Skip to main content
ลูกทำสมาธิด้วยการภาวนาพุทโธตั้งแต่ครั้งแรกที่หลวงพ่อมาสอนให้ ลูกจะนอนหลับตานิ่งๆภาวนา เมื่อวานนี้ แม่ชีคนสวยของลูก มาแนะนำว่า เวลาบริหารร่างกาย ด้วยการยกแขน ยกขา คู้เหยียด จากที่เคยนับจำนวนครั้ง ให้เปลี่ยนมาเป็นท่อง พุท-โธ ยามที่หดขาเข้า พร้อมกับหายใจเข้า ท่องว่าพุท ยามที่เหยียดขาออก พร้อมทั้งหายใจออก ลูกก็ท่องว่า โธ ลูกก็ทำตามนั้น

\\/--break--\>

 

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ที่ไม่มีในบันทึกที่เป็นตัวอักษร แต่บันทึกไว้เป็นเสียง คือคำสอนของหลวงพ่อ ที่ลูกแอบบันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถือของลูก จนหลวงพ่อแซวว่า ความลับแตก เสียงคำสอนที่ลูกเปิดฟังซ้ำๆ ในวันก่อนๆ แม่ไม่ได้ตั้งใจฟัง เมื่อแม่ได้ฟังอีกครั้งอย่างตั้งใจ ในเวลาที่ไม่มีลูกอยู่ข้างๆแล้ว ทำให้แม่กระจ่างชัดถึงคำว่าการรักษาของหลวงพ่อนั้น คือสิ่งใด

 

ทุกวัน เวลาสายๆ ลูกจะนอนหลับตานิ่งเงียบยาวนาน บอกว่ากำลังภาวนาเปิดร่างกายให้หมอเทวดามารักษาตามวิธีการของหลวงพ่อ

 

"วิธีการที่จะรักษาตัวเองอย่างธรรมชาติที่แท้จริง เราจะต้องทำร่างกายของเราให้เป็นธรรมชาติ ต้องไม่มีเรา เราต้องวางจิตลงไปให้ได้ ร่างกายนี่ เราวางได้ง่าย เพราะเราเห็นคนตายเรารู้แล้วว่าคนตายต้องเผาทิ้ง แต่จิตนี่เรายังเห็นเป็นเราอยู่ เพราะถ้าไม่ใช่เราแล้วใครนึกใครคิด ทำไมมันคิดได้ ทำไมหงุดหงิดได้ ทำไมรำคาญได้ อันนี้ นี่ เพราะจิตเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านรู้ความลับอันนี้ ซึ่งน้อยคนที่จะรู้ได้ ท่านรู้ว่าจิตเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง นึกคิดปรุงแต่งได้จริง แต่มันเป็นกระบวนทางจิต เป็นกระบวนการทางนามธรรม เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันนึกคิดได้ตามธรรมชาติของมันเอง เราต่างหากที่ไปขี้ตู่ว่ามันเป็นเรา เหมือนที่เราตู่ว่า ร่างกายเป็นของเรา ตู่ว่าปากกาเป็นของเรา เอานู่น เอานี่มาเป็นของเรา จริงๆแล้วเป็นธรรมชาติที่เอามาสำหรับใช้สอย สมมุติเอาว่าเป็นของเรา สิทธิ์ของเรา โดยทางโลกยอมรับกัน ว่าอันนั้นเป็นของคนนั้น อันนี้เป็นของคนนี้ เพื่อไม่ให้ก้าวก่ายยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่ความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างเป็นของธรรมชาติหมดเลย ต้นไม้ก็อยู่ตามธรรมชาติ ที่เอามาทำบ้านทำเรือนก็เอามาจากธรรมชาติโน่น แต่เราก็ไปตู่ว่าเป็นของเรา บ้านเป็นของเราก็จริง แต่เป็นจริงโดยสมมุติ มีข้อตกลงกันว่า ใครสร้างมันขึ้นมาคนนั้นมีสิทธิ์อยู่อาศัย สมมุติเรียกว่าบ้านของคนนั้น แต่มันไม่ได้เป็นของคนนั้นตลอดไป พอถึงเวลามันก็ผุพังไป สลายไป ยึดมันเอาไว้ไม่ได้ ร่างกายก็เหมือนกัน มันมาตามธรรมชาติ ถึงเราจะเกิดมาจากพ่อแม่ อาศัยธาตุพ่อธาตุแม่ มีจิตวิญญาณมาอาศัยอยู่ อาศัยอาหารตามธรรมชาติมาหล่อเลี้ยง แล้วมันก็เจริญเติบโตมาเพราะมันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เรียกว่า ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟจากข้างนอกมาหล่อเลี้ยงที่สมมุติว่าเป็นร่างของเรา สมมุติเรียกว่า หนัง ขน เล็บ กระดูก


สมมุติที่เรียกว่าเป็นร่างกายของเราแค่ไหน ถ้าจิตมันแจ้งชัด มันจะไม่หลงยึดว่าเป็นกายเรา เป็นของเรา ส่วนจิตใจอันนี้ ต้องอาศัยสมาธิ คอยสังเกตดูใจบ่อยๆ ว่ามันเกิดขึ้นเอง แล้วก็ดับไปเองตลอดเวลา เราอย่าไปตู่ว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา ความโกรธมันไม่ใช่เรา ไม่ได้เป็นของเรา เป็นเพียงแค่อารมณ์ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป ห้ามไม่ให้โกรธ ไม่ได้ มันเกิดเอง เมื่อกระทบกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ มันก็กระทบกระเทือนทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลง เกิดสังขารประเภทหนึ่ง คืออาการไม่ได้ดั่งใจ ไม่ตรงกับความรู้สึก ถ้าเราควบคุมได้จริงจะทัน ทันที ว่า อ้อ คือธรรมชาติ ทุกอย่างจะเข้าไปสู่ธรรมชาติทั้งหมด


ถ้าเรารู้ทันกระบวนการทางธรรมชาติฝ่ายนามธรรม เราจะไม่เป็นทุกข์ พอไม่เป็นทุกข์ ร่างกายจะอยู่ตามธรรมชาติของมัน ใจก็อยู่ตามธรรมชาติ ทีนี้มันจะปรับสมดุลภายในกายในจิตเรา มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เพราะเราไม่ได้เอาตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้อง

 

ความไม่สบาย ถ้าอยากจะหาย ก็ไม่ถูกอีก เพราะใจไม่อยู่ในอำนาจของเราแล้ว เหมือนกับว่ายังมีเรา เพราะเราอยากหาย ไม่อยากเจ็บป่วย แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนอย่างนั้น ท่านบอกว่า เรามีหน้าที่เข้ามารักษาจิตของเราเอาไว้ ให้มันรู้ความจริงเสีย ส่วนความป่วยมันจะหายหรือไม่ อันนั้นเป็นธรรมชาติ


ดูสิ พระพุทธเจ้าท่านละเอียดกว่าเรานะ เรานี่ยังหยาบ ยังอยากจะหาย ไม่อยากจะป่วย แต่ต้องรักษาไหม ก็ต้องรักษา เพราะว่าเราอาศัยร่างกายนี้อยู่ เราก็ต้องรับผิดชอบร่างกายของเรา เหมือนเรามีบ้านนี่ ถ้ามันรั่วเราก็ต้องซ่อม ถ้าใครไม่ซ่อมบ้านก็โง่น่ะซี ปล่อยให้มันผุพัง ฝนตกลงมาแล้วก็รั่ว กลายเป็นคนขี้เกียจ กลายเป็นคนไม่เอาถ่าน ไม่มีสติปัญญาไป มันต้องมีความรับผิดชอบที่จะซ่อม ซ่อมเองไม่ได้ก็ต้องให้ช่างมาซ่อม เหมือนเราเป็นไข้ รักษาเองไม่ได้ก็ต้องให้หมอรักษา


ควรกินยา ก็ต้องกิน ควรกินอาหารก็ต้องกิน เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องดูแลร่างกาย แต่เวลารักษานี่ เราก็อยากจะหาย ทุกคนอยากจะหาย แต่ให้รู้ว่า ถ้าเราอยากจะหายเราต้องไม่กระวนกระวาน เราทำเหตุให้ถูกต้อง ส่วนจะหายหรือไม่นั้น ให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ อันนี้ เราจะไม่ทุกข์อีกแบบหนึ่ง เพราะเราน่ะอยากจะหายล่ะ แต่เรามาดูเหตุว่า ทำอย่างไรจึงน่าจะดีขึ้น ทำอย่างไรนะ จึงจะดีได้ เราเอาหลักของพระพุทธเจ้าเข้ามา มารักษาจิตเอาไว้ ไม่ให้มันยินดียินร้าย นี่ล่ะ เข้ามาหาจิตตรงนี้ไว้


ที่นี้ พอเรารู้หลักของจิตแล้ว รักษาจิตเอาไว้ให้สมดุล ถ้าจิตมันสมดุล ร่างกายก็สมดุลด้วย ธาตุต่างๆก็จะอยู่ไปตามหน้าที่ของมัน หน้าที่ของเราคือ ปรับสมดุลในจิต รักษาสมดุลที่แท้ภายในจิต นี่แหละที่ท่านเรียกว่า "มัฌชิมาปฏิปทา" ทางสายกลาง สายกลางตรงไหน กลางที่จิตของเรา ที่มีความสมดุล มันพอดีก็พอดีที่จิตเรา ถ้าหากจิตมันปรับไม่ได้ มันก็พอดีไม่ได้ เดี๋ยวมันจะเอานั่นเอานี่ กลัวไม่หาย กลัวเป็นมาก กังวลว่าวันนี้ดี พรุ่งนี้อาจจะไม่ดี


เราต้องพร้อมที่จะยอมรับสภาพ แต่ทีนี้ การที่จะทำให้ได้ดีขึ้นมา ยา เราก็รับประทานแล้ว อาหารเราก็รับประทานแล้ว บริหารร่างกายแล้ว ทำให้ถูกต้องทุกอย่างแล้ว ทีนี้ ในนามธรรม ในสิ่งแวดล้อมที่เรามองไม่เห็น ต้องอาศัยจิตของเราเป็นกุศลที่สูงที่สุด คือการปฏิบัติธรรม


นี่... การปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือการที่เรามีสติสัมปชัญญะ รู้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ จิตสามารถรักษาสมดุล ปล่อยวาง ให้กายกับจิตเป็นธรรมชาติ อยู่ตามธรรมชาติ ถ้าเราทำได้จริง

นี่แหละ สภาวะทางจิตใจ เราจะลึกซึ้ง เราจะแน่ใจว่า เป็นอันเดียวกับธรรมชาติ นี่..มันจะเข้าหาธรรมชาติแล้วนะนี่ ธรรมชาติที่มองไม่เห็น แต่จะรู้ จะเข้าใจ รับได้ สัมผัสได้ เขาก็จะมาช่วยเรา เพราะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นธรรมชาติอันเดียวกัน จึงจะเข้ามาหากันได้

 

นี่ล่ะ...มันมีความลึกซึ้งอย่างนี้ เพราะฉะนั้น วิธีการของเรานี่ เรารักษาโดยวิธีการธรรมชาติ แต่เป็นธรรมชาติทางร่างกาย ก็รักษาด้วยยา อาหาร บริหาร ทีนี้ด้านจิตใจเราเอาธรรมะของพระพุทธเจ้า เอาความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้มาก่อน ท่านประทานคำสอนเอาไว้ ถ่ายทอดมาถึงเรา ทีนี้เราก็ตั้งใจปฏิบัติปรับสมดุลภายในจิตยอมรับความจริงตามธรมชาติ ปล่อยวางทุกอย่างตามธรรมชาติ แม้กระทั่งจิตก็ปล่อยวางอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อวางจิตแล้ว ทุกอย่างก็อยู่ของมันตามธรรมชาติของมันเอง

 

ที่นี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายนี่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ต้องอาศัยบุญ มีอำนาจของบุญเป็นพลัง คนเราจะเกิดได้ก็เพราะบุญ มีบุญกับบาปเป็นสิ่งกำหนด เวลาบุญให้ผลก็เป็นอย่างหนึ่ง เวลาฝ่ายบาปให้ผลก็เป็นอย่างหนึ่ง ทีนี้...พระพุทธเจ้าท่านก็เปรียบเทียบให้ฟัง เรื่อง ทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นฝ่ายกุศล ฝ่ายดีที่สูงที่สุด เพราะทำให้จิตของเรานี่สะอาดบริสุทธิ์ได้ เมื่อใครปฏิบัติธรรม สำรวมกาย วาจา ใจ ได้ดี กุศลก็แรงขึ้น บุญก็มาก เมื่อมีกุศลแล้วเราก็แผ่บุญไปถึงธรรมชาติที่มาช่วยรักษาเรา ด้วยจิตที่เป็นกลางนะ ไม่ใช่ด้วยความอยากที่จะหาย จิตต้องปล่อยวางเป็นกลางๆ  ข้างในพยายามปล่อยวาง วางกาย วางจิต กายรู้วางแล้ว แต่จิตมันวางยาก เราต้องพยายามให้มีสติต่อเนื่องเรื่อยไป สติสำคัญที่สุดเลย สติจะเพิ่มได้ยังไง เกิดขึ้นได้จากการทำ สติอ่อนๆ เป็นทางให้มีสติมากขึ้น สติกลางๆเป็นทางทำให้จิตมีพลัง สติที่เข้มแข็งเกิดขึ้น กลายเป็นมหาสติ ควบคุมจิตได้ จิตจะเข้าไปหาความจริง คือ กาย สักแต่ว่ากาย จิต สักแต่ว่าจิต นี่คือความจริงที่เราต้องการ เรียกว่าเห็นความจริง เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จิตของเราจะไม่เป็นกังวล มันต้องเห็นด้วยจิต ลึกซึ้งอยู่ในจิต แจ้งชัดตามความเป็นจริงอยู่ในจิต นี่ล่ะ เป็นเหตุให้เราจะต้องเจริญสติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

 

ส่วนอย่างอื่น เมื่อเราทำถูกต้องแล้ว หมดทุกอย่างแล้ว หายก็เอา ไม่หายก็เอา ไม่ยินดีไม่ยินร้าย นี่ล่ะ หลักธรรมที่จะเข้ามาหาจิตเรา ทีนี้ก็พิสูจน์สิว่า ระหว่างกรรมดีกับกรรมไม่ดีของเรา อันไหนจะให้ผลมากกว่ากัน...นี่ นี่แหละ คือการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดแต่เรื่องธรรมชาติฝ่ายรูป ยานั่น ยานี่ อาหารชนิดนั้น ชนิดนี้ อยู่ในสิ่งแวดล้อมตรงนั้นตรงนี้ แต่พระพุทธเจ้าสูงขึ้นมากว่านั้น ด้วยการให้รักษาจิตเป็นธรรมชาติ ไม่เข้าไปหลงยึดว่าอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับจิต เป็นตัวเราเป็นของเรา สักแต่ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เราไม่หลงยินดียินร้าย

 

ทีนี้เมื่อเวลาจิตเราสงบ เราให้บุญได้ เวลาเราออกจากสมาธิ เรามีจิตสงบถือว่าเป็นกุศล มีพลังมาก ฝ่ายที่อยู่สูงเขาจะรับพลังนี้ได้ เราก็อุทิศบุญนี้ไป ยกบุญให้ โดยเฉพาะผู้ที่เต็มใจมาช่วยเรา เราอุทิศบุญให้ เขาก็จะมาช่วยเรา เราก็ปล่อยวางความอยาก อยากที่จะหาย ความไม่อยากจะเป็นเราก็วางลง ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่สามารถรักษาความพอดีในจิตเราได้ ไม่สามารถรักษาสมดุลของร่างกาย ของจิตใจได้ เรียกว่า เราต้องมาปรับที่จิตของเรา

 

ในเมื่อความจริงก็คือความจริง ร่างกายไม่ใช่ของเราแน่ๆ เข้าใจแล้วทีนี้ คราวนี้มาเข้าใจเรื่องจิตอีกอย่างหนึ่ง เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร นี่ล่ะกระบวนการฝ่ายนามธรรม

 

เวลาอะไรมากระทบใจปุ๊บ มันเกิดสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณจิต ถ้ากระทบแล้วรู้สึกสบาย เราก็จะพอใจ ถ้าไม่สบาย เราก็จะไม่พอใจ ถ้าเรารู้ทันก็จะไม่เป็นไร แค่รู้ว่าสบาย หรือไม่สบาย แต่ถ้าไม่สบาย แล้วเราอยากให้หายไป ด้วยความไม่ชอบใจ มันจะเปลี่ยนโทสะ ขัดข้องภายในจิต เราจะต้องรู้ทันภายในจิต ที่อธิบายให้ฟังหมายถึงว่า กระบวนการฝ่ายจิตมันเกิดขึ้นได้ เวลาเราไปเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม กระทบปั๊บมันเกิดวิญญาณหนึ่งรับรู้ รู้แจ้งในอารมณ์ปั๊บ มันจะเกิดขึ้นในกระบวนการนี้อย่างเป็นธรรมชาติ เราห้ามไม่ได้เลย เราต้องมีสติดูใจเราไปเรื่อยๆ จึงจะทันมัน เมื่อทันแล้วสิ่งเหล่านี้ด็จะดับ มันจะไม่มีผลอะไรต่อจิต แต่ถ้าเราไม่ทัน มันมีผลเกิดเป็นเราขึ้นมา เกิดความชอบใจ เกิดความอยากได้ มันก็ปรุงแต่งในทางจะเอา อยากได้ อยากมี อยากเอา

 

ถ้าสติเราอ่อน มันก็ปรุงมาก แต่ถ้าสติแข็ง มันก็ปรุงน้อย ดับได้เร็วขึ้น ดับได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าสติรู้ทันอารมณ์ได้ตลอด มันก็จะว่างจากอารมณ์ แต่พอเผลอมันก็มีบ้าง ก็แล้วไป ไม่เป็นไร เพราะเรายังอยู่ในขั้นฝึกอบรมอยู่ เหมือนความโกรธ ที่เกิดขึ้นมา มันก็ปรุงแต่งไปอีกแบบหนึ่ง ก็ให้รู้ทันความคิดของเราเอง ที่เรียกว่าทันกระบวนการความคิด รู้จักกระบวนการฝ่ายนาม เราก็สามารถวางจิตให้อยู่ตามธรรมชาติของมัน

 

เวลา 18 กว่านาที ที่หลวงพ่อสอนลูก ด้วยหลักธรรมที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นเพียงครั้งเดียว ในวันเดียว ตลอดเวลาที่ลูกอยู่ที่วัด ถ้าท่านไม่ได้รับนิมนต์ไปไหน ไม่มีเลยสักวันที่ท่านจะไม่มาโปรดลูก และมอบสิ่งที่ดีงามล้ำค่านั้นให้แก่ลูกของแม่

 

และท่อนสุดท้ายในเสียงที่บันทึก ท่านกล่าวว่า...

"เอาล่ะ หลวงพ่อจะไม่พูดอะไรแล้วนะ ทำสมาธินะ แล้วหลวงพ่อจะประคองจิตให้"

นั่นคือที่มาของ "การเปิดร่างกายให้เทวดามารักษา" ที่ลูกเขียนไว้ในวันต่อๆมา

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…