดรถ มีห้องละหมาด ที่สะอาดและสวยงามไว้ให้ประชาชนของเขาได้ปฏิบัติศาสนกิจตลอดทาง นี่คือความสำคัญ
ราวเที่ยงคืน รถมาจอดพักตรงที่ใดที่หนึ่งให้เราเข้าห้องน้ำ ฉันจึงเดินเตร่สำราจสถานที่ พร้อมหนีบถ้วยกาแฟร้อนๆราคาหนึ่งเหรียญ (ราวๆ เก้าบาทกว่าๆ) ไว้ในมือ สังเกตว่ามีอ่างล้างมือ มีสบู่ให้ใช้ล้างมือหลายที่
เมื่อเลือกที่นั่งที่มีหน้าตาแบบร้านกินด่วนบ้านเรา เพื่อซดกาแฟให้อร่อย เห็นเพื่อนร่วมทางที่ไม่น่าเกิน 20 คน ที่นั่งกระจายกันไป ส่วนใหญ่ผู้โดยสารเป็นผู้ชาย มีผู้หญิงอยู่บ้างก็ล้วนแต่มากับครอบครัว
หลังการดื่มกาแฟ ฉันกังวลเล็กน้อยกับสภาพร่างกายที่อาจต้องการห้องน้ำแบบไม่คาดคิดเมื่อรถกำลังแล่นอยู่ จึงถามหนุ่มน้อยที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันว่า รถคันนี้จะต้องจอดให้เข้าห้องน้ำอีกหรือเปล่า เขาพยักหน้าบอกว่า ยังจอดอีกหลายที่ อย่างนี้ค่อยโล่งใจ
อาจเป็นด้วยคำถามของฉัน แต่เพราะฉันไม่ได้ใช้ภาษาของเขามากกว่า เขาจึงเริ่มสัมภาษณ์ฉัน
"มาจากที่ไหนเหรอครับ"
"มาจากเมืองไทยค่ะ"
"แล้วคุณจะไปไหน"
"ไปทามัน นาการ่า"
"อ้อ บ้านผมอยู่กัวลา ทาหัน ผมกำลังจะกลับบ้าน" เขายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นอาการตื่นเต้นของฉัน เพราะฉันแค่รู้มาว่าเมืองกัวลา ทาหันนี้ เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติ (ทามัน) นาการ่า แต่ไม่รู้หรอกว่าจะเล็กจะใหญ่ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันไม่ได้ค้นหาข้อมูล ตั้งใจว่าจะเสี่ยงดวงไปเจอความจริงในวันพรุ่งนี้ เพื่อความตื่นเต้น (และก็เป็นจริงตามนั้น ฉันได้เต้นจริงๆ เต้นแบบอยากกลับบ้านฉับพลันโดยไม่ต้องค้างคืนในป่า เพราะความโมโหหิว โมโหเหนื่อยกับการหาที่พักของเมืองนั้น)
"คุณสองคนเป็นเพื่อนกัน หรือเป็นพี่น้อง" ฉันหัวเราะขำ หน้าตาของฉันกับปิ๋นไม่ได้ละม้ายคล้ายคลึงกันสักนิด เขายังหาข้อสงสัยมาถามได้ เมื่อฉันบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน เขาก็ถามต่อทันทีว่า
"คุณแต่งงานหรือยัง" โอ้ว.....ฉันอุทานแล้วหัวเราะลั่น
พินิจหนุ่มน้อยตรงหน้า เขายังอ่อนเยาว์ จนอาจนับว่าเป็นลูกชายของฉันก็ได้ แต่เขาก็ช่างกล้าหาญเหลือเกิน กล้าที่จะใช้คำถามตอบสนองความใคร่รู้ของตัวเอง ตามธรรมเนียมผู้ชายเอเชียได้อย่างฉับพลัน นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ที่ต้องขอบคุณผู้ชายไทย ที่เลิกให้ความสำคัญเรื่องทำนองนี้ไปแล้ว เมื่อพบเจอผู้หญิงคนเดียว หรืออาจไม่กี่คน ที่เดินทางไกลโดยไม่มีผู้ชายร่วมทาง
"ช่างเป็นคำถามที่ยอดเยี่ยมจริงๆ" ฉันพูดพลางหัวเราะไปพลาง เขาจะเข้าใจอารมณ์เถื่อนของฉันไหมนี่ ดีว่าเขาเป็นแค่หนุ่มน้อย ฉันจึงยินดีที่จะตอบ
"ยังไม่แต่งงาน และไม่คิดว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่จำเป็น" ตอบไปแบบนี้เพื่อดูปฏิกริยา เขานิ่งเงียบไป ฉันจึงเป็นฝ่ายรุกบ้าง
"แล้วคุณล่ะ คิดยังไงกับการแต่งงาน"
"ผมชอบการมีครอบครัว ผมชอบการแต่งงาน"
"คุณแต่งงานแล้วหรือ" เกมนี้เป็นทีของฉันบ้างล่ะ เขามีท่าขัดเขิน
"ยังครับ ผมยังเรียนอยู่"
เขาเรียนคณะวิทยาศาสตร์ทางทะเล ปีที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยเปอร์ลิส เหตุที่ต้องมาเรียนเสียไกล เพราะที่บ้านเกิดไม่มีทะเล เมืองของเขาเป็นเมืองภูเขา
"ถ้าเรียนจบผมจะแต่งงานทันที"
ฉันน่ะชื่นชมคนที่มุ่งมั่นกับความรักแบบนี้อยู่แล้ว
"แสดงว่ามีแฟนแล้ว" เขาหลบตาก้มหน้าจัดการกับจานข้าวที่ใช้มือเปิบของตน
"ครับ มีแล้ว" ฉันเห็นความน่ารักในบุคลิกของเขา ท่าทีอ่อนโยน หน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าเรียวยาว ผิวขาว ร่างบางๆ ไม่สูงมากนัก แบบนักศึกษาผู้คงแก่เรียน คงมีสาวหมายตาไม่น้อย
"เรียนที่เดียวกันเหรอ" เขาส่ายหน้า
"เธอเป็นผู้หญิงในหมู่บ้านเดียวกันกับผม เธอไม่ได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัย" คำตอบนี้ทำเอาฉันอึ้งไปอึดใจ
"แสดงว่าเธอต้องเป็นคนพิเศษมาก คุณจึงรักเธอขนาดนั้น"
"แน่นอน เธอนิสัยดี สวยด้วย"
"ขอให้คุณสมหวังในความรักนะคะ" เขาก้มหัวขอบคุณ ยิ้มเขินยังไม่จางไปจากใบหน้า
ฉันกำลังเดินทางไปในความมัวซัวของจินตนาการ ไม่รู้ว่าอุปสรรคเล็กใหญ่จะดักรออยู่ตรงไหน หลงคิดว่านี่คือความกล้าหาญ แต่ค่ำคืนนี้ บนรถโดยสารคันเดียวกัน ยังมีคนกล้าหาญยิ่งกว่า
เพราะเส้นทางของความรัก ต้องใช้ความกล้าหาญอันยิ่งยวด ซึ่งฉันไม่เคยมี