สวัสดีค่ะ ขาดหายไปนานสำหรับเรื่องของชะตากรรมคนขาหัก ขอสารภาพว่าที่ทิ้งช่วงห่างหายไปนานขนาดนี้ เพราะว่าขาดความเชื่อมั่นที่จะเขียน (อย่างรุนแรง) เนื่องจากรู้สึกว่าท่านผู้อ่านประชาไท ค่อนข้างมีภูมิปัญญาสูง แต่คนเขียนปัญญาต่ำ ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี ในท่ามกลางสภาพปัญหาการดิ้นรนรักษาตนเองและบางครั้งได้รับการดูแลอย่างไม่คาดคิด
ค่ะ...ตอนนี้ขอสรุปรวบรัดเล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นในที่สุด
.....
หลายครั้งที่ได้พบและเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจากผู้รู้ แต่ครั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงที่สุดก็คือ การฝังเข็มจากพี่อ้อย (กัลยา ใหญ่ประสาน) รุ่นพี่ที่เคารพรัก เจ้าของร้านอาหารสุขภาพโขง-สาละวิน เมืองลำพูน
ปีนั้น ฉันย้ายไปอยู่เมืองปาย และวนเวียนเดินทางอยู่แถวๆ ภาคเหนือ จึงได้แวะเยี่ยมและค้างแรมที่บ้านอันร่มรื่นย์น่าอยู่ของพี่อ้อย เมื่อฉันบ่นว่าเจ็บขา พี่อ้อยคงสงสารจึงฝังเข็มให้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นเข็มเล็กๆ จิ้มลงไปในร่างกาย โดยเฉพาะส่วนที่เป็นขาข้างหัก ช่วงที่พี่อ้อยหมุนเข็มกระตุ้น ฉันรู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าวิ่งปรู๊ดปร๊าดไปทั่วร่าง วิ่งขึ้นไปที่สมองแล้วลงมาที่เท้า หมุนวนอยู่อย่างนั้น ความสุขลึกๆ ซ่านไปทั้งกายทั้งใจ
ตอนนั้นคิดว่า คนที่เสพยาเสพติดแล้วติดสุขมันเป็นแบบนี้นี่เอง สุขแบบพร่าๆ เบลอๆ มารู้ทีหลังว่าเป็นความเข้าใจผิด คิดไปเอง ทั้งเรื่องการฝังเข็มและเสพยา เพราะการฝังเข็มครั้งต่อๆ มา ฉันไม่มีอาการสุขล้ำลึกแบบนั้นอีกเลย
ครั้งนั้น..อาจเป็นไปได้ว่า พี่อ้อยจิ้มเข้าไปที่จุดแห่งความสุข (มั้ง) เพราะปีต่อๆ มา หมอฝังเข็มคนอื่น ที่แทงเข็มรักษาขาให้ ช่วยให้เส้นที่อยู่ผิดที่ผิดทางกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้น ความปวดล้าลดน้อยลง น้อยลงจนกระทั่งทุกวันนี้แทบไม่มีอาการนั้นเลย แต่ไม่มีครั้งไหนที่ความสุขวิ่งซ่านไปทั่วร่างอีก
เรื่องการฝังเข็ม ฉันได้ฝังกับหมอที่เรียนมาจากป่าทั้งนั้น เพราะว่าเคยไปปรึกษาหมอฝังเข็มในโรงพยาบาล บางที่คุณหมอวิเคราะห์อาการของฉันแล้ว บอกว่าฉันต้องฝังหลายครั้งติดต่อกัน ซึ่งฉันไม่สามารถจะอยู่รับการรักษายาวนานได้ (ทั้งที่กรุงเทพฯและเชียงใหม่) จึงเลิกราไม่พยายามรักษาตัวเองในโรงพยาบาล แต่จะใช้วิธีรักษาตามรายสะดวกของฉันเอง นานๆ จะได้เจอหมอ หมอทั้งหลายก็แสนจะนอกระบบ โชคดีที่ฉันได้เจอหมอเหล่านี้ และฉันขอยืนยันว่า ขาข้างหักของฉันยังทำงานอยู่ได้เพราะการรักษาด้วยการฝังเข็ม เท่าๆ กับการนวด
ครั้งสุดท้าย ที่เกิดเรื่องเกี่ยวกับขา จนฉันคิดว่า วาระสุดท้ายแห่งการเดินได้คงมาถึงแล้ว มันคือปีที่แล้วนี่เอง
ปีที่แล้ว เป็นปีที่ฉันนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์นานที่สุด นั่งโต๊ะทุกวัน วันละหลายชั่วโมง ติดต่อกันราวๆ 6 เดือน
ในเดือนที่สามของการทำงาน ทุกครั้งที่ลุกขึ้นยืน ขาข้างหักจะไร้เรี่ยวแรง และรู้สึกไร้น้ำหนักจนไม่สามารถจะก้าวเดินได้ ทั้งในข้อเข่าก็เจ็บจี๊ด กระดูกข้อต่อติดขัดเสียงดังกึกกัก ฉันคิดในใจว่า หรือว่าวันที่หมอคนนั้นพิพากษาไว้มาถึงแล้วจริงๆ เพราะเกิดอาการถี่ๆ และทุกวัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ฉันเคยเข้าใจว่าการรักษาน่าจะได้ผลดี และน่าจะไม่ต้องเป็นคนขาพิการในบั้นปลาย
แต่ครั้งที่ร้ายแรงได้เกิดขึ้น เมื่อลุกขึ้นยืนจะเดินออกมาจากโต๊ะทำงาน ก้าวเท้าจะเดินต่อ เจ็บจี๊ดที่เข่าจนทรุดซวนเซ ฉันตกใจหยุดยืนนิ่งอึ้ง ถามตัวเองว่าถ้าฉันก้าวเดินแล้วเจ็บมากกว่านี้ล่ะ (เจ็บแบบนี้ เคยเป็นในสมัยที่ขาหักใหม่ๆ เท่านั้น) แต่ถ้าฉันไม่เดิน ถ้าฉันมัวแต่โอดโอยกลัวเจ็บ แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร ถ้าฉันกลัว ฉันยิ่งจะเจ็บ นั่นคือข้อสรุปที่ฉันบอกกับตัวเอง ค่อยๆ ตั้งสติ ยืนตัวตรง อาการเจ็บหายไปแล้ว ที่เหลือคือการตัดสินใจว่าจะนั่งลงหรือเดินต่อ ในขณะนั้น..ฉันคิดถึงอาการทุกขเวทนาทางกายที่เกิดเมื่อครั้งวิปัสสนา และฉันเห็นการเกิดดับที่เป็นปกติธรรมดาของมัน และเห็นจิตที่ติดข้องขลาดกลัว พยายามเข้าไปบังคับบัญชาให้มันเป็นไปตามที่อยากให้เป็น คือไม่เจ็บไม่ปวด
นาทีที่ฉันตัดสินใจว่า ตายเป็นตายในสมาธิ ก็เคยผ่านมาแล้ว ฉะนั้นการเจ็บเข่าหนนี้ แม้จะไม่ได้อยู่ในสภาวะสมาธิ แต่ฉันรู้ว่าทุกอย่างล้วนเกิดจากการปรุงแต่งและยึดติด ทั้งความเจ็บปวดและความไม่ต้องการให้เจ็บปวด
นาทีนั้น ฉันตัดสินใจอีกหน เจ็บเป็นเจ็บ หักเป็นหัก ให้มันรู้กันไป ถ้ามันจะทำให้ฉันเดินไม่ได้อีกแล้วก็ให้รู้กันไปเลย ในวินาทีที่เหยียดขาออกหากมันจะเจ็บหรือหัก หรือจะล้มลงก็ให้รู้กันไป จริงๆ หากไม่ใช่มันจะต้องผ่านพ้นไปเหมือนที่เคยผ่านบางสภาวะในสมาธิ
“ให้มันตายไปเลย” ฉันคำรามในใจ แล้วจึงสะบัดขาก้าวเดินอย่างแรงและเร็ว... ก้าวที่สอง ที่สาม และก้าวต่อๆ มาก็เป็นก้าวปกติ ที่ไม่เหลือเค้าของความเจ็บปวดอีกเลย
(นี่แหละค่ะ คือความลังเลที่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร แต่บอกได้เพียงว่า บางอย่างอาจเกิดขึ้นเพราะชะตากรรม แต่การพลิกผันก็อาจทำได้ ถ้าเรารู้ว่าเบื้องหลังของมันคืออะไร)
วันนี้ ฉันเชื่อมั่นว่าขาข้างหักของฉันกลับมาทำงานได้อย่างปกติ โดยไม่ต้องฝืนทน ไม่ต้องพยายามก้าวเดิน เพราะพละกำลังที่เต็มเปี่ยมของมันได้กลับคืนมาแล้ว
คุณอาจคิดว่า เป็นเพราะฉันคิดไปเอง แบบใช้หลักจิตวิทยารักษาตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรเหมือนกัน
แต่อยากบอกกับคนที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่างที่ทรมานตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า “ชะตากรรมพลิกผันได้ ด้วยตัวของคุณเอง”
ทุกวันนี้ ฉันกลับมาทำงานหนักในสวน (หนักจริงๆ ยืนยัน) และยังแบกเป้เดินทางไกลใบโตๆ ได้เท่าเก่า ขับรถได้ไกลๆ โดยไม่ปวดขาตอนกลางคืน ยังเหลือแต่การกลับไปเดินทางไกลรอบหิมาลัยอีกหน เพื่อพิสูจน์ว่า ฉันคือคนปกติจริงๆ ยิ่งกว่าครั้งนั้น ที่เคยลากขาข้างพิการปีนป่ายรอบอันนาปุระนะ แหงนดูยอดเขามัจฉาปูฉะเรอยู่ เกือบสิบวัน ทั้งที่ต้องทรมานกายเพื่อความสบายใจ เพราะคิดว่าไหนๆ ก็จะเดินไม่ได้แล้ว ขอเดินเท้าบนเส้นทางศักดิ์สิทธิ์เสียให้คุ้ม
นั่นคือการเดินทางเท้าที่ไกลที่สุดเมื่อราวๆ 8 ปีก่อน คาดไม่ถึงว่าวันนี้ ฉันจะยังเดินได้อย่างปกติ
กว่า 20 ปี....จากความสิ้นหวังท้อแท้ กลายมาเป็นพลัง ให้ดิ้นรนหาทางออก จนฉันพบว่า
“เสี้ยววินาทีที่โชคร้าย อาจกลายเป็นเสี้ยววินาทีที่โชคดีได้ หากเรียนรู้ที่จะเป็น”
ก้าวเดินที่เหลืออยู่ ฉันจึงรำลึกเสมอว่า มันคือกำไรชีวิต ที่ต้องใช้ให้คุ้มค่า