Skip to main content

กำแพงบางๆ ที่กั้นระหว่างความทุกข์กับความสุข คือความกระหายใคร่รู้ในบางสิ่งบางอย่างที่ต้องหาคำตอบด้วยตนเอง จะเรียกสิ่งนั้นว่า ความท้าทาย การผจญภัย หรือความใฝ่รู้ ก็น่าจะได้ แต่บางทีมันกลับเป็นเครื่องจองจำบีบรัดหัวใจให้อึดอัดจนหายใจไม่ออก และฉันไม่ชอบอารมณ์นั้นเลย ฉันจึงต้องพยายามจะเป็นฝ่ายชนะมันด้วยการออกเดินทางเพื่อไปหาคำตอบ แม้จะอยู่สุดหล้าฟ้าเขียวก็ตาม

 

การเดินทางเพื่อจะเรียนรู้เรื่องของประเทศหนึ่งๆหรืออาณาจักรหนึ่งๆ ที่เชื่อว่ามีวิสัยทัศน์ มีจริตกริยา มีนิสัยประจำตน มีเรื่องราวแต่หนหลังโยงใยมาถึงปัจจุบัน จนเป็นเอกลักษณ์ คือสิ่งยวนใจที่ฉันต้องควานหา แต่การเดินทางเข้ามาเลเซียครั้งนี้ ฉันข้ามแดนไปด้วยการพ่วงพาเอาความคิด ภาพบางภาพของบางกลุ่มชน ข้ามไปด้วย เพื่อไปหาคำตอบว่า ที่นั่นเขามีการจัดการ มีการดูแลกันอย่างไร

 

โจทย์หลักที่ว่านี้ คือ การจัดการป่า และชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในป่า ที่เรียกขานกันว่า “โอรัง อัสลี”

 

ความต้องการที่จะเรียนรู้ในระดับลึก ฉันรู้ว่าไม่สามารถจะเข้าถึงได้ในสถานภาพของนักท่องเที่ยว แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อฉันไม่มีองค์กรสังกัด ไม่ใช่ทั้งข้าราชการ ไม่ใช่ทั้ง NGO. เป็นแค่คนเดินทาง คนทำสวนทำไร่ ที่บังเอิญได้คลุกคลีกับปัญหาของชาวบ้านที่เดือดร้อนเพราะกฎหมายอุทยานฯบุกรุกเข้าไปในชีวิตของพวกเขา จนบางรายอยากฆ่าตัวตายเพราะถูกป่าไม้ฟ้องร้องเรียกเงินนับล้าน ในข้อหาว่าทำให้โลกร้อน ทั้งที่มือหยาบกร้านเคยกำเงินสูงสุดแค่เรือนหมื่นเท่านั้นเอง

 

หลังจากที่ฉันข่มใจว่าถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง คุณลุงผู้เหี้ยมเกรียมก็เหยียบคันเร่งจมมิด ยานลำเก่าๆทะยานแหวกสายลมย่ำค่ำอย่างเร็วรี่ มันวิ่งแซงรถคันใหญ่ๆใหม่ๆทะเบียนมาเลย์มาอย่างฉลุย ฉันล่ะสะใจยิ่งนัก

 

กระทั่ง มาถึงด้านหน้าของท่ารถบัตเตอร์เวิร์ธ แกลงมาเปิดประตูรถให้ แล้วบอกว่า

เดินเข้าไปข้างในเองนะ แค่ร้อยกว่าเมตรเท่านั้น รถบัสจอดอยู่ที่ในนั้น” น้ำเสียงเอื้ออาทรขึ้นมาเชียว

ทุกคนบนรถต่างบอกว่าขอให้โชคดี ฉันบอกกลับไปว่า ขอให้โชคดีในการเดินทางทุกคนเช่นกัน

 

สามทุ่มกว่าๆ ตามเวลาของมาเลเซีย ที่เร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง ฉันมายืนตรงหน้าหญิงสาวที่คลุมผมเรียบร้อย ในช่องขายตั๋วแรกที่เห็น เธอทักเป็นภาษาของเธอ แต่ฉันบอกว่าขอตั๋วสองที่ไปจารันตุด ด้วยภาษานักล่าอาณานิคม เธอยิ้มรับ แล้วจัดการให้ บอกว่าให้รอรถที่ช่อง ๑๗ นะ รถจะมาถึง ๔ ทุ่มตรง

 

เรื่องรถ ฉันอ่านจากข้อมูลที่ตรวจสอบในอินเตอร์เน็ต รู้ว่ารถมาจากเปอร์ลิส อันที่จริงถ้าเราเข้าทางด่านวังประจัน จังหวัดสตูล ที่นั่นจะใกล้มาก แต่ในเมื่อเราเข้ามาจากด่านนอก ขึ้นรถที่นี่ก็นับว่าสะดวก เพียงแต่อาจโชคร้ายถ้าเป็นช่วงเทศกาลรถอาจจะเต็ม

 

 

 

 

 

ค่ารถ ๕๓ เหรียญ คิดเป็นเงินไทยราว ๕๓๐ บาท ใช้เวลา ๙ ชั่วโมง ไปถึงจันตุด ฉันรู้ว่ารถต้องอ้อมภูเขาสูงไปตามถนนหลวงสายเดิม ลงไปทางใต้เฉียดๆเก้นท์ติ้ง แล้วเลี้ยวซ้ายไปทางฝั่งตะวันออก มุ่งขึ้นเหนือเล็กน้อย จึงไปถึงเมืองจารันตุด

 

ได้ตั๋วแล้วค่อยเบาใจ แบกกระเป๋ามาหาอาหารมื้อค่ำแบบเร่งรีบ(ฟาดด่วน) ที่อาคารขายอาหารรวมร้านเล็กๆมาอยู่ด้วยกัน ฉันชี้มือขอแกงไก่ราดข้าว หนุ่มเลือดอินเดียพยายามชี้ชวนให้เอาอย่างอื่นเพิ่มเติมอีก ฉันบอกว่าไม่เอา แค่นี้ก็พอแล้วเยอะแล้ว ท่าทางของเราที่คุยกันไม่ค่อยจะเข้าใจ อาจเป็นเพราะฉันส่ายหน้า ที่เขาคิดว่าโอเคก็เป็นได้ จนคนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมาชะงักดู แต่เป็นแค่ชั่วแป๊บเดียว ฉันยกมือบอกพอแล้วๆพี่แกยังตักน้ำแกงจากกะละมังอื่นๆ มาให้ราดให้อีก สรุปว่าข้าวราดแกง ราคา ๓ เหรียญ มื้อนั้นฉันกินได้แค่ เหรียญครึ่งเท่านั้น เพราะรสชาดเท่ากับศูนย์

 

กว่ารถจะมา ฉันยังทำอะไรได้อีกตั้งเยอะ ได้เข้าห้องน้ำล้างหน้าตา ยืนยันว่าห้องน้ำของมาเลเซียที่ไหนๆก็สะอาดเสมอ และคนใช้บริการก็น้อย ไม่ต้องเข้าคิว จากนั้นฉันยังใช้เวลาเดินสอบถามเรื่องรถไปจารันตุดได้อีก เพราะอยากรู้ว่ามีรถคันอื่นอีกหรือเปล่าที่มุ่งหน้าไปทางนั้น เพราะในช่องขายตั๋วหลายช่องเขียนไว้ว่า “กัวลา ทาหาน” อันหมายถึงชื่อเมืองที่ตั้งของป่าทามัน เนการ่าคำตอบที่ได้คือ มีเพียงคันเดียว แต่ซื้อตั๋วได้หลายช่อง

 

ฉันไม่ได้เฉลียวใจอะไร ในชื่อกัวลาทาหาน ที่เขียนบอกไว้ เพราะจากการหาข้อมูลรู้แต่เพียงว่า ถนนไปป่าสามารถไปได้จนถึงเมือง “เตมเบอลิง” จากนั้นให้นั่งเรืออีก ๓ ชั่วโมง จึงจะไปถึง สำนักงานของป่าแห่งนั้น

 

ไม่เฉลียวใจกระทั่งว่า ตอนที่ขึ้นรถแล้ว และช่วงพักระหว่างทาง หนุ่มน้อยที่ร่วมนั่งโต๊ะ เขาบอกว่าบ้านเขาอยู่กัวลา ทาหาน เขากำลังจะกลับบ้าน และตอนรุ่งเช้า ที่รถบัสไปถึงเมืองจารันตุด ฉันและปิ๋นหอบของลงจากรถ แต่หนุ่มน้อยคนนั้น กับใครอีกหนึ่งคน ที่เป็นสองคนโดยสารสุดท้าย ยังอยู่บนรถที่มุ่งหน้าต่อไปยังปลายทาง

 

เป็นความเขลาของนักเดินทางแบบฉุกเฉิน ฉันอ่านข้อความที่บางคนโพสต์ไว้ในอินเตอร์เน็ต บอกว่ารัฐบาลมาเลเซียมีดำริที่จะสร้างถนนเข้าไปถึงสำนักงานใหญ่ของป่าทามัน เนการ่า แต่ถูกนักอนุรักษ์ต่อต้านไว้จนต้องยกเลิกไป ที่ไหนได้ เมื่อฉันมาถึงที่นี่ ถนนสายนั้นพรุนไปแล้วด้วยรอยล้อรถที่บดขยี้ จากแรงกดทับของน้ำหนักตัวนักท่องเที่ยวร่างใหญ่ผู้บินมาจากแดนไกลปีละนับล้านคน โง่จริงๆฉัน

 

 

 

ฉันพลาดรายละเอียดการเดินทาง เพราะเพิ่งตัดสินใจไปมาเลเซีย ตอนกลับมาบ้านที่นครศรีธรรมราช ในต้นเดือนสิงหาคม โดยทิ้งหนังสือไกด์บุคฉบับสำคัญไว้ที่ไร่ที่ขอนแก่น ทั้งเชื่อมั่นในข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตว่าทันสมัยที่สุด แต่สิ่งที่ลืมสนิทและคิดว่าไม่สำคัญคือ เรื่องที่พัก จนกระทั่งเป็นปัญหาจนแทบถอดใจ

 

การเดินทางครั้งนี้ ทำให้ฉันได้บทเรียนใหม่ ในเรื่องนิสัยไม่ยอมวางแผนจองที่พักล่วงหน้า โดยเฉพาะยุคสมัยที่ประชากรโลกล้นหลาม และยังบังอาจเสนอหน้าไปท่องเที่ยวในพื้นที่ที่ต้องแย่งกันกิน แย่งกันอยู่กับฝรั่ง ผู้เชี่ยวชาญการเดินทาง แม้จะเป็นแบคแพ็กเกอร์แบบเดียวกันก็ตาม

 

กว่ารถจะมาถึง ฉันต้องทนสูดดมควันหลง ที่โชยมาจากสิงห์อมควัน ชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่เดินเตร็ดเตร่ในชานชาลา จนมึนหัว เหม็นและมากกว่ากลิ่นจากท่อไอเสียของรถยนต์ที่จอดอยู่ด้วยซ้ำ

 

โอ้ว่า...ประเทศไทย ชายหนุ่มนักอมควันทั้งหลายของแผ่นดิน ฉันขอขอบคุณที่พวกท่านลดจำนวนลงมาก จนแทบจะหายากในบางพื้นที่ ขอบคุณที่ไม่ก่อมลภาวะจากความสุขแต่เพียงลำพังของท่าน แล้วก่อความทุกข์แก่ส่วนรวมเหมือนผู้ชายประเทศนี้

 

ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ

.................

 

(ขอประทานอภัย ภาพถ่ายไม่สวยเท่าที่ควรจะเป็น เพราะเป็นกล้องป๊อกแป๊ก คนถ่ายก็แป๋แป๋)

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
ฉันสังเกตดูรอบๆ บ้านหลังน้อยของลุงลี แทบไม่มีพืชผักที่พอจะเก็บกินได้ สงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมไม่ปลูก ในเมื่อแกเป็นคนเก่าแก่และเป็นคนเดียวที่อยู่ในป่านี้มานานถึง 20 กว่าปี ตอนที่ฉันได้หน่อกล้วยหอมพันธุ์ดีมาจากหนองคาย แกก็ยังอุตส่าห์เอาปุ๋ยขี้ควายมาให้ตั้งสามกระสอบ แถมยังสอนวิธีปลูกให้อีกด้วย เมื่อเห็นฉันลงมือขุดหลุมห่างๆ เพราะคิดว่าในอนาคตมันต้องแตกหน่อมาชนกันเอง แกกลับบอกว่าให้ชิดๆกันหน่อยจะดีกว่า เป็นแรงดึงดูดให้กล้วยโตเร็วขึ้น ฉันก็เอาตามนั้น ก้นหลุมกว้างลึกรองด้วยปุ๋ยมูลสัตว์สลับหญ้าแห้ง ดูเป็นวิชาการมากๆ ตามคำแนะนำของแกถามแกว่าจะเอาไปปลูกเองสักต้นไหม…
เงาศิลป์
ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเองหมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่…
เงาศิลป์
สวัสดีค่ะ ขาดหายไปนานสำหรับเรื่องของชะตากรรมคนขาหัก ขอสารภาพว่าที่ทิ้งช่วงห่างหายไปนานขนาดนี้ เพราะว่าขาดความเชื่อมั่นที่จะเขียน (อย่างรุนแรง) เนื่องจากรู้สึกว่าท่านผู้อ่านประชาไท ค่อนข้างมีภูมิปัญญาสูง แต่คนเขียนปัญญาต่ำ ครุ่นคิดอยู่นานว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไรดี ในท่ามกลางสภาพปัญหาการดิ้นรนรักษาตนเองและบางครั้งได้รับการดูแลอย่างไม่คาดคิด ค่ะ...ตอนนี้ขอสรุปรวบรัดเล่าให้ฟังว่า เกิดอะไรขึ้นในที่สุด.....หลายครั้งที่ได้พบและเรียนรู้เรื่องการดูแลสุขภาพจากผู้รู้ แต่ครั้งที่เป็นประสบการณ์ตรงที่สุดก็คือ การฝังเข็มจากพี่อ้อย (กัลยา ใหญ่ประสาน) รุ่นพี่ที่เคารพรัก เจ้าของร้านอาหารสุขภาพโขง-สาละวิน…
เงาศิลป์
วันเวลาที่ผ่านไป ฉันค่อยๆ คลายความกังวล แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดจะมาอยู่เป็นเพื่อนเกือบตลอดเวลา แต่วิชาเกลือจิ้มเกลือ เจ็บแก้เจ็บ ยังใช้ได้เสมอ (โปรดใช้วิจารณญาณในการนำไปทดลอง)และแล้วเหมือนกรรมบันดาล (อีกแล้ว) วันหนึ่ง ฉันได้เรียนรู้ว่า คนเราได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเพียงแค่ 60 – 70 % เท่านั้น ส่วนที่เหลือยังไม่เคยรู้จักมัน และปล่อยให้มายาคติบางอย่างครอบงำ โดยเฉพาะคำว่า “อย่าทำ” .... “ไม่ควรทำ”.....หรือ “ไม่เหมาะสมที่จะทำ” และอะไรอีกหลายความคิดที่ปิดกั้นโอกาสของตัวเองกลางเดือนตุลาคมของปีหนึ่ง ฉันเร่ร่อนลงเรือไปที่หาดไร่เล ตอนนั้นแทบว่าไม่มีคนไทยรู้จักหาดไร่เล นอกจากฮิปปี้และนักปีนผา (…
เงาศิลป์
การขึ้นภูกระดึงอย่างไร้ความพร้อม กลับทำให้ฉันได้สิ่งดีๆมากมายคุณนิมิตร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว ได้เขียนจดหมายน้อยอย่างไม่เป็นทางการ ให้ฉันถือไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่บนภู ที่เป็นเพื่อนกัน ในจดหมายเขียนว่า “ช่วยดูแลคนที่ถือจดหมายฉบับนี้ด้วย ตามสมควร” ที่อาคารลงทะเบียนบนภู ฉันยื่นจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ คะเนจากหน้าตา เขาคนนั้นคงมีอายุพอๆกับฉัน เมื่ออ่านจบเขามองหน้าฉันอย่างเฉยเมย บอกว่าบ้านพักเต็มหมดแล้ว เหลือแต่เต๊นท์  ฉันบอกว่าฉันตั้งใจจะพักเต๊นท์อยู่แล้ว“มากันกี่คน” น้ำเสียงห้วนๆ  ไม่รู้ทำไม“คุณเห็นกี่คนล่ะคะ คุณเห็นแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะค่ะ” ฉันตอบกึ่งยียวน…
เงาศิลป์
เช้าวันนี้….ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนพื้น ดูสวยงาม แต่ไม่นานมันจะถูกเรียกว่า “ขยะ” ด้วยเรียวไม้กวาดก้านมะพร้าว ค่อยๆลากให้มันมากองรวมกัน ทีละนิดรอยทรายเป็นเส้นลดเลี้ยวตามแนวกวาด ลีลาคล้ายบทกวีร้อยบท ที่มีเนื้อหาเดียว คือความสงบทุกเช้า ฉันจะอยู่กับมัน ทั้งไม้กวาด พื้นทรายและใบไม้ร่วงสายตาจับอยู่ที่พื้น..แต่ด้วยหางตา เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนถนนหน้าบ้าน  จากที่ยืนอยู่ ระยะทางราวร้อยก้าว เงาร่างเดินโยกเยก บดบังด้วยแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ จึงมุ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างช้าๆจึงเดินออกไปดูร่างล่ำสันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างลำบาก เขาใช้ไม้ยาวๆ ค้ำถ่อ ประคองร่างกายให้ขาตวัดสลับกันไป …
เงาศิลป์
“ฉันจะต้องไม่พิการ”ฉันคำรามหนักแน่นอยู่ในใจ ในคืนวันหนึ่ง เมื่อนอนอยู่ในท่าทีเอาขาขวาพาดไว้บนกำแพง เพื่อดัดขาไล่ความเมื่อยล้า จากงานหนักจากวันนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้เข่าของฉันเจ็บน้อยลง ฉันจะทำทันที เริ่มจากการค้นหาวิธีแก้ไข ควบคู่ไปกับการยอมรับความเจ็บปวดของขาข้างขวาว่าเป็นคู่แท้ของชีวิตปีแรก ฉันเดินกะเผลกแบบคนขาเป๋ เพราะขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย และยังไม่มีพละกำลัง เวลาเดินจึงเห็นว่าตัวเอียงมาก เป็นที่เวทนาตัวเองยามคนจ้องมอง ทำให้ฉันเข้าใจหัวอกคนพิการมากขึ้นแต่แล้ววันหนึ่ง เหมือนพระมาโปรด ฉันกลับมากรุงเทพฯ แล้วไปเยี่ยมเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัย ขณะนั่งอยู่ริมสนามฟุตบอล มองคนอื่นๆเล่นกิฬา อย่างเสียดาย…