ฉันสังเกตดูรอบๆ บ้านหลังน้อยของลุงลี แทบไม่มีพืชผักที่พอจะเก็บกินได้ สงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมไม่ปลูก ในเมื่อแกเป็นคนเก่าแก่และเป็นคนเดียวที่อยู่ในป่านี้มานานถึง 20 กว่าปี
ตอนที่ฉันได้หน่อกล้วยหอมพันธุ์ดีมาจากหนองคาย แกก็ยังอุตส่าห์เอาปุ๋ยขี้ควายมาให้ตั้งสามกระสอบ แถมยังสอนวิธีปลูกให้อีกด้วย เมื่อเห็นฉันลงมือขุดหลุมห่างๆ เพราะคิดว่าในอนาคตมันต้องแตกหน่อมาชนกันเอง แกกลับบอกว่าให้ชิดๆกันหน่อยจะดีกว่า เป็นแรงดึงดูดให้กล้วยโตเร็วขึ้น ฉันก็เอาตามนั้น ก้นหลุมกว้างลึกรองด้วยปุ๋ยมูลสัตว์สลับหญ้าแห้ง ดูเป็นวิชาการมากๆ ตามคำแนะนำของแก
ถามแกว่าจะเอาไปปลูกเองสักต้นไหม แกบอกว่าให้มันแตกหน่อจากกอที่นี่ก่อนแล้วค่อยเอาไปปลูก ซึ่งอีกนานเลยล่ะลุง แกยืนยันตามนั้น และยังให้กำลังใจอีกว่าปลูกกล้วยรอบๆบ้านนี่แหละดีแล้ว โตเร็วชื่นใจดี จริงของแก ทุกวันนี้ฉันรู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นกล้วยแทงยอดใบอ่อนๆให้ชม
แต่ที่ชื่นใจกว่านั้น คือถั่วฝักยาว ชนิดที่เรียกว่า “ถั่วปี” เป็นถั่วที่แม่มาหว่านไว้ตามพื้นตั้งแต่ฤดูฝนที่แล้ว ได้งอกงามเลื้อยเถาว์ยาวเหยียด ออกฝักดกดื่นให้เก็บกิน จนได้แบ่งปันไปถึงบ้านลุงลี
โครงการแลกเปลี่ยนอาหารของเราพัฒนาไปไกลมากขึ้น ป้าแดงเมียลุงลีถามว่ากินข้าวเหนียวเป็นไหม แน่นอนอยู่แล้วของชอบ ฉันว่า
“งั้นจะแบ่งให้นะ รอเดี๋ยว” แกทำท่าจะกลับเข้าไปในกระท่อม ฉันต้องบอกว่า กินเป็น แต่นึ่งเองไม่เป็น
ป้าแดงหันมาอธิบายวิธีนึ่งข้าวเหนียว ซึ่งฉันพอจะรู้ แต่ที่บอกไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากรบกวน รู้ว่าข้าว ปลา อาหารทั้งหลายเป็นสิ่งที่ครอบครัวนี้ต้องใช้อย่างประหยัด
อีกวันหนึ่ง ป้าจัน เมียลุงสำรอง เดินเล่นๆมาที่กระท่อมของฉัน จึงหยิบมะขามหวานที่ได้มาจากไร่ของเพื่อนที่เมืองเลย แบ่งให้แกเพื่อเอาไปฝากลุงสำรองให้ชิมด้วย เนื่องด้วยครั้งที่ฉันยังไม่ได้สร้างที่พักเป็นเรื่องเป็นราว ได้แวะไปพักอาศัยเถียงนาของแกหลบแดดหลบฝน นับว่าเป็นคนมีบุญคุณต่อกันอยู่
“แล้วจะเอาข้าวใหม่มาให้เน้อ” เมียลุงสำรองว่าอย่างนั้น ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป ฉันบอกว่าไม่ต้องหรอก อีกไม่กี่วันก็ออกไปข้างนอกแล้วล่ะ
อีกราย เมื่อวันก่อนโน้น ที่ตลาดในตัวอำเภอ เมียเถ้าแก่ใหญ่ร้านขายเครื่องมือการเกษตร คุ้นเคยกันพอประมาณ คะยั้นคะยอให้แบกข้าวสารข้าวจ้าวกลับมาที่ไร่ เพราะที่บ้านเขาปลูกข้าวเพื่อขายกันเป็นอาชีพรอง ฉันปฏิเสธอีกนั่นแหละเพราะคิดว่าคงจะอยู่ในไร่ไม่นาน
แต่ในที่สุด ข้าวสารสองกระสอบก็มาถึงบ้านฉันจนได้ กระสอบหนึ่งเป็นข้าวจ้าว อีกกระสอบเป็นข้าวเหนียว โดยลุงลีเป็นผู้พามาให้ แกใส่รถอีแต๊ก ส่งเสียงแต๊กๆๆๆ เห็นมาแต่ไกลๆ เพราะกว่าจะเลี้ยวเข้ามาจากปากทางเข้าไร่ มาถึงที่บ้านก็หลายร้อยเมตร
ฉันชอบดูเวลาที่ลุงแกขับอีแต๊ก หรือใครๆก็ตามที่ห้ออีแต๊กแบบสุดฤทธิ์ ความเร็วพอๆกับสุนัขไล่กวดแย้ ฉันนึกถึงคนยิบซีที่ขับเกวียนกลางทุ่งกว้างอย่างที่เห็นในหนัง และในบริเวณนี้ มีแต่อีแต๊กที่สัญจรเป็นพาหนะหลัก ขาดก็แต่ม้าลากพา บางทีอาจไม่นาน โลกเราอาจต้องพึ่งพาแรงงานสัตว์อีกหน เพราะน้ำมันขาดแคลน...นอกเรื่องมาไกล
สรุปว่า ฉันมีข้าวใหม่กินหอมชื่นใจ แต่ไม่มีปลามันๆ เพราะว่าที่นี่ไม่มีแหล่งน้ำสำคัญ และที่มีอยู่คือฝายน้ำล้นขนาดเล็ก ที่ปีนี้มีกฏใหม่เพิ่มขึ้น คือห้ามจับสัตว์น้ำทุกชนิด
ฉันคิดเล่นๆ ตามประสาคนจิตอยู่ไม่สุขว่า เป็นเพราะเราต่างมีความลำบากกันอยู่หรือเปล่า จึงยังมีน้ำใจต่อกัน ถ้าพวกเราละแวกไร่นี้ มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายกว่านี้ ต่างคนต่างซื้อหาอะไรก็ได้ เราจะยังมีอะไรแบ่งปันกันหนอ เพราะการจะมีเงินได้ ต้องมาจากการขาย การขายและการซื้อ เป็นการแลกเปลี่ยนที่ลดทอนรสชาดิของความสุขไปเยอะเลย หรือบางครั้ง ไม่เหลือความสุขอีกเลย เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าตนเองถูกเอารัดเอาเปรียบ
แต่ถ้าต้องหาที่อยู่ที่ลำบากลำบน เพื่อค้นหาการแบ่งปัน ฉันว่าในโลกร้อนๆ ของทุกวันนี้ คงหายากเต็มทน เพราะไม่นานความสะดวกสบายทั้งหลายจะเข้าไปถึงอย่างแน่นอน เพราะคนเรามักจะคิดว่า มันคือคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
ฉันอาจจะมองสุดโต่ง เพราะบังเอิญได้มาอยู่ในที่ๆ ยังมีการแบ่งปันหลงเหลืออยู่อย่างไร้จริตจะก้านมารยาใดๆ
ทุกวันศุกร์ ฉันมักจะไปหาเสบียงมาเพิ่มเติมจากตลาดนัดในหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปราวๆ 4 กิโลเมตร
ศุกร์นี้ ฉันชะลอเจ้าสองล้อเพื่อนยาก หยุดพักที่เถียงนาลุงลี เพื่อแวะเอาปลาตะเพียนตัวเล็กๆ ที่แม่ค้าบอกว่าจับมาจากลำน้ำเซิน แบ่งให้ป้าแดงไว้แกงกิน
อย่างน้อยข้าวใหม่กับปลา (ที่น่าจะ) มัน ก็ได้เจอกันแล้ว นะป้านะ