Skip to main content

กำแพงบางๆ ที่กั้นระหว่างความทุกข์กับความสุข คือความกระหายใคร่รู้ในบางสิ่งบางอย่างที่ต้องหาคำตอบด้วยตนเอง จะเรียกสิ่งนั้นว่า ความท้าทาย การผจญภัย หรือความใฝ่รู้ ก็น่าจะได้ แต่บางทีมันกลับเป็นเครื่องจองจำบีบรัดหัวใจให้อึดอัดจนหายใจไม่ออก และฉันไม่ชอบอารมณ์นั้นเลย ฉันจึงต้องพยายามจะเป็นฝ่ายชนะมันด้วยการออกเดินทางเพื่อไปหาคำตอบ แม้จะอยู่สุดหล้าฟ้าเขียวก็ตาม

 

การเดินทางเพื่อจะเรียนรู้เรื่องของประเทศหนึ่งๆหรืออาณาจักรหนึ่งๆ ที่เชื่อว่ามีวิสัยทัศน์ มีจริตกริยา มีนิสัยประจำตน มีเรื่องราวแต่หนหลังโยงใยมาถึงปัจจุบัน จนเป็นเอกลักษณ์ คือสิ่งยวนใจที่ฉันต้องควานหา แต่การเดินทางเข้ามาเลเซียครั้งนี้ ฉันข้ามแดนไปด้วยการพ่วงพาเอาความคิด ภาพบางภาพของบางกลุ่มชน ข้ามไปด้วย เพื่อไปหาคำตอบว่า ที่นั่นเขามีการจัดการ มีการดูแลกันอย่างไร

 

โจทย์หลักที่ว่านี้ คือ การจัดการป่า และชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในป่า ที่เรียกขานกันว่า “โอรัง อัสลี”

 

ความต้องการที่จะเรียนรู้ในระดับลึก ฉันรู้ว่าไม่สามารถจะเข้าถึงได้ในสถานภาพของนักท่องเที่ยว แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อฉันไม่มีองค์กรสังกัด ไม่ใช่ทั้งข้าราชการ ไม่ใช่ทั้ง NGO. เป็นแค่คนเดินทาง คนทำสวนทำไร่ ที่บังเอิญได้คลุกคลีกับปัญหาของชาวบ้านที่เดือดร้อนเพราะกฎหมายอุทยานฯบุกรุกเข้าไปในชีวิตของพวกเขา จนบางรายอยากฆ่าตัวตายเพราะถูกป่าไม้ฟ้องร้องเรียกเงินนับล้าน ในข้อหาว่าทำให้โลกร้อน ทั้งที่มือหยาบกร้านเคยกำเงินสูงสุดแค่เรือนหมื่นเท่านั้นเอง

 

หลังจากที่ฉันข่มใจว่าถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง คุณลุงผู้เหี้ยมเกรียมก็เหยียบคันเร่งจมมิด ยานลำเก่าๆทะยานแหวกสายลมย่ำค่ำอย่างเร็วรี่ มันวิ่งแซงรถคันใหญ่ๆใหม่ๆทะเบียนมาเลย์มาอย่างฉลุย ฉันล่ะสะใจยิ่งนัก

 

กระทั่ง มาถึงด้านหน้าของท่ารถบัตเตอร์เวิร์ธ แกลงมาเปิดประตูรถให้ แล้วบอกว่า

เดินเข้าไปข้างในเองนะ แค่ร้อยกว่าเมตรเท่านั้น รถบัสจอดอยู่ที่ในนั้น” น้ำเสียงเอื้ออาทรขึ้นมาเชียว

ทุกคนบนรถต่างบอกว่าขอให้โชคดี ฉันบอกกลับไปว่า ขอให้โชคดีในการเดินทางทุกคนเช่นกัน

 

สามทุ่มกว่าๆ ตามเวลาของมาเลเซีย ที่เร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง ฉันมายืนตรงหน้าหญิงสาวที่คลุมผมเรียบร้อย ในช่องขายตั๋วแรกที่เห็น เธอทักเป็นภาษาของเธอ แต่ฉันบอกว่าขอตั๋วสองที่ไปจารันตุด ด้วยภาษานักล่าอาณานิคม เธอยิ้มรับ แล้วจัดการให้ บอกว่าให้รอรถที่ช่อง ๑๗ นะ รถจะมาถึง ๔ ทุ่มตรง

 

เรื่องรถ ฉันอ่านจากข้อมูลที่ตรวจสอบในอินเตอร์เน็ต รู้ว่ารถมาจากเปอร์ลิส อันที่จริงถ้าเราเข้าทางด่านวังประจัน จังหวัดสตูล ที่นั่นจะใกล้มาก แต่ในเมื่อเราเข้ามาจากด่านนอก ขึ้นรถที่นี่ก็นับว่าสะดวก เพียงแต่อาจโชคร้ายถ้าเป็นช่วงเทศกาลรถอาจจะเต็ม

 

 

 

 

 

ค่ารถ ๕๓ เหรียญ คิดเป็นเงินไทยราว ๕๓๐ บาท ใช้เวลา ๙ ชั่วโมง ไปถึงจันตุด ฉันรู้ว่ารถต้องอ้อมภูเขาสูงไปตามถนนหลวงสายเดิม ลงไปทางใต้เฉียดๆเก้นท์ติ้ง แล้วเลี้ยวซ้ายไปทางฝั่งตะวันออก มุ่งขึ้นเหนือเล็กน้อย จึงไปถึงเมืองจารันตุด

 

ได้ตั๋วแล้วค่อยเบาใจ แบกกระเป๋ามาหาอาหารมื้อค่ำแบบเร่งรีบ(ฟาดด่วน) ที่อาคารขายอาหารรวมร้านเล็กๆมาอยู่ด้วยกัน ฉันชี้มือขอแกงไก่ราดข้าว หนุ่มเลือดอินเดียพยายามชี้ชวนให้เอาอย่างอื่นเพิ่มเติมอีก ฉันบอกว่าไม่เอา แค่นี้ก็พอแล้วเยอะแล้ว ท่าทางของเราที่คุยกันไม่ค่อยจะเข้าใจ อาจเป็นเพราะฉันส่ายหน้า ที่เขาคิดว่าโอเคก็เป็นได้ จนคนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมาชะงักดู แต่เป็นแค่ชั่วแป๊บเดียว ฉันยกมือบอกพอแล้วๆพี่แกยังตักน้ำแกงจากกะละมังอื่นๆ มาให้ราดให้อีก สรุปว่าข้าวราดแกง ราคา ๓ เหรียญ มื้อนั้นฉันกินได้แค่ เหรียญครึ่งเท่านั้น เพราะรสชาดเท่ากับศูนย์

 

กว่ารถจะมา ฉันยังทำอะไรได้อีกตั้งเยอะ ได้เข้าห้องน้ำล้างหน้าตา ยืนยันว่าห้องน้ำของมาเลเซียที่ไหนๆก็สะอาดเสมอ และคนใช้บริการก็น้อย ไม่ต้องเข้าคิว จากนั้นฉันยังใช้เวลาเดินสอบถามเรื่องรถไปจารันตุดได้อีก เพราะอยากรู้ว่ามีรถคันอื่นอีกหรือเปล่าที่มุ่งหน้าไปทางนั้น เพราะในช่องขายตั๋วหลายช่องเขียนไว้ว่า “กัวลา ทาหาน” อันหมายถึงชื่อเมืองที่ตั้งของป่าทามัน เนการ่าคำตอบที่ได้คือ มีเพียงคันเดียว แต่ซื้อตั๋วได้หลายช่อง

 

ฉันไม่ได้เฉลียวใจอะไร ในชื่อกัวลาทาหาน ที่เขียนบอกไว้ เพราะจากการหาข้อมูลรู้แต่เพียงว่า ถนนไปป่าสามารถไปได้จนถึงเมือง “เตมเบอลิง” จากนั้นให้นั่งเรืออีก ๓ ชั่วโมง จึงจะไปถึง สำนักงานของป่าแห่งนั้น

 

ไม่เฉลียวใจกระทั่งว่า ตอนที่ขึ้นรถแล้ว และช่วงพักระหว่างทาง หนุ่มน้อยที่ร่วมนั่งโต๊ะ เขาบอกว่าบ้านเขาอยู่กัวลา ทาหาน เขากำลังจะกลับบ้าน และตอนรุ่งเช้า ที่รถบัสไปถึงเมืองจารันตุด ฉันและปิ๋นหอบของลงจากรถ แต่หนุ่มน้อยคนนั้น กับใครอีกหนึ่งคน ที่เป็นสองคนโดยสารสุดท้าย ยังอยู่บนรถที่มุ่งหน้าต่อไปยังปลายทาง

 

เป็นความเขลาของนักเดินทางแบบฉุกเฉิน ฉันอ่านข้อความที่บางคนโพสต์ไว้ในอินเตอร์เน็ต บอกว่ารัฐบาลมาเลเซียมีดำริที่จะสร้างถนนเข้าไปถึงสำนักงานใหญ่ของป่าทามัน เนการ่า แต่ถูกนักอนุรักษ์ต่อต้านไว้จนต้องยกเลิกไป ที่ไหนได้ เมื่อฉันมาถึงที่นี่ ถนนสายนั้นพรุนไปแล้วด้วยรอยล้อรถที่บดขยี้ จากแรงกดทับของน้ำหนักตัวนักท่องเที่ยวร่างใหญ่ผู้บินมาจากแดนไกลปีละนับล้านคน โง่จริงๆฉัน

 

 

 

ฉันพลาดรายละเอียดการเดินทาง เพราะเพิ่งตัดสินใจไปมาเลเซีย ตอนกลับมาบ้านที่นครศรีธรรมราช ในต้นเดือนสิงหาคม โดยทิ้งหนังสือไกด์บุคฉบับสำคัญไว้ที่ไร่ที่ขอนแก่น ทั้งเชื่อมั่นในข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตว่าทันสมัยที่สุด แต่สิ่งที่ลืมสนิทและคิดว่าไม่สำคัญคือ เรื่องที่พัก จนกระทั่งเป็นปัญหาจนแทบถอดใจ

 

การเดินทางครั้งนี้ ทำให้ฉันได้บทเรียนใหม่ ในเรื่องนิสัยไม่ยอมวางแผนจองที่พักล่วงหน้า โดยเฉพาะยุคสมัยที่ประชากรโลกล้นหลาม และยังบังอาจเสนอหน้าไปท่องเที่ยวในพื้นที่ที่ต้องแย่งกันกิน แย่งกันอยู่กับฝรั่ง ผู้เชี่ยวชาญการเดินทาง แม้จะเป็นแบคแพ็กเกอร์แบบเดียวกันก็ตาม

 

กว่ารถจะมาถึง ฉันต้องทนสูดดมควันหลง ที่โชยมาจากสิงห์อมควัน ชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่เดินเตร็ดเตร่ในชานชาลา จนมึนหัว เหม็นและมากกว่ากลิ่นจากท่อไอเสียของรถยนต์ที่จอดอยู่ด้วยซ้ำ

 

โอ้ว่า...ประเทศไทย ชายหนุ่มนักอมควันทั้งหลายของแผ่นดิน ฉันขอขอบคุณที่พวกท่านลดจำนวนลงมาก จนแทบจะหายากในบางพื้นที่ ขอบคุณที่ไม่ก่อมลภาวะจากความสุขแต่เพียงลำพังของท่าน แล้วก่อความทุกข์แก่ส่วนรวมเหมือนผู้ชายประเทศนี้

 

ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ

.................

 

(ขอประทานอภัย ภาพถ่ายไม่สวยเท่าที่ควรจะเป็น เพราะเป็นกล้องป๊อกแป๊ก คนถ่ายก็แป๋แป๋)

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
เช้านี้...ไร้เรี่ยวแรงที่จะทำงาน จึงต่อสายไฟจากหม้อแบตเตอรี่รถแทรคเตอร์ เพื่อเปิดทีวีขนาดสิบสี่นิ้ว ฟังดูข่าวคราวของโลกกว้าง พบว่าราคาน้ำมันยังพุ่งลิ่ว ผู้คนในหลายประเทศตายเกลื่อนเพราะภัยพิบัติ ขณะที่ฉันกำลังทรมานใจกับความผิดบาปของตัวเอง เนื่องจากการทำงานเมื่อวานนี้... งูลายทางยาวๆ สีดำ ตัวโตขนาดข้อมือเด็กๆ กำลังบิดตัวขยับร่างให้เคลื่อนไหวต่อไปข้างหน้า มันผงกหัวออกแรงพุ่ง แต่ลำตัวกลับติดตายอยู่บนพื้นดิน ท่อนกลางและท่อนหางถูกตัดออกจนเกือบขาด มีเจ้าหมาหนุ่มสองตัวของฉันกำลังเอาตีนเขี่ยให้มันเคลื่อนไหวอย่างล้อเล่น
เงาศิลป์
กลีบดอกไม้ป่าร่วงผลอยไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเท่าทันกับฤดูฝนที่มาถึง ราวป่าท้ายไร่จึงเขียวขจีชุ่มชื่นแผ่ผ่านความสดใสมาถึงหัวใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียง“ไปทำบุญที่ยอดห้วยกันเถอะ”ยายแดงตะโกนเรียกมาจากบนรถอีแต๊ก ที่ควบปุเลงๆผ่านหน้าไร่ฉันไปอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับต้นหญ้าเล็กๆที่หน้าบ้าน
เงาศิลป์
เสียงลมอื้ออึง ปลุกฉันจากความหลับใหลที่เนื่องมาจากความอ่อนล้าโรยแรงฉันตื่นกลัวจนกระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจ ผุดนั่งอย่างลืมตัวผืนผ้าใบที่ชายคาเสียงดังพึ่บ มันสะบัดปลายจนเรือนไม้หลังน้อยสะเทือนไหว เงี่ยหูฟังเสียงลมที่กำลังมุ่งหน้ามามันมีกำลังแรงขึ้นและแรงขึ้นอย่างรวดเร็วแสงสว่างวาบลอดเข้ามาตามช่องฝาผนัง  ฉันกอดอกด้วยความหวาดกลัว  และแล้ว ..เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ “ฉันมาทำอะไรที่นี่” เสียงครางอยู่ข้างในถามไถ่ตัวเองอย่างน่าสงสารน้อยครั้งนักที่ฉันจะหวาดกลัวอะไร หรือจะคิดจินตนาการอะไรๆ ที่เป็นเรื่องร้ายๆ ต่อชีวิต แม้ในท่ามกลางวิกฤติ เพราะฉันมีความเชื่อว่าพระจะต้องคุ้มครองฉันเสมอ …
เงาศิลป์
“มันจะได้ผลหรือคุณ” น้ำเสียงต่ำๆ แกมรอยยิ้มที่ริมปาก ทำให้ฉันฉุนกึกอยู่ข้างใน แต่ต้องฝืนตอบออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะนับเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ตาลีถามฉันอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของแกซะหน่อย“ได้ผลสิ ที่บ้านที่ใต้ทำใช้อยู่ประจำ”เรากำลังสนทนาถึงน้ำหมักชีวภาพที่ฉันทำไว้ใช้เอง บรรจุในถังพลาสติกใบใหญ่และนำออกมารดพื้นดินแทบทุกครั้งที่ฝนตกชุ่ม ความหวังที่จะฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อให้ไส้เดือนคืนถิ่นของฉัน ดูช่างยาวไกลราวกับนักเดินทน ที่ต้องเดินรอบโลกหลายรอบ เผลอๆอาจหมดแรงตายเสียก่อนที่จะครบรอบแรกด้วยซ้ำ
เงาศิลป์
“โชค ไปเที่ยวในป่ากันดีกว่า น้าได้กลิ่นดอกไม้หอม”เขาพยักหน้า วางเครื่องมือทำงานไว้ในที่ร่มแล้วคว้าขวดน้ำดื่มติดมือมาแทน เจ้าหมาหนุ่มสองตัวรีบมุ่งหน้ามาสมทบโดยไม่ต้องส่งเสียงเรียก เพราะการเคลื่อนไหวของเราอยู่ในสายตาของมันเสมอแค่เอื้อมเท่านั้น...ที่ฉันจะหาความสุขอันลึกซึ้งได้ แต่บ่อยครั้งที่ฉันแข็งใจไม่แวะเข้าไปในป่า เนื่องจากงานในไร่กำลังเร่งรีบ และยามนี้เป็นเวลาปิดเทอมใหญ่ “โชค” จึงมีเวลามาช่วยงานได้เต็มวัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เป็นครูสอนงานที่ดีให้แก่ฉันในบางกรณี และพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้งานได้อย่างน่าชื่นชม ฉันแอบดูเขาทำงาน มองร่างผ่ายผอมในวัยเพียงสิบห้าปี…
เงาศิลป์
แสงไฟสีส้มดวงเล็กๆ ดาหน้ากันเข้ามาจากทุกทิศทาง ยกเว้นจากส่วนที่เป็นด้านหลังไร่ เพราะนั่นคือป่าชุมชนผืนใหญ่ ที่เป็นเป้าหมายของการไปสู่ของแสงไฟเหล่านั้น ดูแล้วน่าตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อตอนเย็นนี้ฉันนึกถึงแนวรั้วลวดหนามด้านท้ายไร่ ที่เสร็จไปครึ่งทางแล้ว ด้วยฝีมือของตาลี “เราทำรั้วกั้นที่ของเรา ไม่มีใครเขามาว่าได้หรอก อีกหน่อยพอฝนตกชุก คุณต้องทำประตูกั้นทางเข้าไร่ด้วยนะ ทำรั้วง่ายๆพอเป็นที่เข้าใจว่าถนนที่ตรงมาทางนี้คือทางส่วนบุคคล ไม่ใช่ทางสาธารณะ” แกย้ำถึงความจำเป็น เพราะฉันเคยลังเลกลัวว่าจะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องเดินอ้อมไปไกลจึงจะไปถึงป่าชุมชนนั้นได้…
เงาศิลป์
การใช้ชีวิตในบ้านไร่ชายป่า บางครั้งทำให้ฉันถามตัวเองว่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิตด้วยหรือเปล่า แต่แล้วก็มีบางเรื่องราวมาคลี่คลายเป็นคำตอบให้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับคำถามใดๆ ทั้งสิ้น.......สวัสดีค่ะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะหนูชื่อทรายนะคะ บังเอิญเข้ามาอ่านเจอพอดี พี่ทำงานกับป๊าหนูด้วยเหรอค่ะ (ยงยุทธ ตรีนุชกร) แต่พ.ศ.31 หนูเพิ่งจะเกิดเอง คงไม่รูจักพี่แน่เลย!! แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่นะค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย เพราะหนูเรียนแพทย์แผนไทยอยู่ ก็เลยรู้สึกดีที่มีคนชอบการรักษาแบบแผนไทยเหมือนกัน ขอให้พี่หายเร็วๆ นะคะ แล้วก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะคะ……………………….
เงาศิลป์
มือขวาที่บวมเบ่ง ความสากกร้านที่ห่อหุ้มยิ่งทำให้มือนั้นดูเทอะทะ เจ้าของมือยังมีเค้าความสวยงาม แม้วัยล่วงเลยจนเป็นย่าคนแล้ว เธอยังต้องทำงานหนัก จนกระทั่งบาดเจ็บ
ฉันค่อยๆลูบยาหม่องสูตรเข้มข้นที่ปรุงเอง ความร้อนของน้ำมันสมุนไพรคงพอบรรเทาอาการ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดในการเยียวยาคือให้พักงาน หยุดใช้มือนั้นทำงานสักระยะ  เธอยิ้มตอบคำแนะนำอย่างสดใส บนใบหน้ากร้านแดด บอกว่าทำไม่ได้หรอก งานมีเยอะแยะ หนี้สินอีกมากมายจะหยุดทำงานได้อย่างไร“นี่ก็เปลี่ยนกันทำงาน ให้ตาเก้ไปรับจ้างไถไร่เพิ้น เอาเงินมาซื้อน้ำมันสูบน้ำใส่ไร่อ้อย ข้อยกะต้องมาเลี้ยงวัวแล้วกะเสียหญ้าอ้อยไปนำ” ฉันคลึงเบาๆที่นิ้วกลางอันบวมช้ำ…
เงาศิลป์
“ต้นไม้ไม่ต้องการคำภาวนา มันต้องการน้ำ” อาการห่อเหี่ยวของเรียวใบยังคงอยู่ บางต้นปลิดใบสีน้ำตาลร่วงพราวเกลื่อนพื้น........แม้แต่ความรัก ก็ยากจะเยียวยา.....ไม่ว่าฉันจะพูดปลอบประโลมอย่างไร มันก็ไม่อาจฟื้นคืนมาสู่ความสดใสได้อีกแล้วฉันสิ ที่ต้องคร่ำครวญและพาลโมโหตัวเองที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวสวน แต่ไม่เคยมีวิชาทำสวนติดตัวสักกระผีกริ้น สิ้นลมหายใจพ่อ เหมือนสิ้นคู่มือชีวิต เรื่องของต้นไม้และเม็ดดินกลายเป็นความลี้ลับ ที่ต้องใช้เวลา และสติปัญญา มาถอดรัสลับ ซึ่งไม่รู้ว่าชาตินี้ฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ของต้นไม้แต่ละชนิดแม้เวลานี้ ยังได้ชื่อว่าเป็น “ฤดูหนาว”…
เงาศิลป์
ดนตรีแห่งฤดูกาล กำลังเปลี่ยนผ่านจังหวะไปสู่ความรุนแรงร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังหลอกล่อหัวใจผู้คนด้วยจังหวะผ่อนแผ่วของไอหนาว เมื่อคืน ฉันเผลอเรอลืมห่อห่มร่างกายให้อบอุ่น จึงถูกไข้หวัดจู่โจม จะเรียกว่าเป็นความอ่อนแอของร่างกายหรือว่าเป็นความแข็งแรงอันร้ายกาจของไวรัสก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะรอบทิศทางของไร่ มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ทุกคืน การเผาซากอ้อยจึงกลายเป็นฤดูกาลเผาไร่...ฤดูกาลใหม่ของที่นี่ถ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไกลลิบนั่น คงเห็นรอยไฟลามเลียเป็นหย่อมๆ แผ่กระจายไปทั่ว คล้ายสัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงเคลื่อนไหวเพยิบกลืนกินผิวโลกจนไหม้เกรียม และทุกหัวค่ำ ยังมีของแถมเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง…
เงาศิลป์
 ริ้วสีชมพูอมส้ม กระจ่างจ้าที่ริมขอบฟ้า ดุจแก้มใสปลั่งของสาวน้อย ไรแสงสาดจับจ้าบนท้องฟ้าเหนือศรีษะ งดงามตระการ ฉันยืนมองแสงสีตรงหน้า ที่แปรเปลี่ยนไปทีละนิดๆ อย่างโปร่งโล่งในอารมณ์ สูดลมหายใจยาว นำเอาความสดชื่นไปกักเก็บไว้เต็มปอด สัมผัสความเย็นชุ่มที่ล่วงลึกลงภายใน ผิดกับผิวกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวสีทึมเนื้อหนานุ่ม เพียงผิวหน้าเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับละไอหมอกหนาลอยเรี่ยพื้น ความหนาวเย็น ไม่ใช่มิตรที่ดีนัก ไม่ควรใกล้ชิดจนเกินไป ร่างกายมันบอกให้ฉันอย่างนั้น เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นทั้งกายใจ งานหนักในไร่กลายเป็นคุณแก่ชีวิต…
เงาศิลป์
“เจ้าสองตัวนี่ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ ดูที่อุ้งตีนมันสิ ใหญ่กว่าหมาทั่วไป” ลุงเจนบอก เมื่อเราเดินเล่นไปจนถึงนาของแก เสียงลิ้นตวัดน้ำในสระดังขวับ ๆ ๆ เพราะความหิวกระหาย มันคงเหนื่อยอ่อนทีเดียวเพราะต้องเดินดั้นด้นมุดกอหญ้าที่ท่วมตัว ดีว่ามีกันสองตัวพี่น้องจึงพอสนุกสานหยอกล้อไล่กัดกันไปพลาง ชวนขุดหามดหาแมลงกินกันไปพลาง ระยะทางเกือบกิโลเมตรจึงพอเดินสบายๆ ในยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ฉันมีเจ้าสองตัวเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาได้สิบกว่าวัน อายุของมันทั้งสองราวๆ 2 เดือนกว่า กำลังกินกำลังซนและมันทั้งคู่ต่างประกาศนิสัยส่วนตัวออกมาอย่างชัดเจน  เจ้าเสือตัวโตกว่าเพราะกินเก่งกว่า ขี้เล่น ห้าวหาญ…