Skip to main content
ค่ำนั้น, ผมกลับมานั่งในบ้านปีกไม้ในหุบผาแดง นิ่งมองภาพเก่าๆ ของพ้อเลป่า สลับกับภาพครั้งสุดท้ายของเขาก่อนจะละสังขารไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา

\\/--break--\>

 



www.thaioctober.com/forum/index.php?topic=308.105


พ้อเลป่า นั่งเซ็นชื่อตัวเองลงบนหนังสือให้กับสุวิชานนท์ รัตนภิมล

เมื่อ 8 มีนาคม 2552 หนึ่งเดือนก่อนพ้อเลป่าจะจากไป

 

ลายเซ็นของพ้อเลป่า กับหนังสือที่เขาเขียน

 

ปกหนังสือ เพลงชีวิตปกากะญอ

 

 

แหละนี่คือบางบท บางถ้อยคำที่ซ่อนแฝงไว้มากมายปรัชญาบนภูเขา ที่พ้อเลป่าได้ขีดเขียนไว้ ก่อนที่ วีระศักดิ์ ยอดระบำ จะนำมารวบรวมแปล และศูนย์ชาติพันธุ์และการพัฒนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2538

 

บางบท บางตอนนั้น ทำให้เรามองเห็นถึงภาพวิถีชีวิตของพี่น้องชนเผ่าในยุคก่อนๆ ที่กระทำและถูกกระทำทั้งในเรื่องของสงคราม ความแปลกเปลี่ยน ความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ อันเป็นสัจจะสามัญอย่างแท้จริง ครั้นเมื่อนำมาอ่านคิดทบทวนดูในห้วงยามนี้ คำบอกเล่าของ พ้อเลป่า นั้นยังคงสะกิดเตือนใจเราให้ฉุกคิดได้เสมอๆ

 

ฝรั่งสร้างทาง

เอาเงินมาหว่าน

อย่าได้เพ้อฝันว่าแผ่นดินจะร่มเย็น

 

ได้ข่าวเจ้าคำจะมา ได้ข่าวว่าตนบุญจะมา

คอยหนึ่งปีเจ้าคำก็ไม่มา คอยสองปีตนบุญก็ไม่มา

มองลงไปใต้ถุน มีแต่ศพคนตาย

 

หมาเห่าเก่ง หางขาดหมด

เห่าเส้นทางโบราณ

 

แม่อดข้าว สมัยก่อนแม่ไม่ตาย

แม่กินข้าวป่า แม่ไม่ตาย

 

ความสนุกสนานในเมืองใหญ่เวียงหลวง

ข้าวอร่อย เรายังกินไม่ลง

 

ต้นข้าวหักลงไม่พ้นน้ำ

เจ้าทำชื่อเสียงของเจ้าให้ดังเอง

 

เห็นคนอื่นทัดดอกไม้ป่า ดอกไม้ดง

อย่าไปเอาอย่างเขา

 

แม่ของเจ้าชอบคนใหญ่คนโต

ชอบแต่คนขี่ช้างมา

 

ช้างพลายพอใจกับงาขาว

ส่วนเจ้าอยากมีชื่อดัง

 

เสียงน้ำรำพึง เสียงดินรำพัน

ข่าวว่าพระเจ้าตาย

ข่าวว่าคำไม่มีแล้ว

เราสองคนสร้างบ้านอยู่ตามลำพัง

หายสาบสูญเหมือนปลาติดไซ

 

เสียงปืนดังที่กิ่วดอย

พี่ไปรบศึก พี่กลับมาแล้ว

 

สิ่งดุร้ายที่สุดขึ้นมาตามแม่น้ำสาละวิน

สิ่งฉลาดที่สุดขึ้นมาตามแม่น้ำสาละวิน

มีหนวดขาวหนึ่งเส้น

กัดชาวป่าตายไปหนึ่งคน

คนหวาดกลัวเพราะมันพูดเก่ง

 

รดน้ำไม้ล้ม

สักวันไม้ล้มจะออกดอก

 

ไม้สองต้นอยู่ห่างกัน

ลมพัดยอดเอียงเอนแนบชิด

 

น้องกับพี่ พี่กับน้อง

เหมือนผลไทรสุก นกกามากินเต็มต้น

 

ถ้าน้องเป็นพันธุ์ข้าว พี่จะเป็นด้ามเสียม

หว่านเมล็ดสนุกสนานบนภูเขา

 

ถ้าน้องเป็นสันเขา พี่จะเป็นหุบเขา

ถ้าน้องเป็นข้าวเปลือก พี่จะเป็นยุ้งข้าว

 

หากเจ้าเดินบนเส้นเชือกได้

ข้าจะเดินบนคมหอกคมดาบ

 

ไม้ไผ่ลำเดียวทอดข้ามน้ำไม่ได้

ข้าวเปลือกเมล็ดเดียวต้มเหล้าไม่ได้

 

ถ้าน่องมนุษย์ตั้งท้องได้

คนทุกคนก็เป็นพี่น้องเดียวกัน

 

บนภูเขามีหญ้ามีหนาม

บนเทือกเขามีหญ้ามีหนาม

เด็กๆ ไป เด็กๆ ถามทาง

ผู้ใหญ่ไป ผู้ใหญ่ถามทาง

ที่ไม่ถามทาง คือกระต่าย

ไปเอง หลงทางเอง

 

คนเฒ่าชี้ทางบนภูเขา

คนแก่ชี้ทางบนภูเขา

ดอกคำตูมรากแน่น

ดอกเงินตูมรากแน่น

วิถีแห่งจิตวิญญาณดั้งเดิม

อย่าขวางทางเราเลย

 

เธอไม่คดกินจากแผ่นดิน

ไม่แบ่งเขตกินจากน้ำ

เธอเป็นผู้กำหนดเสียงดังทั้งแผ่นดิน

 

พี่น้องประสานนิ้วมือ

ฟ้าถล่ม ช่วยกันยันไว้

 

ผมขออนุญาตบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ ในฐานะนักเขียนคนแรกของปกากะญอ

พ้อเลป่าละสังขาร เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2552 ด้วยวัย 85 ปี ณ บ้านแม่แฮใต้

วันที่ 6 เมษายน 2552 พ้อเลป่า ได้คืนร่าง คืนสู่ธรรมชาติ ท่ามกลางบทเพลง ‘พ้อเลป่า' ที่ญาติพี่น้องลูกหลานของแผ่นดินได้ร่วมกันขับกล่อม ก่อนหย่อนร่างฝังดินกลบอย่างเรียบง่ายกลางป่าใหญ่

 

หากหลายคนบอกว่า แม้ร่างของพ้อเลป่าจะย่อยสลายเป็นเนื้อหนึ่งเดียวกับดิน กับธรรมชาติ แต่พ้อเลป่ายังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้

 

คงเหมือนกับที่พ้อเลป่าเคยพูดกับนักเขียนหนุ่มคนหนึ่งเอาไว้เมื่อเกือบสิบปีก่อนว่า คนเราเกิดมาแล้วต้องตาย แต่เราจะไม่ตายก็ด้วยสิ่งที่สร้างเอาไว้

 

"เราปลูกต้นไม้เอาไว้ เขียนหนังสือเอาไว้ เมื่อเราตายไปสิ่งนี้จะยังอยู่"


 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...