Skip to main content


เดาะ บื่อ แหว่ ควา สี่ จื้อ เนอ

มู้ โข่ ลอ ปก้อ เฉาะ ถ่อ เจอ

พี่น้องประสานนิ้วมือ

ฟ้าถล่มช่วยกันค้ำไว้

 

โถ่ ศรี ซี้ เล้อ แหม่

จอ ป่า ซี้ ด่า แค

นกยูงตายเพราะขนหาง

ขุนนางตายเพราะเชื่อคนยุยง


ผมนึกถึงคำทา ที่พ้อเลป่าได้เขียนไว้ และคุณกัลยา-วีรศักดิ์ ยอดระบำ ได้แปลในหนังสือ "ปกากะญอ ข้าคือคน" แล้วครุ่นคิดซึมซับเอาไว้ในใจ และด้วยความรู้สึกที่มิอาจบรรยายเป็นตัวอักษรได้ทั้งหมด เมื่อได้นั่งอยู่กับพ่อเฒ่าพ้อเลป่า ในค่ำคืนที่มีจันทร์เสี้ยวและดวงดาวพราวพร่าง เพราะถ้อยคำของพ่อเฒ่าพ้อเลป่า ที่สนทนากับเรานั้นล้วนเป็นปรัชญา ประสบการณ์ ความรู้ คำสอน ที่หลายคนได้ยินได้ฟังแล้วนำมาขบคิดกลั่นกรอง กลายเป็นโอสถวิเศษที่หลากหลายรสชาติ บางคำนั้นกลมกล่อมเปี่ยมความหวังด้วยเสียงหัวเราะอารมณ์ดี

 

ทว่าบางคำกลับมีรสชาติฝาดเฝื่อนและขื่นขม เมื่อยินน้ำเสียงเอ่ยถึงความไม่เป็นธรรม ความแปลกเปลี่ยนของผู้คน ของสังคม

 

บางอารมณ์เก่าแก่และโหยหาพ่อเฒ่าได้เล่าถึงเรื่องราวหลัง เมื่อครั้งหลังเกิดเหตุการณ์สิบสี่ตุลา หวนนึกถึงบ้านเก่าหลังนี้ มีแต่คนในเมืองขึ้นมาพักกันที่นี่ มีกลุ่มนักศึกษาขึ้นมาสร้างโรงเรียน พ่อเฒ่านึกถึงลูกชายและเพื่อนของเขา นึกถึงความทุกข์ยากปวดร้าว ในความขัดแย้งของคนในยุคนั้น

 

"ตอนนั้นทางการเขาหาว่าปมเป็นคนบ่ดี คบกับคนแปลกหน้าเยอะแยะ แต่บ่เป็นหยัง เฮาบ่ว่าฮื้อไผ...ไม้ใหญ่นั้นโตช้า"

 

พ่อเฒ่าปกากะญอเอ่ยน้ำเสียงช้าๆ ท่ามกลางความเงียบ ขณะที่ดวงตาเหม่อมองต้นไม้ในท่ามกลางความมืดสลัวรางเป็นเงาทะมึนยืนอยู่เบื้องหน้า

 

บางห้วง, เรานั่งพูดคุยกันถึงปัญหาของโลก ของคนที่อยู่กับอำนาจ ความโลภ ความคิดอันมืดบอดมืดดำ การแก่งแย่ง การเข่นฆ่าทำลายล้างกัน เพื่อผลประโยชน์ของตน จนทำให้คนส่วนใหญ่สูญเสีย บาดเจ็บล้มตายและหิวโหย ในดงสงคราม

 

ดึกแล้ว, พ่อเฒ่าพ้อเลป่า ขอตัวไปนอนพักผ่อน หากเรายังคงนั่งอยู่นอกระเบียงไม้ พูดคุยสนทนากัน พร้อมกับครุ่นคิดถึงเรื่องราวของพ่อเฒ่าปกากะญอ ที่ถ่ายทอดให้เราได้เรียนรู้และรับรู้

 

อากาศค่อนคืนเริ่มหนาวเย็นเยียบ ลมป่าพัดโชยผ่านกระทบกาย กิ่งไม้ ใบไม้โยกไกวไหวไปมา เดือนเสี้ยวคล้อยต่ำลับไปแล้ว ส่วนดวงดาวยังคงกระพริบวิบแวมเต็มเวิ้งฟ้า หมู่เพื่อนกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องการออกเดินทางไกลในวันพรุ่ง

 

หากผมกำลังคุยกับความรู้สึกของตัวเองในความเงียบ

นึกไปถึงถนนของความเปลี่ยนของคน ของสังคม ของโลก

ที่ล้วนต่างอยู่ในความหวาดระแวงแก่งแย่งกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

 

 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...