Skip to main content

1

ฟืนท่อนใหญ่ถูกซุนเพิ่มเข้าไปอีกท่อน มันเป็นไม้ส้มเสี้ยวที่ถูกโค่นล้มลงเพราะขวางทางรถยนต์คันใหญ่ คนตัดบอกว่าไม้ชนิดนี้ยากที่จะแปรรูปเพราะเนื้อไม้บิดเป็นเกลียว ฉันจึงขอให้เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อจะใช้ประโยชน์ตามแต่จะคิดได้ แต่พอลมหนาวทายทักแข็งขันมากขึ้น ฉันต้องตัดใจตัวเองจนเลือดซิบ ขณะที่ก้มลงลากมันมาใส่ไฟอย่างยากเย็น เพราะทั้งหนักและเสียดาย และรู้สึกผิดต่อตัวเอง

หมาน้อยสองตัวต้องการความอบอุ่นตลอดคืน ฉันเองก็ต้องการ แม้จะมีผ้าห่มแต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกันหนาวได้ การใช้ฟืนดุ้นเล็กๆ คือภาระที่ต้องลุกขึ้นมาใส่ไฟเกือบตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันคงไม่มีเรี่ยวแรงเหลือไว้ทำงานในไร่ยามกลางวันอีกเป็นแน่ นั่นคือเหตุผลที่ต้องตัดใจ และให้อภัยตัวเอง

แหงนหน้าดูดวงดาวที่พราวฟ้า ใครนะ ที่ช่างบอกว่าการดูดวงดาวเป็นความสุข อพิโถ...ฉันไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ความสุขของฉันสำหรับที่นี่คือการนั่งลงคุยกับเจ้าหมาน้อย ตอแยหยอกล้อกับมัน และการได้นอนหลับอย่างอบอุ่นสบายๆ ในคืนหนาวนั่นต่างหาก

เสียงนกหากินกลางคืนตะเบ็งร้องดังแก๊บ ๆ ๆ มาจากแนวต้นกุงสูงลิ่บลิ่วที่หน้ากระท่อม เสียงที่ใกล้ตัว สิ่งที่ใกล้ตาคือสัญญาณทั้งหลายที่ต้องนิ่งฟัง คืนไหนไม่มีเสียงนก ไม่มีแม้กระทั่งเสียงแมลง เป็นคืนที่ชวนหนาวในอกเป็นที่สุด  บางคืน..เสียงทั้งหลายที่ระเบ็งเซ็งแซ่อยู่รอบๆ กลับหยุดกึกเหมือนจังหวะดนตรีที่ถูกกำหนดให้เงียบเสียงโดยฉับพลัน รอเวลาโหมประโคมเครื่องอย่างครบครันอีกครั้ง ในนาทีต่อมา แต่ทว่าที่นี่กลับไม่ใช่เช่นนั้น มันคือความเงียบที่ยาวนาน เงียบจนวังเวง  จนขนหัวลุก ไม่มีที่ใดๆ ที่จะเงียบได้เท่านี้อีกแล้วบนโลกนี้ ฉันต้องค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เพราะกลัวว่าเสียงหายใจจะดังเกินไปจนความเงียบนั้นได้ยิน และมันอาจค้นหาฉันจนเจอ แม้ฉันจะนอนอยู่ในมุ้งในห้องหับที่มิดชิดก็ตาม

ที่นี่ คือโนนหมู่บ้านเก่า ที่คนละแวกนี้เรียกว่า “โนนบ้านคึม” มีเรื่องเล่ามากมายที่หลายคนไม่อยากจะพูดถึง แต่ฉันก็ยังพอจะรู้บ้างว่า สาเหตุที่ต้องกลายเป็นบ้านร้างเพราะว่า เมื่อ 40 ปี ก่อนนั้น มีการปล้นและฆ่าตายทั้งบ้าน ทางราชการจึงมาขอร้องให้ย้ายไปอยู่ริมถนนใหญ่ เหลือพื้นที่ทำกินเอาไว้ ที่พวกเขาแวะเวียนมาเมื่อถึงฤดูเพาะปลูกเท่านั้น การที่ฉันมาลงหลักปักฐานสร้างบ้านหลังน้อยอยู่ในนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับใครๆ ที่รับรู้ โดยเฉพาะแม่ค้าในตลาดตามหมู่บ้านใกล้เคียง ที่มักจะต้องถามว่า “มาจากไหน” พอฉันตอบว่า “มาจากโนนบ้านคึม” ทุกคนจะตกใจ ร้องว่า “โอ้ อยู่ได้ยังไงน่ะ”

ทีแรกฉันไม่รู้ว่า พวกเขาหมายความว่าอย่างไร แต่เมื่ออยู่นานไป ฉันเริ่มได้คำตอบ จนบางครั้งฉันต้องถามตัวเองว่า “คิดถูกหรือผิดกันแน่ที่มาอยู่ที่นี่” คำตอบที่ให้กับตัวเองคือ “ไม่ผิดหรอก เพราะถึงจะไม่ใช่ที่นี่ ฉันคงอยู่ที่ไหนสักแห่งที่มีสภาพไม่แตกต่างกัน” ฉันรู้จักตัวเองดี อะไรที่ง่ายดายฉันมักไม่ค่อยเลือกทำ วิญญาณนักผจญภัยตกยุคมันยังสิงฉันอยู่

คืนนี้ ลมหนาวชื่นโชยผ่านผิวเป็นระลอก สูดลึกเข้าไปในอกอย่างช้าๆ เพื่อเยียวยาความปวด...ล้า ของร่างกาย

“ฉันเหนื่อย” รำพึงกับตัวเองเบาๆ อยู่ข้างใน เหนื่อยล้ากายแต่ใจแกร่งจะเป็นไรไป อีกใจตอบรับ ในเมื่อเพื่อนร่วมทุกข์ยังมีอีกเยอะแยะ โดยเฉพาะชาวไร่แถวนี้ พวกเขายังทุกข์ทั้งกายทั้งใจสาหัสกว่าฉันนัก

เมื่อวานนี้ น้องแดงสาวชาวไร่อ้อย แปลงที่อยู่ทางทิศใต้ของไร่ฉัน ขาดทุนไปแล้วล่ะ เพราะเธอต้องเช่าที่ดิน ต้องจ้างรถไถใหญ่มาไถที่ ต้องจ้างคนดายหญ้า ต้องจ้างคนตัดอ้อย ต้องจ้างคนขึ้นอ้อย (เอาอ้อยขึ้นรถบรรทุก) ต้องจ้างรถบรรทุก ต้องซื้อยาฆ่าหญ้า ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเงิน เงิน และเงินที่ต้องจ่าย ตกแล้วต้นทุนไร่ละไม่ต่ำกว่า 4,500 บาท แต่ได้ผลผลิตไร่ละ ไม่ถึง 10 ตัน หรือได้เงินไร่ละไม่เกิน 6,000 บาท เรียกว่าเสียแรงเปล่า แถมยังเสียความรู้สึกที่ความฝันว่าจะได้กำเงินแสนต้องล่มสลายลงกลางแดดหนาว

“ก็รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลชั่วคราว เขาก็บริหารแบบชั่วคราว ไม่ได้สนใจชาวไร่ชาวนาจริงๆ ไม่เหมือนสมัยรัฐบาลทักษิณ ราคาอ้อยได้ตั้ง 800 ถึง 900 บาท”

นั่นคือข้อสังเกตของตาเก้ คนปลูกอ้อยอีกราย น้ำเสียงของเขาฟังดูแหบแห้งไร้ความหวัง เมื่อสะท้อนสภาพความเชื่อที่มีอยู่ในใจ ฉันนึกถึงใบไม้ที่ผุเปื่อย ที่ในที่สุดยังมีคุณค่าต่อแผ่นดินอีกครั้งเมื่อปลิดขั้วร่วงลงดิน เขาไม่ได้กล่าวยกย่องอดีตนายกฯคนนั้นมากไปกว่านี้ แต่ฉันเห็นเยื่อใยในน้ำเสียง ใช่สินะ...อะไรจะมัดใจคนได้มากไปกว่ารูปธรรมของผลประโยชน์ ที่พวกเขาได้รับ

มุมมองของคนหาเช้ากินค่ำ คล้ายคนกำลังจะจมน้ำ แค่ขอนเล็กๆลอยมาใกล้เขาต้องคว้าเอาไว้ แม้ขอนนั้นจะเป็นเคลือบยาพิษชนิดกัดผิวอย่างรุนแรง หรือการแตะต้องอาจทำให้พิษกระจายทั่วสายน้ำ ใครเล่าจะหยุดฟังเสียงห้าม ที่ยืนตะโกนอยู่บนฝั่งแต่ไม่เคยลงมือช่วยเหลืออะไรเลย แถมยังบอกว่า “ว่ายเข้ามาซี ว่ายเข้ามา ฝั่งอยู่ทางนี้”

ฝั่งน่ะรู้จัก แต่เรี่ยวแรงจวนจะหมดสิ้นแล้ว ท่านรู้บ้างไหม

2

ฉันคิดย้อนไปไกลทั้งกระบวน ขณะที่มองภาพของตาเก้ที่ยืนนิ่ง เบื้องหลังมีเปลวไฟลุกโพลงประทุเปรี๊ยะๆ ไหม้ลามเลียใบอ้อยแห้งแผ่วงกว้างออกไปเรื่อยๆ  ยิ่งทำให้นึกถึง “เวทีสัมมนาเรื่องโลกร้อนที่เกาะบาหลี”

เขาเป็นอีกคนที่ยังทนทานทำในสิ่งที่กลืนกินความหวังของตัวเองให้ร่อยหรอลงไปทุกปี โชคดีว่าเขายังมีที่ดิน มีรถแทรกเตอร์เป็นของตัวเอง ที่ได้มันมาครอบครองในสมัยที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ต้นทุนจึงต่ำกว่าของน้องแดง

การทำไร่อ้อยของเขาไม่ต้องพูดว่าเพื่อจะร่ำรวย ขอแค่ปลดหนี้สินได้สักปีก็น่าจะเป็นบันไดไปสู่สวรรค์ ถามว่าทำไมไม่ลองปลูกพืชชนิดอื่นที่เป็นไม้ยืนต้น คำตอบคือ “ไม่มีเงินทุน” แต่ฉันรู้ว่าเบื้องหลังคำตอบยังมีเหตุผลอีกหลายอย่างที่ละเอียดอ่อน ยากที่ล้วงลึก โดยเฉพาะหนี้สินที่มีดอกเบี้ยงอกงามรวดเร็วกว่าดอกผลใดๆ

ทำไมเขาจึงยากจน ทำไมเขาเป็นหนี้ ไม่ต้องค้นหาสาเหตุกันนักหรอก ถ้าเพียงยอมรับความจริงว่า “คนชนบทขายถูกและซื้อแพงกว่าเสมอ” แค่นี้ก็เห็นแล้วสังคมทุนนิยมไม่เคยปราณีเหยื่อของมันเลยแม้แต่คนเดียว

หากเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงงาน เมื่อรู้ว่ากำลังขาดทุน อาจปิดโรงงาน ลอยแพคนงานให้ตกระกำลำบาก จนรัฐบาลต้องยื่นมือมาช่วย แต่ชาวสวนชาวไร่ทั้งหลาย ทำได้อย่างดีที่สุดก็แค่ลงมือทำซ้ำ ตราบใดที่ยังมีที่ดิน มีแหล่งกู้เงินให้กู้มาลงทุนเพิ่ม จนในที่สุด ต้องขายที่ดินเพื่อใช้หนี้ แล้วเร่ร่อนไปเป็นแรงงานรับจ้าง ตามวิถีทางแห่งโลกาวิบัติ

ในเวลานี้เราลุกขึ้นมาพูดเรื่องสภาวะโลกร้อน ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นได้ โปรดจริงใจในการช่วยกันดับไฟ “ในหัวอกหัวใจ” ของชาวไร่ชาวนา กันเสียก่อนเถิดพี่น้องเอ๋ย

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…