Skip to main content
ลูกทำสมาธิด้วยการภาวนาพุทโธตั้งแต่ครั้งแรกที่หลวงพ่อมาสอนให้ ลูกจะนอนหลับตานิ่งๆภาวนา เมื่อวานนี้ แม่ชีคนสวยของลูก มาแนะนำว่า เวลาบริหารร่างกาย ด้วยการยกแขน ยกขา คู้เหยียด จากที่เคยนับจำนวนครั้ง ให้เปลี่ยนมาเป็นท่อง พุท-โธ ยามที่หดขาเข้า พร้อมกับหายใจเข้า ท่องว่าพุท ยามที่เหยียดขาออก พร้อมทั้งหายใจออก ลูกก็ท่องว่า โธ ลูกก็ทำตามนั้น

\\/--break--\>

 

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ที่ไม่มีในบันทึกที่เป็นตัวอักษร แต่บันทึกไว้เป็นเสียง คือคำสอนของหลวงพ่อ ที่ลูกแอบบันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถือของลูก จนหลวงพ่อแซวว่า ความลับแตก เสียงคำสอนที่ลูกเปิดฟังซ้ำๆ ในวันก่อนๆ แม่ไม่ได้ตั้งใจฟัง เมื่อแม่ได้ฟังอีกครั้งอย่างตั้งใจ ในเวลาที่ไม่มีลูกอยู่ข้างๆแล้ว ทำให้แม่กระจ่างชัดถึงคำว่าการรักษาของหลวงพ่อนั้น คือสิ่งใด

 

ทุกวัน เวลาสายๆ ลูกจะนอนหลับตานิ่งเงียบยาวนาน บอกว่ากำลังภาวนาเปิดร่างกายให้หมอเทวดามารักษาตามวิธีการของหลวงพ่อ

 

"วิธีการที่จะรักษาตัวเองอย่างธรรมชาติที่แท้จริง เราจะต้องทำร่างกายของเราให้เป็นธรรมชาติ ต้องไม่มีเรา เราต้องวางจิตลงไปให้ได้ ร่างกายนี่ เราวางได้ง่าย เพราะเราเห็นคนตายเรารู้แล้วว่าคนตายต้องเผาทิ้ง แต่จิตนี่เรายังเห็นเป็นเราอยู่ เพราะถ้าไม่ใช่เราแล้วใครนึกใครคิด ทำไมมันคิดได้ ทำไมหงุดหงิดได้ ทำไมรำคาญได้ อันนี้ นี่ เพราะจิตเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านรู้ความลับอันนี้ ซึ่งน้อยคนที่จะรู้ได้ ท่านรู้ว่าจิตเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง นึกคิดปรุงแต่งได้จริง แต่มันเป็นกระบวนทางจิต เป็นกระบวนการทางนามธรรม เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันนึกคิดได้ตามธรรมชาติของมันเอง เราต่างหากที่ไปขี้ตู่ว่ามันเป็นเรา เหมือนที่เราตู่ว่า ร่างกายเป็นของเรา ตู่ว่าปากกาเป็นของเรา เอานู่น เอานี่มาเป็นของเรา จริงๆแล้วเป็นธรรมชาติที่เอามาสำหรับใช้สอย สมมุติเอาว่าเป็นของเรา สิทธิ์ของเรา โดยทางโลกยอมรับกัน ว่าอันนั้นเป็นของคนนั้น อันนี้เป็นของคนนี้ เพื่อไม่ให้ก้าวก่ายยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่ความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างเป็นของธรรมชาติหมดเลย ต้นไม้ก็อยู่ตามธรรมชาติ ที่เอามาทำบ้านทำเรือนก็เอามาจากธรรมชาติโน่น แต่เราก็ไปตู่ว่าเป็นของเรา บ้านเป็นของเราก็จริง แต่เป็นจริงโดยสมมุติ มีข้อตกลงกันว่า ใครสร้างมันขึ้นมาคนนั้นมีสิทธิ์อยู่อาศัย สมมุติเรียกว่าบ้านของคนนั้น แต่มันไม่ได้เป็นของคนนั้นตลอดไป พอถึงเวลามันก็ผุพังไป สลายไป ยึดมันเอาไว้ไม่ได้ ร่างกายก็เหมือนกัน มันมาตามธรรมชาติ ถึงเราจะเกิดมาจากพ่อแม่ อาศัยธาตุพ่อธาตุแม่ มีจิตวิญญาณมาอาศัยอยู่ อาศัยอาหารตามธรรมชาติมาหล่อเลี้ยง แล้วมันก็เจริญเติบโตมาเพราะมันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เรียกว่า ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟจากข้างนอกมาหล่อเลี้ยงที่สมมุติว่าเป็นร่างของเรา สมมุติเรียกว่า หนัง ขน เล็บ กระดูก


สมมุติที่เรียกว่าเป็นร่างกายของเราแค่ไหน ถ้าจิตมันแจ้งชัด มันจะไม่หลงยึดว่าเป็นกายเรา เป็นของเรา ส่วนจิตใจอันนี้ ต้องอาศัยสมาธิ คอยสังเกตดูใจบ่อยๆ ว่ามันเกิดขึ้นเอง แล้วก็ดับไปเองตลอดเวลา เราอย่าไปตู่ว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา ความโกรธมันไม่ใช่เรา ไม่ได้เป็นของเรา เป็นเพียงแค่อารมณ์ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป ห้ามไม่ให้โกรธ ไม่ได้ มันเกิดเอง เมื่อกระทบกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ มันก็กระทบกระเทือนทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลง เกิดสังขารประเภทหนึ่ง คืออาการไม่ได้ดั่งใจ ไม่ตรงกับความรู้สึก ถ้าเราควบคุมได้จริงจะทัน ทันที ว่า อ้อ คือธรรมชาติ ทุกอย่างจะเข้าไปสู่ธรรมชาติทั้งหมด


ถ้าเรารู้ทันกระบวนการทางธรรมชาติฝ่ายนามธรรม เราจะไม่เป็นทุกข์ พอไม่เป็นทุกข์ ร่างกายจะอยู่ตามธรรมชาติของมัน ใจก็อยู่ตามธรรมชาติ ทีนี้มันจะปรับสมดุลภายในกายในจิตเรา มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เพราะเราไม่ได้เอาตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้อง

 

ความไม่สบาย ถ้าอยากจะหาย ก็ไม่ถูกอีก เพราะใจไม่อยู่ในอำนาจของเราแล้ว เหมือนกับว่ายังมีเรา เพราะเราอยากหาย ไม่อยากเจ็บป่วย แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนอย่างนั้น ท่านบอกว่า เรามีหน้าที่เข้ามารักษาจิตของเราเอาไว้ ให้มันรู้ความจริงเสีย ส่วนความป่วยมันจะหายหรือไม่ อันนั้นเป็นธรรมชาติ


ดูสิ พระพุทธเจ้าท่านละเอียดกว่าเรานะ เรานี่ยังหยาบ ยังอยากจะหาย ไม่อยากจะป่วย แต่ต้องรักษาไหม ก็ต้องรักษา เพราะว่าเราอาศัยร่างกายนี้อยู่ เราก็ต้องรับผิดชอบร่างกายของเรา เหมือนเรามีบ้านนี่ ถ้ามันรั่วเราก็ต้องซ่อม ถ้าใครไม่ซ่อมบ้านก็โง่น่ะซี ปล่อยให้มันผุพัง ฝนตกลงมาแล้วก็รั่ว กลายเป็นคนขี้เกียจ กลายเป็นคนไม่เอาถ่าน ไม่มีสติปัญญาไป มันต้องมีความรับผิดชอบที่จะซ่อม ซ่อมเองไม่ได้ก็ต้องให้ช่างมาซ่อม เหมือนเราเป็นไข้ รักษาเองไม่ได้ก็ต้องให้หมอรักษา


ควรกินยา ก็ต้องกิน ควรกินอาหารก็ต้องกิน เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องดูแลร่างกาย แต่เวลารักษานี่ เราก็อยากจะหาย ทุกคนอยากจะหาย แต่ให้รู้ว่า ถ้าเราอยากจะหายเราต้องไม่กระวนกระวาน เราทำเหตุให้ถูกต้อง ส่วนจะหายหรือไม่นั้น ให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ อันนี้ เราจะไม่ทุกข์อีกแบบหนึ่ง เพราะเราน่ะอยากจะหายล่ะ แต่เรามาดูเหตุว่า ทำอย่างไรจึงน่าจะดีขึ้น ทำอย่างไรนะ จึงจะดีได้ เราเอาหลักของพระพุทธเจ้าเข้ามา มารักษาจิตเอาไว้ ไม่ให้มันยินดียินร้าย นี่ล่ะ เข้ามาหาจิตตรงนี้ไว้


ที่นี้ พอเรารู้หลักของจิตแล้ว รักษาจิตเอาไว้ให้สมดุล ถ้าจิตมันสมดุล ร่างกายก็สมดุลด้วย ธาตุต่างๆก็จะอยู่ไปตามหน้าที่ของมัน หน้าที่ของเราคือ ปรับสมดุลในจิต รักษาสมดุลที่แท้ภายในจิต นี่แหละที่ท่านเรียกว่า "มัฌชิมาปฏิปทา" ทางสายกลาง สายกลางตรงไหน กลางที่จิตของเรา ที่มีความสมดุล มันพอดีก็พอดีที่จิตเรา ถ้าหากจิตมันปรับไม่ได้ มันก็พอดีไม่ได้ เดี๋ยวมันจะเอานั่นเอานี่ กลัวไม่หาย กลัวเป็นมาก กังวลว่าวันนี้ดี พรุ่งนี้อาจจะไม่ดี


เราต้องพร้อมที่จะยอมรับสภาพ แต่ทีนี้ การที่จะทำให้ได้ดีขึ้นมา ยา เราก็รับประทานแล้ว อาหารเราก็รับประทานแล้ว บริหารร่างกายแล้ว ทำให้ถูกต้องทุกอย่างแล้ว ทีนี้ ในนามธรรม ในสิ่งแวดล้อมที่เรามองไม่เห็น ต้องอาศัยจิตของเราเป็นกุศลที่สูงที่สุด คือการปฏิบัติธรรม


นี่... การปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือการที่เรามีสติสัมปชัญญะ รู้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ จิตสามารถรักษาสมดุล ปล่อยวาง ให้กายกับจิตเป็นธรรมชาติ อยู่ตามธรรมชาติ ถ้าเราทำได้จริง

นี่แหละ สภาวะทางจิตใจ เราจะลึกซึ้ง เราจะแน่ใจว่า เป็นอันเดียวกับธรรมชาติ นี่..มันจะเข้าหาธรรมชาติแล้วนะนี่ ธรรมชาติที่มองไม่เห็น แต่จะรู้ จะเข้าใจ รับได้ สัมผัสได้ เขาก็จะมาช่วยเรา เพราะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นธรรมชาติอันเดียวกัน จึงจะเข้ามาหากันได้

 

นี่ล่ะ...มันมีความลึกซึ้งอย่างนี้ เพราะฉะนั้น วิธีการของเรานี่ เรารักษาโดยวิธีการธรรมชาติ แต่เป็นธรรมชาติทางร่างกาย ก็รักษาด้วยยา อาหาร บริหาร ทีนี้ด้านจิตใจเราเอาธรรมะของพระพุทธเจ้า เอาความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้มาก่อน ท่านประทานคำสอนเอาไว้ ถ่ายทอดมาถึงเรา ทีนี้เราก็ตั้งใจปฏิบัติปรับสมดุลภายในจิตยอมรับความจริงตามธรมชาติ ปล่อยวางทุกอย่างตามธรรมชาติ แม้กระทั่งจิตก็ปล่อยวางอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อวางจิตแล้ว ทุกอย่างก็อยู่ของมันตามธรรมชาติของมันเอง

 

ที่นี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายนี่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ต้องอาศัยบุญ มีอำนาจของบุญเป็นพลัง คนเราจะเกิดได้ก็เพราะบุญ มีบุญกับบาปเป็นสิ่งกำหนด เวลาบุญให้ผลก็เป็นอย่างหนึ่ง เวลาฝ่ายบาปให้ผลก็เป็นอย่างหนึ่ง ทีนี้...พระพุทธเจ้าท่านก็เปรียบเทียบให้ฟัง เรื่อง ทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นฝ่ายกุศล ฝ่ายดีที่สูงที่สุด เพราะทำให้จิตของเรานี่สะอาดบริสุทธิ์ได้ เมื่อใครปฏิบัติธรรม สำรวมกาย วาจา ใจ ได้ดี กุศลก็แรงขึ้น บุญก็มาก เมื่อมีกุศลแล้วเราก็แผ่บุญไปถึงธรรมชาติที่มาช่วยรักษาเรา ด้วยจิตที่เป็นกลางนะ ไม่ใช่ด้วยความอยากที่จะหาย จิตต้องปล่อยวางเป็นกลางๆ  ข้างในพยายามปล่อยวาง วางกาย วางจิต กายรู้วางแล้ว แต่จิตมันวางยาก เราต้องพยายามให้มีสติต่อเนื่องเรื่อยไป สติสำคัญที่สุดเลย สติจะเพิ่มได้ยังไง เกิดขึ้นได้จากการทำ สติอ่อนๆ เป็นทางให้มีสติมากขึ้น สติกลางๆเป็นทางทำให้จิตมีพลัง สติที่เข้มแข็งเกิดขึ้น กลายเป็นมหาสติ ควบคุมจิตได้ จิตจะเข้าไปหาความจริง คือ กาย สักแต่ว่ากาย จิต สักแต่ว่าจิต นี่คือความจริงที่เราต้องการ เรียกว่าเห็นความจริง เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จิตของเราจะไม่เป็นกังวล มันต้องเห็นด้วยจิต ลึกซึ้งอยู่ในจิต แจ้งชัดตามความเป็นจริงอยู่ในจิต นี่ล่ะ เป็นเหตุให้เราจะต้องเจริญสติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

 

ส่วนอย่างอื่น เมื่อเราทำถูกต้องแล้ว หมดทุกอย่างแล้ว หายก็เอา ไม่หายก็เอา ไม่ยินดีไม่ยินร้าย นี่ล่ะ หลักธรรมที่จะเข้ามาหาจิตเรา ทีนี้ก็พิสูจน์สิว่า ระหว่างกรรมดีกับกรรมไม่ดีของเรา อันไหนจะให้ผลมากกว่ากัน...นี่ นี่แหละ คือการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดแต่เรื่องธรรมชาติฝ่ายรูป ยานั่น ยานี่ อาหารชนิดนั้น ชนิดนี้ อยู่ในสิ่งแวดล้อมตรงนั้นตรงนี้ แต่พระพุทธเจ้าสูงขึ้นมากว่านั้น ด้วยการให้รักษาจิตเป็นธรรมชาติ ไม่เข้าไปหลงยึดว่าอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับจิต เป็นตัวเราเป็นของเรา สักแต่ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เราไม่หลงยินดียินร้าย

 

ทีนี้เมื่อเวลาจิตเราสงบ เราให้บุญได้ เวลาเราออกจากสมาธิ เรามีจิตสงบถือว่าเป็นกุศล มีพลังมาก ฝ่ายที่อยู่สูงเขาจะรับพลังนี้ได้ เราก็อุทิศบุญนี้ไป ยกบุญให้ โดยเฉพาะผู้ที่เต็มใจมาช่วยเรา เราอุทิศบุญให้ เขาก็จะมาช่วยเรา เราก็ปล่อยวางความอยาก อยากที่จะหาย ความไม่อยากจะเป็นเราก็วางลง ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่สามารถรักษาความพอดีในจิตเราได้ ไม่สามารถรักษาสมดุลของร่างกาย ของจิตใจได้ เรียกว่า เราต้องมาปรับที่จิตของเรา

 

ในเมื่อความจริงก็คือความจริง ร่างกายไม่ใช่ของเราแน่ๆ เข้าใจแล้วทีนี้ คราวนี้มาเข้าใจเรื่องจิตอีกอย่างหนึ่ง เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร นี่ล่ะกระบวนการฝ่ายนามธรรม

 

เวลาอะไรมากระทบใจปุ๊บ มันเกิดสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณจิต ถ้ากระทบแล้วรู้สึกสบาย เราก็จะพอใจ ถ้าไม่สบาย เราก็จะไม่พอใจ ถ้าเรารู้ทันก็จะไม่เป็นไร แค่รู้ว่าสบาย หรือไม่สบาย แต่ถ้าไม่สบาย แล้วเราอยากให้หายไป ด้วยความไม่ชอบใจ มันจะเปลี่ยนโทสะ ขัดข้องภายในจิต เราจะต้องรู้ทันภายในจิต ที่อธิบายให้ฟังหมายถึงว่า กระบวนการฝ่ายจิตมันเกิดขึ้นได้ เวลาเราไปเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม กระทบปั๊บมันเกิดวิญญาณหนึ่งรับรู้ รู้แจ้งในอารมณ์ปั๊บ มันจะเกิดขึ้นในกระบวนการนี้อย่างเป็นธรรมชาติ เราห้ามไม่ได้เลย เราต้องมีสติดูใจเราไปเรื่อยๆ จึงจะทันมัน เมื่อทันแล้วสิ่งเหล่านี้ด็จะดับ มันจะไม่มีผลอะไรต่อจิต แต่ถ้าเราไม่ทัน มันมีผลเกิดเป็นเราขึ้นมา เกิดความชอบใจ เกิดความอยากได้ มันก็ปรุงแต่งในทางจะเอา อยากได้ อยากมี อยากเอา

 

ถ้าสติเราอ่อน มันก็ปรุงมาก แต่ถ้าสติแข็ง มันก็ปรุงน้อย ดับได้เร็วขึ้น ดับได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าสติรู้ทันอารมณ์ได้ตลอด มันก็จะว่างจากอารมณ์ แต่พอเผลอมันก็มีบ้าง ก็แล้วไป ไม่เป็นไร เพราะเรายังอยู่ในขั้นฝึกอบรมอยู่ เหมือนความโกรธ ที่เกิดขึ้นมา มันก็ปรุงแต่งไปอีกแบบหนึ่ง ก็ให้รู้ทันความคิดของเราเอง ที่เรียกว่าทันกระบวนการความคิด รู้จักกระบวนการฝ่ายนาม เราก็สามารถวางจิตให้อยู่ตามธรรมชาติของมัน

 

เวลา 18 กว่านาที ที่หลวงพ่อสอนลูก ด้วยหลักธรรมที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นเพียงครั้งเดียว ในวันเดียว ตลอดเวลาที่ลูกอยู่ที่วัด ถ้าท่านไม่ได้รับนิมนต์ไปไหน ไม่มีเลยสักวันที่ท่านจะไม่มาโปรดลูก และมอบสิ่งที่ดีงามล้ำค่านั้นให้แก่ลูกของแม่

 

และท่อนสุดท้ายในเสียงที่บันทึก ท่านกล่าวว่า...

"เอาล่ะ หลวงพ่อจะไม่พูดอะไรแล้วนะ ทำสมาธินะ แล้วหลวงพ่อจะประคองจิตให้"

นั่นคือที่มาของ "การเปิดร่างกายให้เทวดามารักษา" ที่ลูกเขียนไว้ในวันต่อๆมา

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
เช้านี้...ไร้เรี่ยวแรงที่จะทำงาน จึงต่อสายไฟจากหม้อแบตเตอรี่รถแทรคเตอร์ เพื่อเปิดทีวีขนาดสิบสี่นิ้ว ฟังดูข่าวคราวของโลกกว้าง พบว่าราคาน้ำมันยังพุ่งลิ่ว ผู้คนในหลายประเทศตายเกลื่อนเพราะภัยพิบัติ ขณะที่ฉันกำลังทรมานใจกับความผิดบาปของตัวเอง เนื่องจากการทำงานเมื่อวานนี้... งูลายทางยาวๆ สีดำ ตัวโตขนาดข้อมือเด็กๆ กำลังบิดตัวขยับร่างให้เคลื่อนไหวต่อไปข้างหน้า มันผงกหัวออกแรงพุ่ง แต่ลำตัวกลับติดตายอยู่บนพื้นดิน ท่อนกลางและท่อนหางถูกตัดออกจนเกือบขาด มีเจ้าหมาหนุ่มสองตัวของฉันกำลังเอาตีนเขี่ยให้มันเคลื่อนไหวอย่างล้อเล่น
เงาศิลป์
กลีบดอกไม้ป่าร่วงผลอยไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเท่าทันกับฤดูฝนที่มาถึง ราวป่าท้ายไร่จึงเขียวขจีชุ่มชื่นแผ่ผ่านความสดใสมาถึงหัวใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียง“ไปทำบุญที่ยอดห้วยกันเถอะ”ยายแดงตะโกนเรียกมาจากบนรถอีแต๊ก ที่ควบปุเลงๆผ่านหน้าไร่ฉันไปอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับต้นหญ้าเล็กๆที่หน้าบ้าน
เงาศิลป์
เสียงลมอื้ออึง ปลุกฉันจากความหลับใหลที่เนื่องมาจากความอ่อนล้าโรยแรงฉันตื่นกลัวจนกระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจ ผุดนั่งอย่างลืมตัวผืนผ้าใบที่ชายคาเสียงดังพึ่บ มันสะบัดปลายจนเรือนไม้หลังน้อยสะเทือนไหว เงี่ยหูฟังเสียงลมที่กำลังมุ่งหน้ามามันมีกำลังแรงขึ้นและแรงขึ้นอย่างรวดเร็วแสงสว่างวาบลอดเข้ามาตามช่องฝาผนัง  ฉันกอดอกด้วยความหวาดกลัว  และแล้ว ..เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ “ฉันมาทำอะไรที่นี่” เสียงครางอยู่ข้างในถามไถ่ตัวเองอย่างน่าสงสารน้อยครั้งนักที่ฉันจะหวาดกลัวอะไร หรือจะคิดจินตนาการอะไรๆ ที่เป็นเรื่องร้ายๆ ต่อชีวิต แม้ในท่ามกลางวิกฤติ เพราะฉันมีความเชื่อว่าพระจะต้องคุ้มครองฉันเสมอ …
เงาศิลป์
“มันจะได้ผลหรือคุณ” น้ำเสียงต่ำๆ แกมรอยยิ้มที่ริมปาก ทำให้ฉันฉุนกึกอยู่ข้างใน แต่ต้องฝืนตอบออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะนับเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ตาลีถามฉันอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของแกซะหน่อย“ได้ผลสิ ที่บ้านที่ใต้ทำใช้อยู่ประจำ”เรากำลังสนทนาถึงน้ำหมักชีวภาพที่ฉันทำไว้ใช้เอง บรรจุในถังพลาสติกใบใหญ่และนำออกมารดพื้นดินแทบทุกครั้งที่ฝนตกชุ่ม ความหวังที่จะฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อให้ไส้เดือนคืนถิ่นของฉัน ดูช่างยาวไกลราวกับนักเดินทน ที่ต้องเดินรอบโลกหลายรอบ เผลอๆอาจหมดแรงตายเสียก่อนที่จะครบรอบแรกด้วยซ้ำ
เงาศิลป์
“โชค ไปเที่ยวในป่ากันดีกว่า น้าได้กลิ่นดอกไม้หอม”เขาพยักหน้า วางเครื่องมือทำงานไว้ในที่ร่มแล้วคว้าขวดน้ำดื่มติดมือมาแทน เจ้าหมาหนุ่มสองตัวรีบมุ่งหน้ามาสมทบโดยไม่ต้องส่งเสียงเรียก เพราะการเคลื่อนไหวของเราอยู่ในสายตาของมันเสมอแค่เอื้อมเท่านั้น...ที่ฉันจะหาความสุขอันลึกซึ้งได้ แต่บ่อยครั้งที่ฉันแข็งใจไม่แวะเข้าไปในป่า เนื่องจากงานในไร่กำลังเร่งรีบ และยามนี้เป็นเวลาปิดเทอมใหญ่ “โชค” จึงมีเวลามาช่วยงานได้เต็มวัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เป็นครูสอนงานที่ดีให้แก่ฉันในบางกรณี และพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้งานได้อย่างน่าชื่นชม ฉันแอบดูเขาทำงาน มองร่างผ่ายผอมในวัยเพียงสิบห้าปี…
เงาศิลป์
แสงไฟสีส้มดวงเล็กๆ ดาหน้ากันเข้ามาจากทุกทิศทาง ยกเว้นจากส่วนที่เป็นด้านหลังไร่ เพราะนั่นคือป่าชุมชนผืนใหญ่ ที่เป็นเป้าหมายของการไปสู่ของแสงไฟเหล่านั้น ดูแล้วน่าตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อตอนเย็นนี้ฉันนึกถึงแนวรั้วลวดหนามด้านท้ายไร่ ที่เสร็จไปครึ่งทางแล้ว ด้วยฝีมือของตาลี “เราทำรั้วกั้นที่ของเรา ไม่มีใครเขามาว่าได้หรอก อีกหน่อยพอฝนตกชุก คุณต้องทำประตูกั้นทางเข้าไร่ด้วยนะ ทำรั้วง่ายๆพอเป็นที่เข้าใจว่าถนนที่ตรงมาทางนี้คือทางส่วนบุคคล ไม่ใช่ทางสาธารณะ” แกย้ำถึงความจำเป็น เพราะฉันเคยลังเลกลัวว่าจะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องเดินอ้อมไปไกลจึงจะไปถึงป่าชุมชนนั้นได้…
เงาศิลป์
การใช้ชีวิตในบ้านไร่ชายป่า บางครั้งทำให้ฉันถามตัวเองว่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิตด้วยหรือเปล่า แต่แล้วก็มีบางเรื่องราวมาคลี่คลายเป็นคำตอบให้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับคำถามใดๆ ทั้งสิ้น.......สวัสดีค่ะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะหนูชื่อทรายนะคะ บังเอิญเข้ามาอ่านเจอพอดี พี่ทำงานกับป๊าหนูด้วยเหรอค่ะ (ยงยุทธ ตรีนุชกร) แต่พ.ศ.31 หนูเพิ่งจะเกิดเอง คงไม่รูจักพี่แน่เลย!! แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่นะค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย เพราะหนูเรียนแพทย์แผนไทยอยู่ ก็เลยรู้สึกดีที่มีคนชอบการรักษาแบบแผนไทยเหมือนกัน ขอให้พี่หายเร็วๆ นะคะ แล้วก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะคะ……………………….
เงาศิลป์
มือขวาที่บวมเบ่ง ความสากกร้านที่ห่อหุ้มยิ่งทำให้มือนั้นดูเทอะทะ เจ้าของมือยังมีเค้าความสวยงาม แม้วัยล่วงเลยจนเป็นย่าคนแล้ว เธอยังต้องทำงานหนัก จนกระทั่งบาดเจ็บ
ฉันค่อยๆลูบยาหม่องสูตรเข้มข้นที่ปรุงเอง ความร้อนของน้ำมันสมุนไพรคงพอบรรเทาอาการ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดในการเยียวยาคือให้พักงาน หยุดใช้มือนั้นทำงานสักระยะ  เธอยิ้มตอบคำแนะนำอย่างสดใส บนใบหน้ากร้านแดด บอกว่าทำไม่ได้หรอก งานมีเยอะแยะ หนี้สินอีกมากมายจะหยุดทำงานได้อย่างไร“นี่ก็เปลี่ยนกันทำงาน ให้ตาเก้ไปรับจ้างไถไร่เพิ้น เอาเงินมาซื้อน้ำมันสูบน้ำใส่ไร่อ้อย ข้อยกะต้องมาเลี้ยงวัวแล้วกะเสียหญ้าอ้อยไปนำ” ฉันคลึงเบาๆที่นิ้วกลางอันบวมช้ำ…
เงาศิลป์
“ต้นไม้ไม่ต้องการคำภาวนา มันต้องการน้ำ” อาการห่อเหี่ยวของเรียวใบยังคงอยู่ บางต้นปลิดใบสีน้ำตาลร่วงพราวเกลื่อนพื้น........แม้แต่ความรัก ก็ยากจะเยียวยา.....ไม่ว่าฉันจะพูดปลอบประโลมอย่างไร มันก็ไม่อาจฟื้นคืนมาสู่ความสดใสได้อีกแล้วฉันสิ ที่ต้องคร่ำครวญและพาลโมโหตัวเองที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวสวน แต่ไม่เคยมีวิชาทำสวนติดตัวสักกระผีกริ้น สิ้นลมหายใจพ่อ เหมือนสิ้นคู่มือชีวิต เรื่องของต้นไม้และเม็ดดินกลายเป็นความลี้ลับ ที่ต้องใช้เวลา และสติปัญญา มาถอดรัสลับ ซึ่งไม่รู้ว่าชาตินี้ฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ของต้นไม้แต่ละชนิดแม้เวลานี้ ยังได้ชื่อว่าเป็น “ฤดูหนาว”…
เงาศิลป์
ดนตรีแห่งฤดูกาล กำลังเปลี่ยนผ่านจังหวะไปสู่ความรุนแรงร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังหลอกล่อหัวใจผู้คนด้วยจังหวะผ่อนแผ่วของไอหนาว เมื่อคืน ฉันเผลอเรอลืมห่อห่มร่างกายให้อบอุ่น จึงถูกไข้หวัดจู่โจม จะเรียกว่าเป็นความอ่อนแอของร่างกายหรือว่าเป็นความแข็งแรงอันร้ายกาจของไวรัสก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะรอบทิศทางของไร่ มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ทุกคืน การเผาซากอ้อยจึงกลายเป็นฤดูกาลเผาไร่...ฤดูกาลใหม่ของที่นี่ถ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไกลลิบนั่น คงเห็นรอยไฟลามเลียเป็นหย่อมๆ แผ่กระจายไปทั่ว คล้ายสัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงเคลื่อนไหวเพยิบกลืนกินผิวโลกจนไหม้เกรียม และทุกหัวค่ำ ยังมีของแถมเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง…
เงาศิลป์
 ริ้วสีชมพูอมส้ม กระจ่างจ้าที่ริมขอบฟ้า ดุจแก้มใสปลั่งของสาวน้อย ไรแสงสาดจับจ้าบนท้องฟ้าเหนือศรีษะ งดงามตระการ ฉันยืนมองแสงสีตรงหน้า ที่แปรเปลี่ยนไปทีละนิดๆ อย่างโปร่งโล่งในอารมณ์ สูดลมหายใจยาว นำเอาความสดชื่นไปกักเก็บไว้เต็มปอด สัมผัสความเย็นชุ่มที่ล่วงลึกลงภายใน ผิดกับผิวกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวสีทึมเนื้อหนานุ่ม เพียงผิวหน้าเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับละไอหมอกหนาลอยเรี่ยพื้น ความหนาวเย็น ไม่ใช่มิตรที่ดีนัก ไม่ควรใกล้ชิดจนเกินไป ร่างกายมันบอกให้ฉันอย่างนั้น เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นทั้งกายใจ งานหนักในไร่กลายเป็นคุณแก่ชีวิต…
เงาศิลป์
“เจ้าสองตัวนี่ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ ดูที่อุ้งตีนมันสิ ใหญ่กว่าหมาทั่วไป” ลุงเจนบอก เมื่อเราเดินเล่นไปจนถึงนาของแก เสียงลิ้นตวัดน้ำในสระดังขวับ ๆ ๆ เพราะความหิวกระหาย มันคงเหนื่อยอ่อนทีเดียวเพราะต้องเดินดั้นด้นมุดกอหญ้าที่ท่วมตัว ดีว่ามีกันสองตัวพี่น้องจึงพอสนุกสานหยอกล้อไล่กัดกันไปพลาง ชวนขุดหามดหาแมลงกินกันไปพลาง ระยะทางเกือบกิโลเมตรจึงพอเดินสบายๆ ในยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ฉันมีเจ้าสองตัวเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาได้สิบกว่าวัน อายุของมันทั้งสองราวๆ 2 เดือนกว่า กำลังกินกำลังซนและมันทั้งคู่ต่างประกาศนิสัยส่วนตัวออกมาอย่างชัดเจน  เจ้าเสือตัวโตกว่าเพราะกินเก่งกว่า ขี้เล่น ห้าวหาญ…