Skip to main content
ผมหยิบงานที่ผมเขียนถึง ‘พ้อเลป่า' ปราชญ์ปกากะญอขึ้นมาอ่านอีกครั้ง หลังทราบข่าวจาก หญ้าน้ำ ทุ่งขุนหลวง' ว่า พ้อเลป่า' เสียชีวิตอย่างสงบแล้วเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา... ก่อนที่ผมและเพื่อนกำลังออกเดินทางไปบนทางสายเก่า สายนั้น...



ที่มาภาพ
: www.thaioctober.com/forum/index.php?topic=308.105

1.

ก่อนนั้น การเดินทางของผู้คนบนภูเขานั้นต้องเดินด้วยเท้า ก้าวย่างไปบนถนนดิน เส้นทางป่าอย่างเงียบง่าย มิรีบเร่ง มิรีบร้อน ไปมาหาสู่กันในหมู่ญาติพี่น้อง เอาของป่าไปขายในเมือง และกลับคืนมาสู่หมู่บ้านกลางป่าพร้อมของใช้ที่จำเป็นบางอย่าง

ทว่ามาบัดนี้เดี๋ยวนี้ บางสิ่งเริ่มแปลกเปลี่ยนไป เมื่อมีการสร้างถนนคอนกรีต ถนนลาดยางสีดำคล้ายดั่งงูใหญ่ที่เลื้อยลัดเลาะจากเมืองเบื้องล่างหันหน้าข้ามหุบห้วยขุนเขา ดงป่ามาถึงหมู่บ้านชนเผ่าพื้นเมืองบนภูเขา แล้วเหมือนมีบางอย่างเข้าทำลายและกลืนกินทุกสรรพสิ่ง

ใช่, มันพร้อมกับความเปลี่ยน ความโลภและความเร็ว!

เมื่อหลายเดือนก่อน, ผมและผองเพื่อนอีกห้าชีวิต มีโอกาสได้เดินทางไปเยือนรังผู้เฒ่าปกากะญอ "พ้อเลป่า" ณ หมู่บ้านแม่แฮใต้ บนดอยสูงในเขตอำเภอแม่แจ่ม เชียงใหม่

นาม "พ้อเลป่า" นั้นหลายรู้จักมักคุ้นกันดี ว่าคือผู้เฒ่านักเขียนปกากะญอผู้ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยใช้ถ่านไม้สีดำข้างเตาไฟ นำมาขีดเขียนบนฝากระดานไม้ ด้วยตัวหนังสือ ปกากะญอที่คิดค้นกันมาในภายหลัง ก่อนที่ วีรศักดิ์-กัลยา ยอดระบำ' นำมาถ่ายทอดแปลเป็นภาษาไทยให้เราได้อ่านได้เรียนถึงคมความคิด วิถีปรัชญาปกากะญอว่าแหลมคมและสอดคล้องสัมพันธ์ กับวิถีธรรมชาติและโลกนี้เพียงใด

หากทว่า พ้อเลป่า ในห้วงวัยชรายามนี้ ไม่อาจนั่งขีดเขียนได้เหมือนเก่าก่อน เพราะสังขารและความชราโรยนั้นเข้ามาเยี่ยมเยือนชีวิต

"สายตาบ่ค่อยดีแล้ว เพ่งผ่อเมินบ่ได้ น้ำตามันจะไหล" พ่อเฒ่ากับเราในยามเย็นย่ำของชีวิต
แต่นั่นไม่เป็นสำคัญมากนัก เมื่อขีดเขียนหนังสือไม่ได้ แต่การนั่งพูดคุย สนทนากัน แล้วมีคนนำไปเขียนบันทึกเรื่องราวเก็บไว้มันย่อมมีคุณค่าอยู่ในตัวหนังสือ

"เป็นเขียนหนังสือแม่นก่อ เขียนต่อไปนะอย่าหยุด ผมจะบอกกับนักเขียนที่มาเยี่ยมเยือนเสมอว่า ถึงตายไป แต่หนังสือนั้นยังพูดได้ ตัวหนังสือไม่มีวันตาย" พ้อเลป่าเอ่ยย้ำอยู่อย่างนั้น
ทำให้ผมอดครุ่นคิดคำนึงไปถึงนักเขียนอาวุโสอีกท่านหนึ่ง ซึ่งความป่วยไข้เข้ารุมเร้าชีวิต จนครั้งนั้น ท่านไม่สามารถจับดินสอ ปากกา ขีดเขียนเป็นตัวหนังสือได้ ทว่าหัวใจนั้นยังแกร่งและเปี่ยมศักดิ์ศรีแห่งนักเขียน ไม่ยอมแพ้ แม้มีนักเขียนคนหนึ่ง เคยเอ่ยกับท่านว่า ช่วยบอกเล่าด้วยคำพูดแล้วเขาจะช่วยจดบันทึก ลงในกระดาษให้ หากนักเขียนอาวุโสคนนี้กลับแกร่ง มิยอมจำนน นานนัก- -กับการพยายามอดทนต่อสู้กับความป่วยไข้ ที่สุด ท่านก็กลับมาขีดเขียนหนังสือได้- -ดุจอินทรีผู้กางปีกกล้าบินอยู่เหนือดอยสูงอีกครั้ง

อากาศหนาวห้วงนั้น แปรปรวนเปลี่ยนไปไม่เหมือนแต่ก่อน เมื่อวานฝนตกกระหน่ำ หนักหน่วง วันนี้อาการจึงร้อนอบอ้าวมากยิ่งขึ้น

"ผมว่าที่โลกร้อนนั้น อาจเป็นเพราะโลกเฮา เมืองเฮามีถนนปูนเพิ่มมากขึ้น"พ่อเฒ่าเอ่ยรำพึงกับเรา เมื่อหลายคนบ่นถึงธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม

อาจจริง- -อย่างพ่อเฒ่าพ้อเลป่าพูดถึง ถนนปูน ถนนคอนกรีตนั้นเหมือนอยากสื่อความหมายถึง การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้ง จึงทำให้โลกเปลี่ยน ธรรมชาติเปลี่ยน เช่นทุกวันนี้!


บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
   
ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
  จู่ๆ คุณก็รู้สึกเหนื่อยเพลีย ข้างในเหมือนว่างโหวง ไม่สดชื่นรื่นรมย์เหมือนแต่ก่อน มือเท้าชา ร่างกายอ่อนแรง สมองมึนงง คิดโน่นลืมนี่อยู่อย่างนั้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่คุณก็หลีกหนีห่างจากเมืองอันสับสน ไกลจากผู้คนของความอึงอล มาอยู่ในหุบเขาสงบเงียบแบบนี้  
ภู เชียงดาว
  1.
ภู เชียงดาว
-1- หลังการเก็บเกี่ยวข้าว นวดข้าว ขนข้าวมาเก็บไว้ในหลอง(ยุ้งฉาง)ของชาวนา ไม่นาน ท้องทุ่งเบื้องล่างก็ดูเปิดโล่ง มองไปไกลๆ จะเห็นตอซังข้าว กับกองฟางสูงใหญ่กองอยู่ตรงนั้น ตรงโน้น กระนั้น ท้องทุ่งก็ไม่เคยหยุดนิ่ง มันมีชีวิต มีการเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เท่าที่เขาเฝ้าดู ในหน้าแล้ง หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว คนเลี้ยงวัวประจำหมู่บ้านคงมีความสุขกันถ้วนหน้า พวกเขารู้ดีว่าจะทำอย่างไงหลังจากชาวนาขนข้าวขึ้นหลองเสร็จเรียบร้อย คนเลี้ยงวัวจะรีบปล่อยฝูงวัวสีขาวสีแดงหลายสิบตัวลงไปในทุ่งโดยไม่ต้องบอกเจ้าของนา ไม่มีใครว่า ปล่อยให้มันเล็มยอดอ่อนจากตอซังข้าว บ้างก้มเคี้ยวเศษฟางข้าว…
ภู เชียงดาว
เกือบค่อนปีที่ข้าตัดสินใจหันหลังให้กับใบหน้าของเมืองใหญ่ มุดออกมาจากกล่องของความหยาบ แออัดและหมักหมม ถอยห่างออกมาจากความแปลก แยกออกมาจากความเปลี่ยน สลัดคราบมนุษย์เงินเดือน สลัดความเครียดที่สะสม สลัดทิ้งซึ่งพันธนาการ ตำแหน่ง หน้าที่การงาน และความโลภ ที่นับวันยิ่งพอกพูนสุมหัวใจข้า - - กระชาก ขว้างทิ้งมันไว้ตรงนั้น อา,ทุกอย่างช่างหน่วงหนักและเหน็ดหน่าย - -ย้อนถามตัวตน ข้าระเหระหนเดินทางมาไกลและแบกรับสัมภาระมากเกินไปแล้ว !