Skip to main content

มอญ เป็นชนชาติเก่าแก่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เคยมีรัฐเอกราชปกครองตนเองอยู่ตอนใต้ของประเทศพม่า ปัจจุบันอยู่ในฐานะชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่า ขณะที่มอญส่วนหนึ่งได้อพยพเข้ามายังดินแดนไทย และมีฐานะเป็นชนกลุ่มน้อยเช่นเดียวกัน ชนชาติมอญ มีประวัติศาสตร์และอารยธรรมสืบเนื่องมายาวนาน แม้ปัจจุบันจะไม่มีรัฐปกครองตนเอง แต่วัฒนธรรมมอญทางด้านศาสนา ภาษา วรรณคดี สถาปัตยกรรม นาฏศิลป์ ดนตรี ความเชื่อและประเพณีพิธีกรรมของชนชาติในภูมิภาคนี้ ล้วนได้รับอิทธิพลจากมอญ

\\/--break--\>
วัฒนธรรมมอญได้ส่งอิทธิพลทั้งต่อวัฒนธรรมไทยและพม่า เมื่อระยะเวลาผ่านไปวัฒนธรรมไทยและพม่าที่ได้รับอิทธิพลจากมอญได้มีพัฒนาการขึ้นตามลำดับ และได้ส่งผ่านคืนมาสู่มอญด้วย ปัจจุบันจึงจำแนกได้ยากว่ารูปแบบใดคือวัฒนธรรมมอญ ไทย หรือพม่า ที่ได้รับอิทธิพลจากมอญผ่านการปรับเปลี่ยนแล้ว การเรียนรู้เรื่องมอญในประเทศไทยมีผู้ศึกษาไว้ค่อนข้างมาก ในขณะที่ฝั่งประเทศพม่ายังไม่มีผู้ศึกษาอย่างจริงจัง ซึ่งต้องยอมรับว่าวัฒนธรรมมอญมีอิทธิพลเหนือพม่า และได้ส่งผ่านไปยังชนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยระยะเวลาต่อมา ดังนั้นหากมีการศึกษาเรื่องมอญในประเทศพม่า จะทำให้สังคมไทยเกิดความเข้าใจพม่า ทั้งด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ตลอดจนชนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ที่ปัจจุบันได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับสังคมไทยไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ การรู้จักเพื่อนบ้านอย่างประเทศพม่า จึงเท่ากับเป็นการเรียนรู้ตัวเอง อันจะเป็นประโยชน์ทั้งสองประเทศ


วรรณกรรมมอญมีอิทธิพลอยู่ในงานวรรณกรรมไทยหลายแง่มุม เป็นที่ทราบกันดีว่าไทยรับอิทธิพลพุทธศาสนาเถรวาทผ่านมอญ ที่เข้ามาพร้อมวรรณกรรม และภาษามอญ ซึ่งปัจจุบันผสมผสานอยู่ในสังคมไทย วัฒนา บุรกสิกร สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิจัยพบว่า มีภาษามอญปะปนอยู่ในภาษาไทยมากกว่า ๖๙๗ คำ ในส่วนของอิทธิพลจากวรรณกรรมมอญที่มีต่อวรรณคดีไทยนั้น ส่วนใหญ่เป็นงานของ “พระอะเฟาะ” เช่น เรื่องพระนางภิมภาขอขมาพระพุทธองค์ ราชวงศ์ สุวรรณหงส์ ประวัติสงกรานต์ อธิบายราชาธิราช ศรีธนญชัย ธรรมทีปนี ปฐมสมโพธิ พระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์ ขุนช้างขุนแผน โรคนิทาน ธรรมศาสตร์ ศาสนวงศ์ ส่วนเรื่องที่สำคัญ คือ ราชาธิราช และขุนช้างขุนแผน


ราชาธิราช รัชกาลที่ ๑ โปรดฯให้แปลมาจากพงศาวดารมอญเป็นวรรณคดีไทย ได้รับการยกย่องเป็นวรรณคดีที่ควรค่าแก่การอ่าน กระทรวงศึกษาธิการตีพิมพ์เนื้อหาบางตอนเป็นแบบเรียน

 

 

แบบเรียนมอญตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ส่วนใหญ่ใช้ "หนังสือเด็กวัด" ของพระอาจารย์อะเฟาะ
วรรณกรรมร้อยกรองเป็นแบบฝึกหัดอ่าน


ขุนช้างขุนแผน เนื้อเรื่องเกิดในปลายสมัยอยุธยา เดิมเป็นบทขับเสภาของราษฎรทั่วไป ถูกนำมาแต่งเป็นวรรณคดีไทยสมัยรัชกาลที่ ๒ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากวรรณกรรมมอญเรื่อง ขุนแผนขุนช้าง คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้สรุปว่า ขุนไกร พ่อขุนแผน เป็นทหารในกองอาทมาตมอญเมืองกาญจนบุรี นอกจากนี้ ในเรื่องขุนช้างขุนแผน มีสำนวนภาษาและเนื้อหาเกี่ยวกับมอญจำนวนมาก เช่น การแสดงทะแยมอญ การละเล่น การแต่งกาย ประเพณี คติความเชื่อ คาถาอาคม และไสยศาสตร์


พระอะเฟาะเป็นชาวมอญเมืองหงสาวดี เกิดเมื่อราว พ.. ๒๒๔๓ ไม่มีหลักฐานว่าท่านเสียชีวิตเมื่อใด แต่จากหลักฐานงานวรรณกรรมของท่าน คาดว่าน่าจะมีอายุอยู่จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๑ หากนับเอาปีแรกของรัชกาลคือ พ.. ๒๓๒๕ จะเท่ากับว่าท่านมีอายุถึง ๘๓ ปี วรรณกรรมที่ระบุปีที่แต่งเรื่องสุดท้ายของท่านคือ บารมีการ (การสร้างบารมี) แต่งเมื่อ พ.. ๒๓๑๙ ซึ่งท่านให้ลูกศิษย์จารตามคำบอก เนื่องจากนิ้วมือของท่านถูกตัด ไม่สามารถจารหนังสือได้ งานวรรณกรรมของพระอะเฟาะส่วนใหญ่แต่งก่อน พ.. ๒๒๘๓ เพราะในปีนั้นขณะที่พม่าเกิดความอ่อนแอ สมิงทอพุทธเกษ กษัตริย์มอญถือโอกาสประกาศเอกราช ต่อมาเมืองมอญเกิดจราจล พม่าทำการปราบปรามอย่างหนัก พระอะเฟาะจึงพาชาวบ้านส่วนหนึ่งอพยพหนีภัยสงครามจากเมืองหงสาวดี ไปอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านพาเปรฺะ ปลายแดนหงสาวดี ส่วนชาวมอญกลุ่มใหญ่พากันอพยพเข้าไทยตอนปลายสมัยอยุธยาเมื่อ พ.. ๒๒๙๐


พระอะเฟาะแต่งวรรณกรรมไว้มากกว่า ๑๐๐ เรื่อง ส่วนใหญ่แต่งแบบร้อยกรอง เป็นวรรณกรรมทางด้านศาสนา มีทั้งพระไตรปิฎก หมวดพระอภิธรรม พระวินัย และพระสูตร คำสอน ชาดก ประวัติศาสตร์ โหราศาสตร์ ตำรา ตำนาน และกฏหมาย ส่วนนิยาย นิทาน จะพบน้อยมาก ส่วนเรื่องที่เลือกมาศึกษานี้เป็นแบบเรียนหัดอ่านสำหรับเด็ก คือ หนังสือเด็กวัด (เหลิจก์ปล่ายแพ่ฮ์)


หนังสือเด็กวัด ของพระอะเฟาะ ไม่ทราบปีที่แต่งแน่ชัด แต่เมื่อเทียบเคียงหลักฐานจากประวัติของพระอะเฟาะ และประวัติศาสตร์ของมอญและพม่าในช่วงเวลานั้น รวมทั้งสำนวนโวหารที่ใช้ในการแต่ง พออนุมานได้ว่า พระอะเฟาะน่าจะแต่งหนังสือเด็กวัดขึ้นก่อน พ.. ๒๒๘๓ เพื่อเป็นแบบเรียนสำหรับหัดอ่านของเด็กนักเรียนมานานกว่า ๒๕๐ ปี ปัจจุบันผู้ที่เริ่มเรียนภาษามอญทั้งในเมืองไทยและพม่าก็ยังคงใช้แบบเรียนเล่มนี้ ลักษณะการเขียนเป็นร้อยกรองที่เรียกว่า แล่งกาแจะโน่ก แปลว่า ฉันทลักษณ์ใหญ่ ที่ไม่จำกัดจำนวนวรรค สามารถแต่งต่อไปได้เรื่อย จนกว่าจะจบเรื่อง วรรคหนึ่งมีประมาณ ๘ คำ แบ่งอ่านเป็น ๒ จังหวะในแต่ละวรรค มีสัมผัสบังคับเพียง ๑ แห่ง คือ คำสุดท้ายของวรรคหน้าส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๔ ของวรรคต่อไป


หนังสือเด็กวัด แต่งตามขนบการแต่งของพระอะเฟาะ คือ เริ่มด้วยคำบูชาพระรัตนตรัย บทไหว้ครูอาจารย์ผู้สั่งสอนวิชา ตลอดจนเทพเทวาที่ครองพิภพ ขอให้ผู้แต่งหนังสือมีปัญญาเฉียบแหลม ระบุชื่อผู้แต่ง (หรือนามปากกา) สถานที่แต่ง และวัตถุประสงค์ในการแต่ง เช่น “หวังให้เกิดประโยชน์แก่ชาวมอญ ได้มีความรู้ มีแนวทางดำเนินชีวิต มีแนวทางแก้ปัญหา...”


ค่านิยมในเรื่อง เช่น เศรษฐีซื้อผ้านุ่งผ้าห่มให้ลูกก่อนส่งไปเรียน จะต้องเลือกซื้อผ้าที่ดีที่สุด ซึ่งมีทั้ง “ผ้ายันต์ ผ้า (ที่มาทาง) เรือ ผ้าไหมล้านช้าง...” แสดงให้เห็นค่านิยมในการแต่งกาย การใช้ผ้า และการเลือกซื้อสิ้นค้าสำหรับคนมีฐานะ ได้แก่ การใช้และพกผ้ายันต์ติดตัว ชื่อเสียงของผ้าอินเดีย (ผ้าที่มาทางเรือ) และผ้าไหมลาวในยุคนั้น


ค่านิยมเรื่องการศึกษา สมัยก่อนลูกศิษย์ต้องออกแสวงหาฝากตัวยังสำนัก “ตักศิลา” ที่ “ครู” มีฝีมือ นำดอกไม้ธูปเทียนและของกำนัลไปไหว้ครูตามฐานะของศิษย์แต่ละคน ศิษย์บางคนกระพุ่มมือเปล่า ไม่มีแม้แต่ดอกไม้ธูปเทียน แต่อาจารย์ก็รับเป็นศิษย์และถ่ายทอดวิชาให้เท่ากัน


สำนวนโวหารสอดแทรกไว้จำนวนมาก เช่น “หากไม่รู้หนังสือจะโง่เหมือนลิงแก่ ปีนขึ้นยอดไม้นั่งตากฝน” เป็นสำนวนที่เกิดจากการเรียนรู้ธรรมชาติของลิงโดยแท้ กล่าวคือ เมื่อเมฆฝนตั้งเค้า บรรดาลิงแสมตามป่าชายเลนจะรวบยอดทางจากเข้าหากันแล้วมัดไว้เป็นกลุ่มคล้ายกระโจม แต่แทนที่จะเข้าไปหลบฝนอยู่ภายใน กลับขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดทางจากที่มัดเอาไว้


ความรักในชนชาติ หรือชาติพันธุ์ ซึ่งนักวิจัยบางท่านกล่าวว่า ความเป็นรัฐชาติ ความเป็นชาติพันธุ์ของมอญและชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศพม่า เพิ่งมีขึ้นภายหลังอังกฤษเข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคม ขีดแผนที่ และเขียนตำราสร้างค่านิยมแบบรัฐชาติเอาไว้ แต่ในงานวรรณกรรมของพระอะเฟาะหลายเรื่อง โดยเฉพาะหนังสือเด็กวัด ระบุไว้ชัดเจนว่าวัตถุประสงค์ในการแต่งนั้น


แต่งขึ้นด้วยความรักและเมตตา หวังให้เกิดประโยชน์แก่ชาวมอญ ด้วยภาษาของชาวเมาะตะมะ สำหรับลุกหลาน จะได้ฝึกฝนให้มีความรู้ …”


แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการที่พระอะเฟาะนิ้วมือด้วน เกิดจากการตัดนิ้วตนเอง หรือถูกทางการพม่าตัดก็ตาม วัตถุประสงค์ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการแปลหรือแต่งหนังสือมอญเป็นภาษาพม่า แสดงให้เห็นว่า มอญกับพม่านับแต่อดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อนนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งพระอะเฟาะมีความรักในชนชาติมอญ จนเป็นบุคคลที่ทางการพม่าหมายหัว


หนังสือแบบเรียนที่มีการใช้งานมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ย่อมแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาสาระสมบูรณ์ครอบคลุมทุกด้าน มีการใช้ภาษาสละสลวย บรรจุเนื้อหาและคำศัพท์ไว้หลากหลายทุกระดับเริ่มจากคำที่ง่ายไปหายาก สอดแทรกขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม สำนวนโวหาร คติสอนใจ ซึ่งปัจจุบันแบบเรียนเรื่องนี้ยังคงร่วมสมัย เหมาะสำหรับเยาวชนทุกยุคสมัย จึงได้รับความนิยมจากครูอาจารย์ผู้ถ่ายทอดภาษามอญ เลือกแบบเรียนของพระอะเฟาะให้เยาวชนได้หัดอ่านมานานกว่า ๒๕๐ ปี ทั้งสำหรับเยาวชนมอญในประเทศไทยและประเทศพม่า

 

 

 

บล็อกของ องค์ บรรจุน

องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุนหลวงพ่อสมาน วัดชนะสงคราม ที่เคยเลี้ยงดูส่งเสีย ข้าวแกงก้นบาตรราดรดหัวผมมาจนเรียนจบปริญญาตรีเมื่อสิบกว่าปีก่อน ท่านชอบเปรียบเปรยลูกศิษย์ลูกหาและใครต่อใครที่ลืมคุณคนด้วยสำนวนมอญที่ไม่พ้นไปจากเรื่องการกินการอยู่ เป็นต้นว่า "ใหญ่เหมือนช้าง ยาวเหมือนงู" (แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน)"กินผลฟันต้น เก็บร่มหักก้าน" (กินบนเรือนขี้บนหลังคา)"ข้าวแดงแกงร้อน" (สำนึก)"เสียข้าวสุก" (เนรคุณ)แต่ที่ผมเสียวแปลบไปถึงขั้วหัวใจทุกครั้งเมื่อถูกท่านเหน็บเอาว่า"ข้าวสุกไม่มียาง" (ก็เนรคุณอีก)
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน"มอญร้องไห้" ร้องทำไม ร้องเพราะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ หรือญาติเสีย...?ถูก...ญาติเสีย แต่ต้องระดับคนมีหลานเหลนแล้ว และเป็นที่เคารพรักของผู้คนเท่านั้น หากญาติที่เสียชีวิตอายุยังน้อย แม้จะเสียใจก็ร้องไห้กันไปตามมีตามเกิด ไม่มีการทำพิธีกรรมให้เป็นพิเศษแต่อย่างใดมอญร้องไห้ เป็นมีพิธีกรรมของคนมอญ ซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมาในงานศพ เป็นการแสดงความอาลัยรักของลูกหลาน ที่สำคัญเป็นการยกย่องและรำลึกถึงคุณงามความดีของผู้ตายที่เคยทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิต โดยมากแล้วผู้ร้องจะเป็นหญิงสูงอายุและเป็นเครือญาติกับผู้ตาย เนื้อหาที่ร้องพรรณนาออกมานั้นจะได้ออกมาจากใจ…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน สำนวนไทยที่กล่าวถึงการแย่งศพมอญ นั่นคือ “แย่งกันเป็นศพมอญ” หากพิจารณาความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ที่มีความหมายว่า ยื้อแย่งกัน ซึ่งใช้ในเชิงเปรียบเทียบ๑ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สำนวนนี้มีที่มาจากประเพณีมอญแต่โบราณ และคำว่า “แย่ง” นั้นก็เป็นแต่อุบาย ที่หมายให้ผู้คนทั้งหลายหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วัฒนธรรมประเพณีมอญหลายประการที่คนไทยยอมรับมาอย่างหน้าชื่นตาบาน เช่น ประเพณีสงกรานต์ ตักบาตรน้ำผึ้ง ล้างเท้าพระ ดนตรีปี่พาทย์นาฏศิลป์ เหล่านี้เป็นหัวใจของไทยที่รับมาจากมอญ และทำการปรับเปลี่ยนให้เป็นของตนอย่างกลมกลืน…
องค์ บรรจุน
“...ต้องการแม่ครัว (หรือพ่อครัวก็ได้) ๑ ตำแหน่งค่ะ ทำงานที่ระยองนี่ล่ะ...”“ชาวพม่าเอาไหมครับ ถ้าเอามีเยอะเลย ข้างบ้านเขาทำธุรกิจแรงงานพม่าอยู่น่ะ...”“พม่าทำกับข้าวอร่อยหรือเปล่าคะ”“…มีข่าวบ่อยๆ ว่า แรงงานต่างด้าว ไม่ใช่ต่างดาว ฆ่านายจ้าง ระวังไว้นะ”“พม่าเอาแบบนุ่งกางเกงนะ ห้ามนุ่งโสร่ง เดี๋ยวจะเพิ่มเส้นให้มามากเกินไป...ง่ะ...๕๕๕++”ฯลฯข้อความโต้ตอบในกระดานสนทนาเว็บไซต์หางานแห่งหนึ่ง ที่ผู้เขียนเข้าไปพบโดยบังเอิญ เมื่อปลายปีที่แล้ว ข้อความโต้ตอบข้างต้นสะท้อนแง่คิดของคนไทยกลุ่มหนึ่งได้อย่างแปรปรวนชวนสงสัย น่าแปลกที่คนไทยเรามีสายตาที่มองคนพม่าในแบบที่ทั้งหวาดกลัว ไม่ไว้วางใจ เป็นตัวตลก…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัย   ปกติฉันทำงานที่ตึกประชาธิปก-รำไพพรรณี ซึ่งอยู่ติดกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ จึงมักจะไปทานอาหารที่โรงอาหารของคณะเศรษฐศาสตร์ ในช่วงแรกๆ ที่ฉันมาเรียนที่จุฬาฯ ก็ได้ยินคนขายอาหารพูดกันเองว่า   “คนเก็บจานที่มาใหม่น่ะ พูดอังกฤษคล่องเชียว เป็นคนพม่า พูดไทยไม่ได้ เวลาจะให้ทำอะไรแกต้องสั่งเขาเป็นภาษาอังกฤษนะ” ฉันเลยรับรู้มาตั้งแต่นั้นว่า โรงอาหารแห่งนี้มีแรงงานข้ามชาติจากพม่าทำงานอยู่ (พอดีตอนนั้นเรียนเรื่องการย้ายถิ่นข้ามชาติอยู่ด้วย) หลังจากนั้นก็จะได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานพม่ามาตลอด ว่าที่เราเข้าใจว่าเป็น “แรงงานพม่า” นั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นได้ทั้งพม่า…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน เครื่องนุ่งห่มนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัย ๔ ของมนุษย์ เพื่อปกปิดร่างกายคุ้มภัยร้อนหนาวจากธรรมชาติ กันขวากหนามงูเงี้ยวเขี้ยวขอขบเกี่ยว และที่สำคัญ ปิดกายให้พ้นอาย รวมทั้งเสริมแต่งให้ชวนมอง ส่วนการตกแต่งร่างกายตามความเชื่อและลัทธิทางศาสนานั้นน่าจะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลหลังสุดและมีความสำคัญรองลงมา การตกแต่งร่างกายนั้นเป็นความจำเป็นที่มนุษย์ใช้เรียกความสนใจจากเพศตรงข้าม นำไปสู่การดำรงเผ่าพันธุ์ อันต่างจากสัตว์ที่เป็นไปตามสัญชาติญาณ และมีแรงดึงดูด (ฟีโรโมน) ในตัว สามารถส่งเสียง สร้างสี ส่องแสง แต่งกลิ่น ล่อเพศตรงข้าม แต่มนุษย์ไม่มีสิ่งเหล่านั้นจึงต้องสร้างขึ้น…
องค์ บรรจุน
สุกัญญา เบาเนิด งานบำเพ็ญกุศลถวายพระศพสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา ซึ่งชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯและชาวไทยเชื้อสายมอญจากทั่วประเทศร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยในฐานะกรรมการจัดงาน แต่ก็รู้สึกอิ่มเอมใจกับภาพที่เห็นและบรรยากาศที่ได้สัมผัส ถือเป็นงานใหญ่ที่คนมอญได้แสดงออกซึ่งขนบธรรมประเพณีอันดีงาม มิเสียชื่อที่เป็นชนชาติที่รุ่งเรืองทางด้านอารยธรรมมาก่อน ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาและสืบทอดธรรมเนียมมอญโบราณ และเป็นการถวายพระกุศลแด่พระศพสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัย “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย” กลอนภาษาไทยข้างต้นเป็นกลอนที่ฉันได้ยินมาแต่เด็ก เมื่อมาเขียนบทความนี้ก็พยายามหาว่าใครเป็นคนแต่ง ซึ่งส่วนใหญ่บอกว่ามาจากเชคเสปียร์ที่บอกว่า “Two folks look through same hole, one sees mud, one sees star” ส่วนผู้ที่ถอดเป็นภาษาไทยนั้น ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ว่าใครเป็นคนถอดความและประพันธ์กลอนนี้ อย่างไรก็ตาม ฉันเข้าใจว่ากลอนบทนี้กล่าวถึงการมองสรรพสิ่งที่เป็นสิ่งเดียวกัน แต่ว่าต่างคนอาจมองได้ต่างกัน และเมื่อฉันโตขึ้น ฉันก็ได้เห็นประจักษ์ถึงความเป็นไปตามคำกล่าวนั้น…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน ผีที่คนมอญนับถือ มิใช่ผีต้นกล้วย ผีตะเคียน ผีตานี ผีจอมปลวก แต่เป็นผีบรรพชน ผีปู่ย่าตายายของเขา สิ่งที่รัดโยงและธำรงความเป็นมอญที่สำคัญสิ่งหนึ่งคือ “การนับถือผี” ผีเป็นศาสนาแรกของทุกชาติทุกภาษา คนมอญนับถือผีควบคู่กับพุทธศาสนา เคารพยำเกรงไม่กล้าฝ่าฝืน การรำผีนอกจากเป็นการเซ่นไหว้ผีประจำตระกูลแล้ว ยังเป็นการรักษาโรคด้วย หากเทียบกับการรักษาโรคในปัจจุบันอาจเรียกได้ว่า เป็นจิตวิทยาการแพทย์ ในบรรดาการรักษาโรคที่หลากหลายของมอญ เช่น การรักษาด้วยสมุนไพร การนวด คาถาอาคม และพิธีกรรม เช่น การทิ้งข้าว (เทาะฮะแนม) การเสียกบาล (เทาะฮะป่าน) ส่วนพิธีกรรมที่ใหญ่ที่สุดคือ การรำผี (เล่ะฮ์กะนา…
องค์ บรรจุน
ภาสกร อินทุมาร ชลบุรีอาจจะเป็นจังหวัดที่ไม่มีใครคิดว่าจะมีชุมชนคนมอญตั้งอยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะคนส่วนใหญ่จะรู้จักเฉพาะมอญเกาะเกร็ดและมอญพระประแดงเท่านั้น... แต่ถึงอย่างไรก็ดี ชลบุรีก็ยังมีคนมอญอยู่ที่ “วัดบ้านเก่า” ซึ่งมีชื่อเดิมว่า “วัดบ้านมอญ” แห่งตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี และความน่าสนใจของคนมอญของที่นี่ อยู่ที่ “พระ”   วัดบ้านเก่า (วัดบ้านมอญ) ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี
องค์ บรรจุน
  สุกัญญา เบาเนิดในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังนิยมสวมในเสื้อเหลือง เสื้อฟ้า เสื้อชมพู (ประดับตราสัญลักษณ์) ด้วยความรู้สึกที่ต้องการแสดงออกถึงความจงรักภักดี หรือจะด้วยความรู้สึกอื่นใด...ทำให้เรารับรู้ได้ว่าการมีเสื้อผ้าไม่ใช่มีไว้ห่อหุ้มร่างกายอย่างเดียว  แต่เสื้อผ้ายังแฝงไว้ด้วยความหมายหลายสิ่งอย่างอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นสี หรือ ลวดลาย  กล่าวกันว่าการกระทำของคนเรานั้นเป็นการกระทำในเชิงสัญลักษณ์ ดังนั้นเสื้อผ้าก็เป็นสัญลักษณ์ในการสื่อสารเรื่องราว เป็นตัวแทนความคิด และแทนความรู้สึกร่วมของคนในกลุ่ม  แรงงานมอญที่อพยพเข้างานทำงานในมหาชัย (จังหวัดสมุทรสาคร)…
องค์ บรรจุน
ขนิษฐา คันธะวิชัย ตอนเล็กๆ ผู้เขียนมักจะได้ยินคำกล่าวที่ว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” หรือ “ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ” ซึ่งเป็นคำพูดที่ใช้เรียกทฤษฎีความอลวน (Chaos Theory) กระนั้นผู้เขียนก็ไม่ได้สนใจว่าทฤษฎีนี้มีเนื้อหาอย่างไร แต่ก็มีผู้อธิบายว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” นี้เป็นการอธิบายว่าการที่เราเริ่มทำสิ่งหนึ่งอาจส่งผลลัพธ์ไปถึงสิ่งที่อยู่ไกลๆ ได้ เพราะทุกสิ่งมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงซึ่งกันและกันเกินกว่าที่เราจะตระหนัก ตอนนี้ผู้เขียนเปิดคอมพิวเตอร์ เปิดไฟ เปิดพัดลม การกระทำเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดสิ่งใดในพื้นที่ที่ห่างออกไปได้หรือไม่ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน…