Skip to main content
 


ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย

 

"ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"

เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ

และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ

"ไม่ได้"

"ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"

ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่ แต่แล้วก็ต้องกลับไปปีนบันไดแห่งความมั่นคงของชีวิตด้วยการเป็นมนุษย์เงินเดือนเช่นเดิม

"อาชีพเกษตรกรนี่เสี่ยงยิ่งกว่าคนซื้อหวยอีกนะพี่"

เพื่อนผู้ชายรุ่นน้อง ผู้มีอาชีพเป็นนักวิชาการที่ทำงานกับเกษตรกรมานาน เปรียบเปรยอย่างนี้เมื่อฉันบอกว่า มันสำปะหลังประมาณสิบไร่ของฉันถูกน้ำท่วมหัวเน่าหมดแล้ว นั่นคือความจริงที่ฉันได้ฝังเงินจำนวนไม่น้อยลงไปในดิน แล้วปล่อยให้มันละลายหายไปในช่วงเวลาไม่กี่เดือน

 

ถึงแม้ฉันไม่ได้กู้หนี้ยืมสินมาลงทุน แต่เงินจำนวนนั้นก็หามาอย่างยากเย็น จึงน่าเสียดาย เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อน สมัยที่ฉันยังเร่ร่อนเป็นยิบซี ฉันสามารถใช้มันเพื่อการเดินทางไกลข้ามประเทศได้หลายวัน

แต่ถ้าพูดแบบนักพัฒนา ต้องพูดว่า

"ฉันได้เรียนรู้ความเสี่ยงในการขาดทุนตั้งแต่ปีแรกของการทำอาชีพนี้"


อีกทั้ง ต้องไม่นับราคาค่าแรงตัวเองในการลงมือทำ เพราะฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันได้คืนมาจากการทำงานหนัก คือความสุขลึกๆ (ในการทรมานตัวเอง) และความแข็งแรงของสุขภาพ

จริงเท็จอย่างไร ฉันไม่กล้าไต่สวนตัวเองตรงๆ เพราะกลัวคำตอบที่ได้ อาจกลายเป็นว่า

"เสียใจค่ะ" !!

 

กับเพื่อนผู้หญิงอีกคน ที่เราเคยคุยกัน เพื่อนคนนี้ลงมือทำการเกษตรเพื่อเลี้ยงตัวเองจริงๆ เธอปฏิเสธการปลูกเพื่อขาย ใครมาขอซื้อก็ไม่ขาย โดยเฉพาะชาวบ้านละแวกใกล้เคียงไร่ของเธอ แต่เธอจะบอกให้เขาไปปลูกกินเอง พร้อมทั้งมอบต้นพันธุ์ ถ้าเธอมีให้เขาไป ดังนั้น การขอซื้อกึ่งขอกินจึงไม่บังเกิดขึ้นในไร่ของเธออีกเลย

 

"ไม่ให้หรอก ไม่ว่าจะขอเฉยๆหรือมาซื้อ เพราะมันทำให้คนคิดง่าย มักได้เกินไป เป็นชาวไร่ชาวนาได้อย่างไรถ้าไม่รู้จักปลูกกินเอง" กฏเหล็กของเธอยากที่ใครจะฝ่าด่าน

 

"ฉันว่าที่เธอพูดมามันก็จริง แต่บางอย่างเราก็ปลูกเองไม่ได้นี่" ฉันเถียง..เธอบอกว่า

"แต่บางครั้งเพราะเขาคิดว่าปลูกเองเมื่อไหร่ก็ได้ ก็เลยไม่ปลูก เห็นคนอื่นปลูกจึงคิดว่าขอซื้อง่ายดี อย่างนี้หรือเปล่า"

 

ช่างสอดคล้องกับบทเรียนของใครหลายคน ที่ทำงานกับชาวบ้านทางภาคอีสาน รวมทั้งฉันด้วย

ความจริงที่ว่า ชาวบ้านทุกวันนี้ไม่คิดจะปลูกอะไรกันอีกแล้ว ถ้าสิ่งนั้นไม่สามารถขายได้ในเร็ววัน


ฉันพยายามไล่แจกต้นยางนา ที่ฉันเก็บมาจากที่นักอนุรักษ์ผู้มาปลูกป่าแล้วทิ้งไว้ในป่า ฉันเก็บมาได้หลายร้อยต้น อยากให้คนแถวนี้ช่วยเอาไปปลูกกันหน่อย แต่แล้วเหตุผลที่เขาย้อนให้ฉันอึ้ง คือ

"ปลูกไปทำไม ปลูกแล้วตัดไม่ได้ ผิดกฏหมาย ถูกจับ"

เออนะ...ท่านๆที่ได้ยินเหตุผลแบบนี้ จะขำออกไหมนี่

"ไม่ผิดกฏหมายแล้ว เขาเปลี่ยนแล้ว ทุกวันนี้เขาส่งเสริมให้ปลูกป่า ปลูกแล้วตัดขายได้"

ฉันว่าไปตามที่คิด ทั้งที่จริงๆแล้ว การปลูกและการตัดไม้บางชนิด ยังต้องแจ้งปลูก เพื่อที่จะขอตัดในอนาคต

 

สำหรับฉัน คิดเสียว่ายังมีเวลาอีกนานให้คลายความอึดอัดใจ ไม่แน่หรอก เมื่อถึงเวลานั้นกฏหมายอาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

 

เพราะในอีกสามสิบปีข้างหน้า ประเทศไทยอาจไม่มีป่า ไม่มีไม้ในป่า ที่เป็นต้นใหญ่ๆให้ใครขโมยตัดอีกแล้ว การซื้อขายไม้อาจไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าเป็นไม้ป่าหรือไม้ปลูก

 

"จริงไหมคะท่าน"

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ประมาณตีสาม เราค่อยๆไต่ขึ้นสู่เขตภูเขาสูง ฉันนึกเดาเอาว่าที่นี่น่าจะเป็นเขตรัฐสลังงอร์ เพราะว่าเผอิญสายตาปะทะกับป้ายที่เขียนว่า เกนติ้ง ไฮแลนด์ มีลูกศรชี้ไปทางซ้ายมือ แต่รถยังมุ่งหน้าตรงไป กระทั่งฉันเห็นเมืองเล็กๆมีไฟฟ้าสว่างไสว สาดจับที่รูปปั้นขององค์พระศิวะสีทองอร่ามความสูงร่วมร้อยเมตร ยืนตระหง่านตรงปากทางขึ้นถ้ำซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ไม่น้อยไปกว่ากัน ฉันรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นถ้ำบาตู ฮินดูสถานที่สำคัญของคนมาเลเซียเชื้อสายอินเดีย และถัดมาอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง มีป้ายเขียนไว้ว่า พิพิธภัณฑ์โอรัง อัสลี…
เงาศิลป์
คุณเคยเดินทางไปในทิศทางที่ไม่คุ้นเคยบ่อยไหม ขณะนั้นหัวใจของคุณเต้นเป็นจังหวะอะไร มันระทึกตื่นเต้นโครมครามปานช้างป่าตกมันหรือเปล่า หรือว่าเรียบเรื่อยราวห่านหงส์กระดิกปลายเท้าแผ่วใต้สายน้ำนิ่ง แล้วเคลื่อนร่างไปข้างหน้าอย่างละมุน แม้แต่ผิวน้ำก็แทบจะไม่กระจาย
เงาศิลป์
กำแพงบางๆ ที่กั้นระหว่างความทุกข์กับความสุข คือความกระหายใคร่รู้ในบางสิ่งบางอย่างที่ต้องหาคำตอบด้วยตนเอง จะเรียกสิ่งนั้นว่า ความท้าทาย การผจญภัย หรือความใฝ่รู้ ก็น่าจะได้ แต่บางทีมันกลับเป็นเครื่องจองจำบีบรัดหัวใจให้อึดอัดจนหายใจไม่ออก และฉันไม่ชอบอารมณ์นั้นเลย ฉันจึงต้องพยายามจะเป็นฝ่ายชนะมันด้วยการออกเดินทางเพื่อไปหาคำตอบ แม้จะอยู่สุดหล้าฟ้าเขียวก็ตาม  
เงาศิลป์
ป่าในสำนึก คือวิหารอันโอฬาร ที่เปลี่ยนแปลงรูปทรงทุกขณะที่เคลื่อนเข้าใกล้ มีพลังดึงดูด มีมนต์สะกด มีความยิ่งใหญ่ที่ข่มให้เราตัวเล็กลง ฉันจึงหลงรักการถูกครอบงำนี้ อย่างไม่อยากถอนใจ
เงาศิลป์
ฉันได้ตายลงแล้วจริงๆ เพราะเบื้องหน้าที่มองเห็นคือท่านท้าวพญายมราช "ทำไมเจ้าจึงเลือกประตูบานที่สาม"น้ำเสียงเข้มขรึมไม่ด้อยไปกว่าท่วงท่าอันน่าเกรงขามบนบัลลังค์ ฉันซึ่งนั่งคุกเข่าก้มหน้าหลบสายตา ยิ่งต้องทำตัวห่อลีบ ประหนึ่งหลบหลีกคมหอกดาบที่พุ่งมาพร้อมกับคำถามนั้น
เงาศิลป์
  ลูกรักของแม่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้เรารู้จักคำว่าสูญเสียได้อย่างลึกซึ้ง แม้แต่แม่เองก็ยังต้องครุ่นคิดย้อนหลังไปว่า ถ้าสามารถย้อนเวลาไปแก้ไขหรือป้องกันการจากพรากที่แสนจะรันทดนี้ได้ ในตอนไหนได้บ้าง แม่ก็จะทำ ถ้าแม่รู้ว่าลูกจะอยู่กับเราไม่นาน แม่จะไม่ส่งลูกไปอยู่กับคนอื่น แม้คนนั้นจะเป็นปู่กับย่าก็ตาม ถ้าแม่รู้ว่าลูกป่วยหนักและมีเวลาเหลืออีกไม่นานนัก แม่จะไม่เชื่อหมอที่วินิจฉัยในครั้งแรก ถ้ารักษาลูกได้ด้วยวิธีใดๆ เพื่อให้ลูกหายขาด แม่ก็จะทำ แต่ก็นั่นล่ะ พูดไปเมื่อสายเสียแล้ว จะมีประโยชน์อะไร ที่จะรำพัน ดังนั้น สิ่งที่พอจะทำได้ คือ แม่อยากบอกกับคนที่เป็นพ่อแม่ทุกคนว่า…
เงาศิลป์
รุ่งขึ้นอีกวัน หลังจากเก็บอัฐิของลูกแล้ว ความเศร้าโศกค่อยๆ ถอยห่างไปจากเรา ในตอนสาย พ่อได้ประกาศเจตนารมย์ให้แก่ญาติมิตรทั้งหลายทราบว่า พ่อจะตั้ง “กองบุญแม่ชีป่าน” ขึ้น เพื่อเป็นการสนับสนุนกิจกรรมด้านธรรมะ แก่เยาวชนตามเจตจำนงค์ของลูกที่เคยบอกกับใครๆไว้ว่า อยากทำงานสืบต่อพระพุทธศาสนา แม่เชื่อว่า ในขณะที่พ่อกล่าวคำขอบคุณทุกๆคนที่นั่งอยู่ในถ้ำ ตอนนั้น ลูกได้รับรู้ด้วยเป็นแน่แท้
เงาศิลป์
    ลูกสิ้นใจท่ามกลางวงล้อมของเหล่าผู้ที่รักและเมตตาลูก โดยเฉพาะหลวงพ่อซึ่งนั่งสมาธิสงบนิ่งตลอดเวลา ตั้งแต่ลูกมีอาการใกล้จะดับ จนผ่านนาทีแห่งการพลัดพรากนิรันดร์ไปแล้ว ท่านก็ยังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่อย่างนั้น อีกหลายนาที
เงาศิลป์
แม่ไล่สายตามองหาคำว่ามะเร็ง ในหน้ากระดาษบันทึกของลูก ตั้งแต่หน้าแรกจนกระทั่งหน้าสุดท้าย ในจำนวนกว่า 300 หน้า ไม่มีสักคำเดียวที่ลูกจะเขียนถึงมัน  
เงาศิลป์
  อาจเป็นเพราะว่าแม่อยู่กับลูกตลอดเวลา จนกระทั่งคิดว่าความสงบนิ่งคืออาการปกติที่ลูกเป็นอยู่ แน่ล่ะ นิสัยของลูกไม่เหมือนเด็กอื่นๆมาตั้งแต่เล็กๆแล้ว ลูกเป็นเด็กที่มีสมาธิมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ บางครั้งแม่เคยเห็นลูกนั่งเล่นตุ๊กตาบาร์บี้อยู่คนเดียว ทั้งแต่งตัวและหวีผมให้มันครั้งละนานๆ เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง โดยไม่เบื่อหน่าย ก็นั่นคือกิจกรรมของเด็ก ภายในใจอาจมีจินตนาการมากมาย แต่ขณะที่เป็นคนป่วย การใช้เวลานิ่งเงียบอยู่กับตัวเองของลูก คือการเขียนบันทึกและอ่านหนังสือ ความนิ่งเงียบที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกดูคล้ายผู้ใหญ่คนหนึ่ง ที่แม้กระทั่งพ่อกับแม่ก็ยังเกรงใจ ไม่กล้ารบกวน  
เงาศิลป์
  วันที่ 1 สิงหาคม 2551 เวลาประมาณ 18 .30 น. ลูกของแม่ได้กลายเป็นลูกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในนามนักบวชหญิง ผู้ถือศีล 8
เงาศิลป์
  ชีวิตในแต่ละวันเป็นไปอย่างสงบเงียบ เพราะกิจกรรมหลักของลูกคือกินยา กินอาหาร อ่านหนังสือ สลับเขียนบันทึก ส่วนพ่อกับแม่ นอกจากจะต้องทำอาหาร ตรวจอาหาร นวด พอกยา อาบน้ำให้ อุ้มลูกไปห้องน้ำ อุ้มมานอกห้อง ระยะหลังยังต้องอุ้มลงมาอาบแดดยามเช้าๆ ที่แคร่ไม้ไผ่หน้ากุฏิ และต้องผลัดเปลี่ยนกันลงไปข้างล่างเพื่อทำธุระส่วนตัว กับซื้อหาอาหาร