ลูกรักของแม่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้เรารู้จักคำว่าสูญเสียได้อย่างลึกซึ้ง แม้แต่แม่เองก็ยังต้องครุ่นคิดย้อนหลังไปว่า ถ้าสามารถย้อนเวลาไปแก้ไขหรือป้องกันการจากพรากที่แสนจะรันทดนี้ได้ ในตอนไหนได้บ้าง แม่ก็จะทำ
ถ้าแม่รู้ว่าลูกจะอยู่กับเราไม่นาน แม่จะไม่ส่งลูกไปอยู่กับคนอื่น แม้คนนั้นจะเป็นปู่กับย่าก็ตาม
ถ้าแม่รู้ว่าลูกป่วยหนักและมีเวลาเหลืออีกไม่นานนัก แม่จะไม่เชื่อหมอที่วินิจฉัยในครั้งแรก ถ้ารักษาลูกได้ด้วยวิธีใดๆ เพื่อให้ลูกหายขาด แม่ก็จะทำ
แต่ก็นั่นล่ะ พูดไปเมื่อสายเสียแล้ว จะมีประโยชน์อะไร ที่จะรำพัน ดังนั้น สิ่งที่พอจะทำได้ คือ แม่อยากบอกกับคนที่เป็นพ่อแม่ทุกคนว่า อย่ามอบความรับผิดชอบเรื่องสุขภาพของลูกให้กับคนอื่นทั้งหมด พ่อแม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะเมื่อเกิดความผิดพลาด ความเสียใจจะเกิดขึ้นน้อยกว่า
\\/--break--\>
และเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนในครอบครัว คือ เรื่องภาวะกดดัน เรื่องความเครียดที่จะเกิดขึ้นกับทุกๆคน ในสถานการณ์ที่ต้องดูแลคนป่วย เราแทบจะป่วยตามไปด้วย เพราะเวลาพักผ่อนมีน้อยลง สำหรับพ่อแม่ นับว่าโชคดีแล้ว ที่หน้าที่การงานไม่บีบรัดจนต้องเป็นกังวล และเราสามารถจัดเวลาในการดูแลลูกได้มากกว่าสิ่งใด แต่ไม่ได้หมายความเราจะไม่เครียด บางครั้งที่ลูกเขียนว่าทำไมพ่อกับแม่ไม่คุยกัน โกรธกันเรื่องอะไร แม่ลืมเรื่องที่โกรธนั้นไปแล้วล่ะลูก แต่ยอมรับว่ามีอารมณ์กระทบกันบ้าง เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างรู้จักที่จะถอยออกมาอยู่เงียบๆ ในมุมของตัวเอง บางครั้งแม่ก็ถือโอกาสหลบมาอ่านหนังสือ ซึ่งลูกก็รู้ เพราะแม่เห็นในบันทึกหลายตอนที่ลูกเขียนว่า แม่คงแอบไปอ่านหนังสือสอบ
ในที่สุด ปีนี้ แม่ก็เรียนจบปริญญาตรีแล้ว เหมือนเป็นรางวัลแห่งความฝันที่ลูกเฝ้าฝันแทนแม่ เสียดายที่ลูกไม่ได้อยู่ร่วมดีใจด้วย แต่ลูกคงรับรู้ได้
น่าแปลก มาถึงวันนี้ แม่คิดว่าเราจะเป็นอะไรก็ได้ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าการเป็นอะไรนั้น คือ การเป็นคนที่มีความทุกข์ให้น้อยที่สุด หรือ ไม่มีความทุกข์เลยยิ่งดี
เกือบทุกวันพระ หรือเมื่อมีโอกาส พ่อกับแม่จะมากราบหลวงพ่อ มาทำบุญตักบาตร แล้วค้างคืนปฎิบัติธรรมที่วัด เพื่อส่งแรงบุญแรงกุศลไปถึงลูก
แม่อยากบอกลูกอีกครั้งว่า ลูกคือดวงใจของแม่
แต่ที่เหนือกว่านั้น ลูกยังเป็นดวงธรรม ที่ส่องสว่างอยู่ในใจของแม่ตลอดเวลา
(จบเรื่อง แม่ชีป่าน จิตอัศจรรย์)