Skip to main content

1

ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเอง

หมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่ นั่นคือเหตุผลที่ต้องตัดใจ และให้อภัยตัวเอง

แหงนหน้าดูดวงดาวที่พราวฟ้า ใครนะ ที่ช่างบอกว่าการดูดวงดาวเป็นความสุข อพิโถ...ฉันไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ความสุขของฉันสำหรับที่นี่คือการนั่งลงคุยกับเจ้าหมาน้อย ตอแยหยอกล้อกับมัน และการได้นอนหลับอย่างอบอุ่นสบายๆ ในคืนหนาวนั่นต่างหาก

เสียงนกหากินกลางคืนตะเบ็งร้องดังแก๊บ ๆ ๆ มาจากแนวต้นกุงสูงลิ่บลิ่วที่หน้ากระท่อม เสียงที่ใกล้ตัว สิ่งที่ใกล้ตาคือสัญญาณทั้งหลายที่ต้องนิ่งฟัง คืนไหนไม่มีเสียงนก ไม่มีแม้กระทั่งเสียงแมลง เป็นคืนที่ชวนหนาวในอกเป็นที่สุด  บางคืน..เสียงทั้งหลายที่ระเบ็งเซ็งแซ่อยู่รอบๆ กลับหยุดกึกเหมือนจังหวะดนตรีที่ถูกกำหนดให้เงียบเสียงโดยฉับพลัน รอเวลาโหมประโคมเครื่องอย่างครบครันอีกครั้ง ในนาทีต่อมา แต่ทว่าที่นี่กลับไม่ใช่เช่นนั้น มันคือความเงียบที่ยาวนาน เงียบจนวังเวง  จนขนหัวลุก ไม่มีที่ใดๆ ที่จะเงียบได้เท่านี้อีกแล้วบนโลกนี้ ฉันต้องค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เพราะกลัวว่าเสียงหายใจจะดังเกินไปจนความเงียบนั้นได้ยิน และมันอาจค้นหาฉันจนเจอ แม้ฉันจะนอนอยู่ในมุ้งในห้องหับที่มิดชิดก็ตาม

ที่นี่ คือโนนหมู่บ้านเก่า ที่คนละแวกนี้เรียกว่า “โนนบ้านคึม” มีเรื่องเล่ามากมายที่หลายคนไม่อยากจะพูดถึง แต่ฉันก็ยังพอจะรู้บ้างว่า สาเหตุที่ต้องกลายเป็นบ้านร้างเพราะว่า เมื่อ 40 ปี ก่อนนั้น มีการปล้นและฆ่าตายทั้งบ้าน ทางราชการจึงมาขอร้องให้ย้ายไปอยู่ริมถนนใหญ่ เหลือพื้นที่ทำกินเอาไว้ ที่พวกเขาแวะเวียนมาเมื่อถึงฤดูเพาะปลูกเท่านั้น การที่ฉันมาลงหลักปักฐานสร้างบ้านหลังน้อยอยู่ในนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับใครๆ ที่รับรู้ โดยเฉพาะแม่ค้าในตลาดตามหมู่บ้านใกล้เคียง ที่มักจะต้องถามว่า “มาจากไหน” พอฉันตอบว่า “มาจากโนนบ้านคึม” ทุกคนจะตกใจ ร้องว่า “โอ้ อยู่ได้ยังไงน่ะ”

ทีแรกฉันไม่รู้ว่า พวกเขาหมายความว่าอย่างไร แต่เมื่ออยู่นานไป ฉันเริ่มได้คำตอบ จนบางครั้งฉันต้องถามตัวเองว่า “คิดถูกหรือผิดกันแน่ที่มาอยู่ที่นี่” คำตอบที่ให้กับตัวเองคือ “ไม่ผิดหรอก เพราะถึงจะไม่ใช่ที่นี่ ฉันคงอยู่ที่ไหนสักแห่งที่มีสภาพไม่แตกต่างกัน” ฉันรู้จักตัวเองดี อะไรที่ง่ายดายฉันมักไม่ค่อยเลือกทำ วิญญาณนักผจญภัยตกยุคมันยังสิงฉันอยู่

คืนนี้ ลมหนาวชื่นโชยผ่านผิวเป็นระลอก สูดลึกเข้าไปในอกอย่างช้าๆ เพื่อเยียวยาความปวด...ล้า ของร่างกาย

“ฉันเหนื่อย” รำพึงกับตัวเองเบาๆ อยู่ข้างใน เหนื่อยล้ากายแต่ใจแกร่งจะเป็นไรไป อีกใจตอบรับ ในเมื่อเพื่อนร่วมทุกข์ยังมีอีกเยอะแยะ โดยเฉพาะชาวไร่แถวนี้ พวกเขายังทุกข์ทั้งกายทั้งใจสาหัสกว่าฉันนัก

เมื่อวานนี้ น้องแดงสาวชาวไร่อ้อย แปลงที่อยู่ทางทิศใต้ของไร่ฉัน ขาดทุนไปแล้วล่ะ เพราะเธอต้องเช่าที่ดิน ต้องจ้างรถไถใหญ่มาไถที่ ต้องจ้างคนดายหญ้า ต้องจ้างคนตัดอ้อย ต้องจ้างคนขึ้นอ้อย (เอาอ้อยขึ้นรถบรรทุก) ต้องจ้างรถบรรทุก ต้องซื้อยาฆ่าหญ้า ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเงิน เงิน และเงินที่ต้องจ่าย ตกแล้วต้นทุนไร่ละไม่ต่ำกว่า 4,500 บาท แต่ได้ผลผลิตไร่ละ ไม่ถึง 10 ตัน หรือได้เงินไร่ละไม่เกิน 6,000 บาท เรียกว่าเสียแรงเปล่า แถมยังเสียความรู้สึกที่ความฝันว่าจะได้กำเงินแสนต้องล่มสลายลงกลางแดดหนาว

“ก็รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลชั่วคราว เขาก็บริหารแบบชั่วคราว ไม่ได้สนใจชาวไร่ชาวนาจริงๆ ไม่เหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ ราคาอ้อยได้ตั้ง 800 ถึง 900 บาท”

นั่นคือข้อสังเกตของตาเก้ คนปลูกอ้อยอีกราย น้ำเสียงของเขาฟังดูแหบแห้งไร้ความหวัง เมื่อสะท้อนสภาพความเชื่อที่มีอยู่ในใจ ฉันนึกถึงใบไม้ที่ผุเปื่อย ที่ในที่สุดยังมีคุณค่าต่อแผ่นดินอีกครั้งเมื่อปลิดขั้วร่วงลงดิน เขาไม่ได้กล่าวยกย่องอดีตนายกฯคนนั้นมากไปกว่านี้ แต่ฉันเห็นเยื่อใยในน้ำเสียง ใช่สินะ...อะไรจะมัดใจคนได้มากไปกว่ารูปธรรมของผลประโยชน์ ที่พวกเขาได้รับ

มุมมองของคนหาเช้ากินค่ำ คล้ายคนกำลังจะจมน้ำ แค่ขอนเล็กๆลอยมาใกล้เขาต้องคว้าเอาไว้ แม้ขอนนั้นจะเป็นเคลือบยาพิษชนิดกัดผิวอย่างรุนแรง หรือการแตะต้องอาจทำให้พิษกระจายทั่วสายน้ำ ใครเล่าจะหยุดฟังเสียงห้าม ที่ยืนตะโกนอยู่บนฝั่งแต่ไม่เคยลงมือช่วยเหลืออะไรเลย แถมยังบอกว่า “ว่ายเข้ามาซี ว่ายเข้ามา ฝั่งอยู่ทางนี้”

ฝั่งน่ะรู้จัก แต่เรี่ยวแรงจวนจะหมดสิ้นแล้ว ท่านรู้บ้างไหม

2

ฉันคิดย้อนไปไกลทั้งกระบวน ขณะที่มองภาพของตาเก้ที่ยืนนิ่ง เบื้องหลังมีเปลวไฟลุกโพลงประทุเปรี๊ยะๆ ไหม้ลามเลียใบอ้อยแห้งแผ่วงกว้างออกไปเรื่อยๆ  ยิ่งทำให้นึกถึง “เวทีสัมมนาเรื่องโลกร้อนที่เกาะบาหลี”

เขาเป็นอีกคนที่ยังทนทานทำในสิ่งที่กลืนกินความหวังของตัวเองให้ร่อยหรอลงไปทุกปี โชคดีว่าเขายังมีที่ดิน มีรถแทรกเตอร์เป็นของตัวเอง ที่ได้มันมาครอบครองในสมัยที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ต้นทุนจึงต่ำกว่าของน้องแดง

การทำไร่อ้อยของเขาไม่ต้องพูดว่าเพื่อจะร่ำรวย ขอแค่ปลดหนี้สินได้สักปีก็น่าจะเป็นบันไดไปสู่สวรรค์ ถามว่าทำไมไม่ลองปลูกพืชชนิดอื่นที่เป็นไม้ยืนต้น คำตอบคือ “ไม่มีเงินทุน” แต่ฉันรู้ว่าเบื้องหลังคำตอบยังมีเหตุผลอีกหลายอย่างที่ละเอียดอ่อน ยากที่ล้วงลึก โดยเฉพาะหนี้สินที่มีดอกเบี้ยงอกงามรวดเร็วกว่าดอกผลใดๆ

ทำไมเขาจึงยากจน ทำไมเขาเป็นหนี้ ไม่ต้องค้นหาสาเหตุกันนักหรอก ถ้าเพียงยอมรับความจริงว่า “คนชนบทขายถูกและซื้อแพงกว่าเสมอ” แค่นี้ก็เห็นแล้วสังคมทุนนิยมไม่เคยปราณีเหยื่อของมันเลยแม้แต่คนเดียว

หากเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงงาน เมื่อรู้ว่ากำลังขาดทุน อาจปิดโรงงาน ลอยแพคนงานให้ตกระกำลำบาก จนรัฐบาลต้องยื่นมือมาช่วย แต่ชาวสวนชาวไร่ทั้งหลาย ทำได้อย่างดีที่สุดก็แค่ลงมือทำซ้ำ ตราบใดที่ยังมีที่ดิน มีแหล่งกู้เงินให้กู้มาลงทุนเพิ่ม จนในที่สุด ต้องขายที่ดินเพื่อใช้หนี้ แล้วเร่ร่อนไปเป็นแรงงานรับจ้าง ตามวิถีทางแห่งโลกาวิบัติ

ในเวลานี้เราลุกขึ้นมาพูดเรื่องสภาวะโลกร้อน ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นได้ โปรดจริงใจในการช่วยกันดับไฟ “ในหัวอกหัวใจ” ของชาวไร่ชาวนา กันเสียก่อนเถิดพี่น้องเอ๋ย

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
เช้านี้...ไร้เรี่ยวแรงที่จะทำงาน จึงต่อสายไฟจากหม้อแบตเตอรี่รถแทรคเตอร์ เพื่อเปิดทีวีขนาดสิบสี่นิ้ว ฟังดูข่าวคราวของโลกกว้าง พบว่าราคาน้ำมันยังพุ่งลิ่ว ผู้คนในหลายประเทศตายเกลื่อนเพราะภัยพิบัติ ขณะที่ฉันกำลังทรมานใจกับความผิดบาปของตัวเอง เนื่องจากการทำงานเมื่อวานนี้... งูลายทางยาวๆ สีดำ ตัวโตขนาดข้อมือเด็กๆ กำลังบิดตัวขยับร่างให้เคลื่อนไหวต่อไปข้างหน้า มันผงกหัวออกแรงพุ่ง แต่ลำตัวกลับติดตายอยู่บนพื้นดิน ท่อนกลางและท่อนหางถูกตัดออกจนเกือบขาด มีเจ้าหมาหนุ่มสองตัวของฉันกำลังเอาตีนเขี่ยให้มันเคลื่อนไหวอย่างล้อเล่น
เงาศิลป์
กลีบดอกไม้ป่าร่วงผลอยไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเท่าทันกับฤดูฝนที่มาถึง ราวป่าท้ายไร่จึงเขียวขจีชุ่มชื่นแผ่ผ่านความสดใสมาถึงหัวใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียง“ไปทำบุญที่ยอดห้วยกันเถอะ”ยายแดงตะโกนเรียกมาจากบนรถอีแต๊ก ที่ควบปุเลงๆผ่านหน้าไร่ฉันไปอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับต้นหญ้าเล็กๆที่หน้าบ้าน
เงาศิลป์
เสียงลมอื้ออึง ปลุกฉันจากความหลับใหลที่เนื่องมาจากความอ่อนล้าโรยแรงฉันตื่นกลัวจนกระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจ ผุดนั่งอย่างลืมตัวผืนผ้าใบที่ชายคาเสียงดังพึ่บ มันสะบัดปลายจนเรือนไม้หลังน้อยสะเทือนไหว เงี่ยหูฟังเสียงลมที่กำลังมุ่งหน้ามามันมีกำลังแรงขึ้นและแรงขึ้นอย่างรวดเร็วแสงสว่างวาบลอดเข้ามาตามช่องฝาผนัง  ฉันกอดอกด้วยความหวาดกลัว  และแล้ว ..เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ “ฉันมาทำอะไรที่นี่” เสียงครางอยู่ข้างในถามไถ่ตัวเองอย่างน่าสงสารน้อยครั้งนักที่ฉันจะหวาดกลัวอะไร หรือจะคิดจินตนาการอะไรๆ ที่เป็นเรื่องร้ายๆ ต่อชีวิต แม้ในท่ามกลางวิกฤติ เพราะฉันมีความเชื่อว่าพระจะต้องคุ้มครองฉันเสมอ …
เงาศิลป์
“มันจะได้ผลหรือคุณ” น้ำเสียงต่ำๆ แกมรอยยิ้มที่ริมปาก ทำให้ฉันฉุนกึกอยู่ข้างใน แต่ต้องฝืนตอบออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะนับเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ตาลีถามฉันอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของแกซะหน่อย“ได้ผลสิ ที่บ้านที่ใต้ทำใช้อยู่ประจำ”เรากำลังสนทนาถึงน้ำหมักชีวภาพที่ฉันทำไว้ใช้เอง บรรจุในถังพลาสติกใบใหญ่และนำออกมารดพื้นดินแทบทุกครั้งที่ฝนตกชุ่ม ความหวังที่จะฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อให้ไส้เดือนคืนถิ่นของฉัน ดูช่างยาวไกลราวกับนักเดินทน ที่ต้องเดินรอบโลกหลายรอบ เผลอๆอาจหมดแรงตายเสียก่อนที่จะครบรอบแรกด้วยซ้ำ
เงาศิลป์
“โชค ไปเที่ยวในป่ากันดีกว่า น้าได้กลิ่นดอกไม้หอม”เขาพยักหน้า วางเครื่องมือทำงานไว้ในที่ร่มแล้วคว้าขวดน้ำดื่มติดมือมาแทน เจ้าหมาหนุ่มสองตัวรีบมุ่งหน้ามาสมทบโดยไม่ต้องส่งเสียงเรียก เพราะการเคลื่อนไหวของเราอยู่ในสายตาของมันเสมอแค่เอื้อมเท่านั้น...ที่ฉันจะหาความสุขอันลึกซึ้งได้ แต่บ่อยครั้งที่ฉันแข็งใจไม่แวะเข้าไปในป่า เนื่องจากงานในไร่กำลังเร่งรีบ และยามนี้เป็นเวลาปิดเทอมใหญ่ “โชค” จึงมีเวลามาช่วยงานได้เต็มวัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เป็นครูสอนงานที่ดีให้แก่ฉันในบางกรณี และพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้งานได้อย่างน่าชื่นชม ฉันแอบดูเขาทำงาน มองร่างผ่ายผอมในวัยเพียงสิบห้าปี…
เงาศิลป์
แสงไฟสีส้มดวงเล็กๆ ดาหน้ากันเข้ามาจากทุกทิศทาง ยกเว้นจากส่วนที่เป็นด้านหลังไร่ เพราะนั่นคือป่าชุมชนผืนใหญ่ ที่เป็นเป้าหมายของการไปสู่ของแสงไฟเหล่านั้น ดูแล้วน่าตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อตอนเย็นนี้ฉันนึกถึงแนวรั้วลวดหนามด้านท้ายไร่ ที่เสร็จไปครึ่งทางแล้ว ด้วยฝีมือของตาลี “เราทำรั้วกั้นที่ของเรา ไม่มีใครเขามาว่าได้หรอก อีกหน่อยพอฝนตกชุก คุณต้องทำประตูกั้นทางเข้าไร่ด้วยนะ ทำรั้วง่ายๆพอเป็นที่เข้าใจว่าถนนที่ตรงมาทางนี้คือทางส่วนบุคคล ไม่ใช่ทางสาธารณะ” แกย้ำถึงความจำเป็น เพราะฉันเคยลังเลกลัวว่าจะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องเดินอ้อมไปไกลจึงจะไปถึงป่าชุมชนนั้นได้…
เงาศิลป์
การใช้ชีวิตในบ้านไร่ชายป่า บางครั้งทำให้ฉันถามตัวเองว่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิตด้วยหรือเปล่า แต่แล้วก็มีบางเรื่องราวมาคลี่คลายเป็นคำตอบให้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับคำถามใดๆ ทั้งสิ้น.......สวัสดีค่ะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะหนูชื่อทรายนะคะ บังเอิญเข้ามาอ่านเจอพอดี พี่ทำงานกับป๊าหนูด้วยเหรอค่ะ (ยงยุทธ ตรีนุชกร) แต่พ.ศ.31 หนูเพิ่งจะเกิดเอง คงไม่รูจักพี่แน่เลย!! แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่นะค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย เพราะหนูเรียนแพทย์แผนไทยอยู่ ก็เลยรู้สึกดีที่มีคนชอบการรักษาแบบแผนไทยเหมือนกัน ขอให้พี่หายเร็วๆ นะคะ แล้วก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะคะ……………………….
เงาศิลป์
มือขวาที่บวมเบ่ง ความสากกร้านที่ห่อหุ้มยิ่งทำให้มือนั้นดูเทอะทะ เจ้าของมือยังมีเค้าความสวยงาม แม้วัยล่วงเลยจนเป็นย่าคนแล้ว เธอยังต้องทำงานหนัก จนกระทั่งบาดเจ็บ
ฉันค่อยๆลูบยาหม่องสูตรเข้มข้นที่ปรุงเอง ความร้อนของน้ำมันสมุนไพรคงพอบรรเทาอาการ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดในการเยียวยาคือให้พักงาน หยุดใช้มือนั้นทำงานสักระยะ  เธอยิ้มตอบคำแนะนำอย่างสดใส บนใบหน้ากร้านแดด บอกว่าทำไม่ได้หรอก งานมีเยอะแยะ หนี้สินอีกมากมายจะหยุดทำงานได้อย่างไร“นี่ก็เปลี่ยนกันทำงาน ให้ตาเก้ไปรับจ้างไถไร่เพิ้น เอาเงินมาซื้อน้ำมันสูบน้ำใส่ไร่อ้อย ข้อยกะต้องมาเลี้ยงวัวแล้วกะเสียหญ้าอ้อยไปนำ” ฉันคลึงเบาๆที่นิ้วกลางอันบวมช้ำ…
เงาศิลป์
“ต้นไม้ไม่ต้องการคำภาวนา มันต้องการน้ำ” อาการห่อเหี่ยวของเรียวใบยังคงอยู่ บางต้นปลิดใบสีน้ำตาลร่วงพราวเกลื่อนพื้น........แม้แต่ความรัก ก็ยากจะเยียวยา.....ไม่ว่าฉันจะพูดปลอบประโลมอย่างไร มันก็ไม่อาจฟื้นคืนมาสู่ความสดใสได้อีกแล้วฉันสิ ที่ต้องคร่ำครวญและพาลโมโหตัวเองที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวสวน แต่ไม่เคยมีวิชาทำสวนติดตัวสักกระผีกริ้น สิ้นลมหายใจพ่อ เหมือนสิ้นคู่มือชีวิต เรื่องของต้นไม้และเม็ดดินกลายเป็นความลี้ลับ ที่ต้องใช้เวลา และสติปัญญา มาถอดรัสลับ ซึ่งไม่รู้ว่าชาตินี้ฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ของต้นไม้แต่ละชนิดแม้เวลานี้ ยังได้ชื่อว่าเป็น “ฤดูหนาว”…
เงาศิลป์
ดนตรีแห่งฤดูกาล กำลังเปลี่ยนผ่านจังหวะไปสู่ความรุนแรงร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังหลอกล่อหัวใจผู้คนด้วยจังหวะผ่อนแผ่วของไอหนาว เมื่อคืน ฉันเผลอเรอลืมห่อห่มร่างกายให้อบอุ่น จึงถูกไข้หวัดจู่โจม จะเรียกว่าเป็นความอ่อนแอของร่างกายหรือว่าเป็นความแข็งแรงอันร้ายกาจของไวรัสก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะรอบทิศทางของไร่ มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ทุกคืน การเผาซากอ้อยจึงกลายเป็นฤดูกาลเผาไร่...ฤดูกาลใหม่ของที่นี่ถ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไกลลิบนั่น คงเห็นรอยไฟลามเลียเป็นหย่อมๆ แผ่กระจายไปทั่ว คล้ายสัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงเคลื่อนไหวเพยิบกลืนกินผิวโลกจนไหม้เกรียม และทุกหัวค่ำ ยังมีของแถมเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง…
เงาศิลป์
 ริ้วสีชมพูอมส้ม กระจ่างจ้าที่ริมขอบฟ้า ดุจแก้มใสปลั่งของสาวน้อย ไรแสงสาดจับจ้าบนท้องฟ้าเหนือศรีษะ งดงามตระการ ฉันยืนมองแสงสีตรงหน้า ที่แปรเปลี่ยนไปทีละนิดๆ อย่างโปร่งโล่งในอารมณ์ สูดลมหายใจยาว นำเอาความสดชื่นไปกักเก็บไว้เต็มปอด สัมผัสความเย็นชุ่มที่ล่วงลึกลงภายใน ผิดกับผิวกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวสีทึมเนื้อหนานุ่ม เพียงผิวหน้าเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับละไอหมอกหนาลอยเรี่ยพื้น ความหนาวเย็น ไม่ใช่มิตรที่ดีนัก ไม่ควรใกล้ชิดจนเกินไป ร่างกายมันบอกให้ฉันอย่างนั้น เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นทั้งกายใจ งานหนักในไร่กลายเป็นคุณแก่ชีวิต…
เงาศิลป์
“เจ้าสองตัวนี่ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ ดูที่อุ้งตีนมันสิ ใหญ่กว่าหมาทั่วไป” ลุงเจนบอก เมื่อเราเดินเล่นไปจนถึงนาของแก เสียงลิ้นตวัดน้ำในสระดังขวับ ๆ ๆ เพราะความหิวกระหาย มันคงเหนื่อยอ่อนทีเดียวเพราะต้องเดินดั้นด้นมุดกอหญ้าที่ท่วมตัว ดีว่ามีกันสองตัวพี่น้องจึงพอสนุกสานหยอกล้อไล่กัดกันไปพลาง ชวนขุดหามดหาแมลงกินกันไปพลาง ระยะทางเกือบกิโลเมตรจึงพอเดินสบายๆ ในยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ฉันมีเจ้าสองตัวเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาได้สิบกว่าวัน อายุของมันทั้งสองราวๆ 2 เดือนกว่า กำลังกินกำลังซนและมันทั้งคู่ต่างประกาศนิสัยส่วนตัวออกมาอย่างชัดเจน  เจ้าเสือตัวโตกว่าเพราะกินเก่งกว่า ขี้เล่น ห้าวหาญ…