Skip to main content
คุณเคยเดินทางไปในทิศทางที่ไม่คุ้นเคยบ่อยไหม ขณะนั้นหัวใจของคุณเต้นเป็นจังหวะอะไร มันระทึกตื่นเต้นโครมครามปานช้างป่าตกมันหรือเปล่า หรือว่าเรียบเรื่อยราวห่านหงส์กระดิกปลายเท้าแผ่วใต้สายน้ำนิ่ง แล้วเคลื่อนร่างไปข้างหน้าอย่างละมุน แม้แต่ผิวน้ำก็แทบจะไม่กระจาย


ฉันกำลังอยู่ในอารมณ์สองอย่างนั้น คอยจัดความสัมพันธ์ของมันราวกับกำลังกำกับการแสดงละครของเด็กน้อยและคนชราให้เท่าทันท่วงทำนองกัน

 

ไม่สนุกหรอก ฉันเบื่อนิสัยนี้ของตัวเองจะตายไป แต่ฉันก็ยังตามใจมันอยู่ดี พออายุมากขึ้น ได้แต่แอบครางว่าเมื่อไหร่หนอ เด็กน้อยจอมบ้าดีเดือดจะโตเสียที ฉันจะได้นอนพักผ่อนบนแคร่ไม้ไผ่ใต้เงาไม้ใหญ่อย่างไม่ทุรนทุรายอยากเดินทางอีกต่อไป

 

มนุษย์จำพวกไม่รู้จักหยุดนิ่ง ไม่รู้ประกอบขึ้นด้วยธาตุชนิดไหนจึงได้สั่นไหวทุกครั้งที่มีคนเล่าเรื่องการเดินทาง การผจญภัย แต่การมาป่าหนนี้ ไม่ได้เกิดจากปากคำของใคร ไม่มีใครที่เป็นคนรู้จักมาบอกว่าป่าที่นี่ดูดีที่สุด หรือป่าที่นี่มีความพิเศษสุดที่ควรจะได้เดินทางมา แต่ฉันก็ยังสร้างจินตนาการและดั้นด้นมา

 

ฉันหลงรักป่า รักมานาน รักมากกว่าทะเลหลายร้อยเท่า มีความสามารถในการซุ่มนั่งนิ่งๆ ในซุ้มไม้ทึมทึบได้เป็นวันๆ ตอนเป็นเด็กน้อยยังแอบมุดเข้าไปนอนหลับใต้กอไผ่ข้างบ้าน ที่มีหนามรกๆ เป็นชั่วโมง เพียงเพราะชอบฟังเสียงบ่นออดแอดของกอไผ่ และทุกวันนี้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมด ฉันแทบจะละลายกลายเป็นป่า เมื่อเดินเข้าไปในป่า

 

สี่ทุ่มตรง รถคันใหญ่ก็ตะบึงมาบนเส้นทางสายหลักที่วิ่งสู่เมืองหลวง ฉันเห็นภูเขาหินปูนลูกย่อมๆ แหว่งหายไปเป็นซีกๆ ตลอดรายทาง นั่นคือการทำปูนซีเมนต์อุตสาหกรรมหลักของเมือง กระทั่งเข้าสู่เขตอีโปห์ ภูเขาก็ยังแหว่งอยู่ แต่เปลี่ยนเป็นเหมืองดีบุก อย่างไรก็ตามนับว่ามาเลเซียมีความโชคดี เพราะมีปริมาณน้ำฝนมาก ต้นไม้ใกล้ๆภูเขาที่ถูกทลายลง มองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆวิ่งผ่านตาไปอย่างรวดเร็วนั้น หลายส่วนยังเป็นไม้ป่าธรรมชาติ

 

รถเมล์คันนี้ของมาเลเซียมีเบาะนั่งกว้างมาก แต่ด้วยตัวถังทำจากไม้แม้สภาพรถยังใหม่ แต่ด้วยเทคนิคการสร้างหรืออย่างไรไม่แจ้งชัด ตัวรถจึงครวญครางออดแอด เอี๊ยดอ๊าดไปตลอดทาง โดยเฉพาะยามที่รถตีโค้งอย่างชวนหวาดเสียว แต่ยังไงฉันก็ชอบรถเมล์ของมาเลเซีย ที่มีความสะอาดเกินมาตรฐาน ชอบตรงที่ไม่มีห้องน้ำห้องส้วมบนรถ เรื่องนี้ปิ๋นเป็นคนบอก ฉันจึงได้สังเกต อาจจะเป็นเพราะหลักศาสนาที่เน้นความสะอาด การแวะจอดใช้บริการห้องน้ำสาธารณะของรัฐบาล จึงมีเป็นระยะๆ หาง่าย ทุกที่จะมีอาหารทั้งหนักทั้งเบาท้องให้ซื้อหา และของอร่อยสำหรับฉันคงไม่พ้นไปจากกาแฟแบบโบราณบ้านเรา

 

ทุกๆจุดจอดรถ มีห้องละหมาด ที่สะอาดและสวยงามไว้ให้ประชาชนของเขาได้ปฏิบัติศาสนกิจตลอดทาง นี่คือความสำคัญ

 

ราวเที่ยงคืน รถมาจอดพักตรงที่ใดที่หนึ่งให้เราเข้าห้องน้ำ ฉันจึงเดินเตร่สำราจสถานที่ พร้อมหนีบถ้วยกาแฟร้อนๆราคาหนึ่งเหรียญ (ราวๆ เก้าบาทกว่าๆ) ไว้ในมือ สังเกตว่ามีอ่างล้างมือ มีสบู่ให้ใช้ล้างมือหลายที่

 

เมื่อเลือกที่นั่งที่มีหน้าตาแบบร้านกินด่วนบ้านเรา เพื่อซดกาแฟให้อร่อย เห็นเพื่อนร่วมทางที่ไม่น่าเกิน 20 คน ที่นั่งกระจายกันไป ส่วนใหญ่ผู้โดยสารเป็นผู้ชาย มีผู้หญิงอยู่บ้างก็ล้วนแต่มากับครอบครัว

 

หลังการดื่มกาแฟ ฉันกังวลเล็กน้อยกับสภาพร่างกายที่อาจต้องการห้องน้ำแบบไม่คาดคิดเมื่อรถกำลังแล่นอยู่ จึงถามหนุ่มน้อยที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันว่า รถคันนี้จะต้องจอดให้เข้าห้องน้ำอีกหรือเปล่า เขาพยักหน้าบอกว่า ยังจอดอีกหลายที่ อย่างนี้ค่อยโล่งใจ


อาจเป็นด้วยคำถามของฉัน แต่เพราะฉันไม่ได้ใช้ภาษาของเขามากกว่า เขาจึงเริ่มสัมภาษณ์ฉัน

"มาจากที่ไหนเหรอครับ"

"มาจากเมืองไทยค่ะ"

"แล้วคุณจะไปไหน"

"ไปทามัน นาการ่า"

"อ้อ บ้านผมอยู่กัวลา ทาหัน ผมกำลังจะกลับบ้าน" เขายิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นอาการตื่นเต้นของฉัน เพราะฉันแค่รู้มาว่าเมืองกัวลา ทาหันนี้ เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติ (ทามัน) นาการ่า แต่ไม่รู้หรอกว่าจะเล็กจะใหญ่ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันไม่ได้ค้นหาข้อมูล ตั้งใจว่าจะเสี่ยงดวงไปเจอความจริงในวันพรุ่งนี้ เพื่อความตื่นเต้น (และก็เป็นจริงตามนั้น ฉันได้เต้นจริงๆ เต้นแบบอยากกลับบ้านฉับพลันโดยไม่ต้องค้างคืนในป่า เพราะความโมโหหิว โมโหเหนื่อยกับการหาที่พักของเมืองนั้น)


"คุณสองคนเป็นเพื่อนกัน หรือเป็นพี่น้อง" ฉันหัวเราะขำ หน้าตาของฉันกับปิ๋นไม่ได้ละม้ายคล้ายคลึงกันสักนิด เขายังหาข้อสงสัยมาถามได้ เมื่อฉันบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน เขาก็ถามต่อทันทีว่า

"คุณแต่งงานหรือยัง" โอ้ว.....ฉันอุทานแล้วหัวเราะลั่น

พินิจหนุ่มน้อยตรงหน้า เขายังอ่อนเยาว์ จนอาจนับว่าเป็นลูกชายของฉันก็ได้ แต่เขาก็ช่างกล้าหาญเหลือเกิน กล้าที่จะใช้คำถามตอบสนองความใคร่รู้ของตัวเอง ตามธรรมเนียมผู้ชายเอเชียได้อย่างฉับพลัน นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ที่ต้องขอบคุณผู้ชายไทย ที่เลิกให้ความสำคัญเรื่องทำนองนี้ไปแล้ว เมื่อพบเจอผู้หญิงคนเดียว หรืออาจไม่กี่คน ที่เดินทางไกลโดยไม่มีผู้ชายร่วมทาง

"ช่างเป็นคำถามที่ยอดเยี่ยมจริงๆ" ฉันพูดพลางหัวเราะไปพลาง เขาจะเข้าใจอารมณ์เถื่อนของฉันไหมนี่ ดีว่าเขาเป็นแค่หนุ่มน้อย ฉันจึงยินดีที่จะตอบ

"ยังไม่แต่งงาน และไม่คิดว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่จำเป็น" ตอบไปแบบนี้เพื่อดูปฏิกริยา เขานิ่งเงียบไป ฉันจึงเป็นฝ่ายรุกบ้าง

"แล้วคุณล่ะ คิดยังไงกับการแต่งงาน"

"ผมชอบการมีครอบครัว ผมชอบการแต่งงาน"

"คุณแต่งงานแล้วหรือ" เกมนี้เป็นทีของฉันบ้างล่ะ เขามีท่าขัดเขิน

"ยังครับ ผมยังเรียนอยู่"


เขาเรียนคณะวิทยาศาสตร์ทางทะเล ปีที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยเปอร์ลิส เหตุที่ต้องมาเรียนเสียไกล เพราะที่บ้านเกิดไม่มีทะเล เมืองของเขาเป็นเมืองภูเขา

"ถ้าเรียนจบผมจะแต่งงานทันที"

ฉันน่ะชื่นชมคนที่มุ่งมั่นกับความรักแบบนี้อยู่แล้ว

"แสดงว่ามีแฟนแล้ว" เขาหลบตาก้มหน้าจัดการกับจานข้าวที่ใช้มือเปิบของตน

"ครับ มีแล้ว" ฉันเห็นความน่ารักในบุคลิกของเขา ท่าทีอ่อนโยน หน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าเรียวยาว ผิวขาว ร่างบางๆ ไม่สูงมากนัก แบบนักศึกษาผู้คงแก่เรียน คงมีสาวหมายตาไม่น้อย

"เรียนที่เดียวกันเหรอ" เขาส่ายหน้า

"เธอเป็นผู้หญิงในหมู่บ้านเดียวกันกับผม เธอไม่ได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัย" คำตอบนี้ทำเอาฉันอึ้งไปอึดใจ

"แสดงว่าเธอต้องเป็นคนพิเศษมาก คุณจึงรักเธอขนาดนั้น"

"แน่นอน เธอนิสัยดี สวยด้วย"

"ขอให้คุณสมหวังในความรักนะคะ" เขาก้มหัวขอบคุณ ยิ้มเขินยังไม่จางไปจากใบหน้า

 

ฉันกำลังเดินทางไปในความมัวซัวของจินตนาการ ไม่รู้ว่าอุปสรรคเล็กใหญ่จะดักรออยู่ตรงไหน หลงคิดว่านี่คือความกล้าหาญ แต่ค่ำคืนนี้ บนรถโดยสารคันเดียวกัน ยังมีคนกล้าหาญยิ่งกว่า

 

เพราะเส้นทางของความรัก ต้องใช้ความกล้าหาญอันยิ่งยวด ซึ่งฉันไม่เคยมี

 

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ฉันสังเกตดูรอบๆ บ้านหลังน้อยของลุงลี แทบไม่มีพืชผักที่พอจะเก็บกินได้ สงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมไม่ปลูก ในเมื่อแกเป็นคนเก่าแก่และเป็นคนเดียวที่อยู่ในป่านี้มานานถึง 20 กว่าปี ตอนที่ฉันได้หน่อกล้วยหอมพันธุ์ดีมาจากหนองคาย แกก็ยังอุตส่าห์เอาปุ๋ยขี้ควายมาให้ตั้งสามกระสอบ แถมยังสอนวิธีปลูกให้อีกด้วย เมื่อเห็นฉันลงมือขุดหลุมห่างๆ เพราะคิดว่าในอนาคตมันต้องแตกหน่อมาชนกันเอง แกกลับบอกว่าให้ชิดๆกันหน่อยจะดีกว่า เป็นแรงดึงดูดให้กล้วยโตเร็วขึ้น ฉันก็เอาตามนั้น ก้นหลุมกว้างลึกรองด้วยปุ๋ยมูลสัตว์สลับหญ้าแห้ง ดูเป็นวิชาการมากๆ ตามคำแนะนำของแกถามแกว่าจะเอาไปปลูกเองสักต้นไหม…
เงาศิลป์
ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเองหมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่…
เงาศิลป์
สวัสดีค่ะ ขาดหายไปนานสำหรับเรื่องของชะตากรรมคนขาหัก ขอสารภาพว่าที่ทิ้งช่วงห่างหายไปนานขนาดนี้ เพราะว่าขาดความเชื่อมั่นที่จะเขียน (อย่างรุนแรง) เนื่องจากรู้สึกว่าท่านผู้อ่านประชาไท ค่อนข้างมีภูมิปัญญาสูง แต่คนเขียนปัญญาต่ำ ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี ในท่ามกลางสภาพปัญหาการดิ้นรนรักษาตนเองและบางครั้งได้รับการดูแลอย่างไม่คาดคิด ค่ะ...ตอนนี้ขอสรุปรวบรัดเล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นในที่สุด.....หลายครั้งที่ได้พบและเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจากผู้รู้ แต่ครั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงที่สุดก็คือ การฝังเข็มจากพี่อ้อย (กัลยา ใหญ่ประสาน) รุ่นพี่ที่เคารพรัก เจ้าของร้านอาหารสุขภาพโขง-สาละวิน…
เงาศิลป์
วันเวลาที่ผ่านไป ฉันค่อยๆ คลายความกังวล แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดจะมาอยู่เป็นเพื่อนเกือบตลอดเวลา แต่วิชาเกลือจิ้มเกลือ เจ็บแก้เจ็บ ยังใช้ได้เสมอ (โปรดใช้วิจารณญาณในการนำไปทดลอง)และแล้วเหมือนกรรมบันดาล (อีกแล้ว) วันหนึ่ง ฉันได้เรียนรู้ว่า คนเราได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเพียงแค่ 60 – 70 % เท่านั้น ส่วนที่เหลือยังไม่เคยรู้จักมัน และปล่อยให้มายาคติบางอย่างครอบงำ โดยเฉพาะคำว่า “อย่าทำ” .... “ไม่ควรทำ”.....หรือ “ไม่เหมาะสมที่จะทำ” และอะไรอีกหลายความคิดที่ปิดกั้นโอกาสของตัวเองกลางเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง ฉันเร่ร่อนลงเรือไปที่หาดไร่เล ตอนนั้นแทบว่าไม่มีคนไทยรู้จักหาดไร่เล นอกจากฮิปปี้และนักปีนผา (…
เงาศิลป์
การขึ้นภูกระดึงอย่างไร้ความพร้อม กลับทำให้ฉันได้สิ่งดีๆมากมายคุณนิมิตร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้เขียนจดหมายน้อยอย่างไม่เป็นทางการ ให้ฉันถือไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่บนภู ที่เป็นเพื่อนกัน ในจดหมายเขียนว่า “ช่วยดูแลคนที่ถือจดหมายฉบับนี้ด้วย ตามสมควร” ที่อาคารลงทะเบียนบนภู ฉันยื่นจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ คะเนจากหน้าตา เขาคนนั้นคงมีอายุพอๆกับฉัน เมื่ออ่านจบเขามองหน้าฉันอย่างเฉยเมย บอกว่าบ้านพักเต็มหมดแล้ว เหลือแต่เต๊นท์  ฉันบอกว่าฉันตั้งใจจะพักเต๊นท์อยู่แล้ว“มากันกี่คน” น้ำเสียงห้วนๆ  ไม่รู้ทำไม“คุณเห็นกี่คนล่ะคะ คุณเห็นแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะค่ะ” ฉันตอบกึ่งยียวน…
เงาศิลป์
เช้าวันนี้….ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนพื้น ดูสวยงาม แต่ไม่นานมันจะถูกเรียกว่า “ขยะ” ด้วยเรียวไม้กวาดก้านมะพร้าว ค่อยๆลากให้มันมากองรวมกัน ทีละนิดรอยทรายเป็นเส้นลดเลี้ยวตามแนวกวาด ลีลาคล้ายบทกวีร้อยบท ที่มีเนื้อหาเดียว คือความสงบทุกเช้า ฉันจะอยู่กับมัน ทั้งไม้กวาด พื้นทรายและใบไม้ร่วงสายตาจับอยู่ที่พื้น..แต่ด้วยหางตา เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนถนนหน้าบ้าน  จากที่ยืนอยู่ ระยะทางราวร้อยก้าว เงาร่างเดินโยกเยก บดบังด้วยแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ จึงมุ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างช้าๆจึงเดินออกไปดูร่างล่ำสันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างลำบาก เขาใช้ไม้ยาวๆ ค้ำถ่อ ประคองร่างกายให้ขาตวัดสลับกันไป …
เงาศิลป์
“ฉันจะต้องไม่พิการ”ฉันคำรามหนักแน่นอยู่ในใจ ในคืนวันหนึ่ง เมื่อนอนอยู่ในท่าทีเอาขาขวาพาดไว้บนกำแพง เพื่อดัดขาไล่ความเมื่อยล้า จากงานหนักจากวันนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้เข่าของฉันเจ็บน้อยลง ฉันจะทำทันที เริ่มจากการค้นหาวิธีแก้ไข ควบคู่ไปกับการยอมรับความเจ็บปวดของขาข้างขวาว่าเป็นคู่แท้ของชีวิตปีแรก ฉันเดินกะเผลกแบบคนขาเป๋ เพราะขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย และยังไม่มีพละกำลัง เวลาเดินจึงเห็นว่าตัวเอียงมาก เป็นที่เวทนาตัวเองยามคนจ้องมอง ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกคนพิการมากขึ้นแต่แล้ววันหนึ่ง เหมือนพระมาโปรด ฉันกลับมากรุงเทพฯ แล้วไปเยี่ยมเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัย ขณะนั่งอยู่ริมสนามฟุตบอล มองคนอื่นๆเล่นกิฬา อย่างเสียดาย…