Skip to main content

 \\/--break--\>



  

  

 

 

(๑๒๕)

ทุกครั้งที่เดินเล่นในสวน

ข้ารู้สึกเหมือนกำลัง

ท่องโลก

 

(๑๒๖)

โลกธรรมชาติ

นั้นช่างเรียบง่าย

และเป็นจริง

 

(๑๒๗)

หลายคนโหยหาธรรมชาติ

อยากสัมผัสและอยู่ใกล้

แต่กลับเดินหนีห่างออกไปไกลและไกล

 

(๑๒๘)

หลายคนต้องการ

ความสุข

แต่มักเติมก้อนทุกข์ให้กับชีวิต

 

(๑๒๙)

สวัสดีศัตรูที่รัก

ข้ารู้ว่าเจ้าซุกซ่อนอยู่ข้างใน

หัวใจข้า

 

(๑๓๐)

หรือว่าแท้จริงแล้ว
ในหัวใจคนเรานั้นมีสัตว์ร้าย
ซุกซ่อนอยู่

 

(๑๓๑)

เรากำลังอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน

เรากำลังอ่าน

ชีวิต

 

(๑๓๒)

ธรรมชาติ

นั้นอ่อนโยน

ต่อหัวใจเรา

 

(๑๓๓)

ลมยามเย็นพัดโชยมาบอกข้า

สงบ สละ
ปล่อยวาง

 

(๑๓๔)

ขอบคุณความป่วยไข้

ทำให้ข้ารู้จัก

ชีวิต

 

(๑๓๕)

ในความปั่นป่วน

ข้ากำลังเฝ้ามอง

โลกและโรคกำลังเคลื่อนไหว

 

(๑๓๖)

บางทีความตาย การจากพราก

อาจกลายเป็นความงาม

หากเรารู้จักคุ้นเคยกับมัน

 

(๑๓๗)

เถิดจงขยำก้อนทุกข์
เอามาต้มให้เปื่อยและสุก
แล้วเคี้ยวกลืนเพื่อให้รู้รสความจริง

 

(๑๓๘)

จ้องมองมดกำลังช่วยขนเมล็ดข้าวสะสมไว้ในรังทีละเมล็ด

ถ้าเสกมนุษย์ให้เหลือตัวเท่ามดแมลง

โลกและทรัพยากรคงเหลือเฟือและมีที่ว่างอีกตั้งเยอะ

 

(๑๓๙)

ตื่นมาเช้านี้ข้ามองเห็นบรรยากาศแปลกๆ

โลกนี้

ดูหงอยซึมเหมือนสัตว์ป่วย

 

(๑๔๐)

บางครั้งชีวิต
ก็ล่องลอยไป
เหมือนสายหมอก

 

(๑๔๑)

บ้านคือความงาม ความหวัง ความรัก

หากหลายคนมีบ้าน แต่ไม่มีโอกาสอยู่บ้าน

แหละบางคนมีบ้าน แต่เหมือนไม่มีบ้าน!?

 

(๑๔๒)

อีกครั้งที่ข้าเดินไปบนทางสายเก่า

ทำให้เราหวนนึกภาพเก่าๆ

ช่างงามเศร้า

 

(๑๔๓)

เย็นนี้ข้าเดินเล่นในสวน

เก็บไข่นกคุ่มสี่ฟอง

มาจากพงหญ้า

 

(๑๔๔)

นั่นไข่ไก่หกฟอง

แม่ไก่ไข่กองไว้

ใต้ถุนบ้านปีกไม้

 

(๑๔๕)

ข้ายึดหลักง่ายๆ

กับการใช้ชีวิตในหุบเขา

นิ่งไว้ ไม่ต้องใช้เงิน

 

(๑๔๖)

ข้าชอบจ้องมอง

ดวงตา

ของเด็กน้อย

 

(๑๔๗)

ข้าสัมผัสได้เช่นนั้น...

ความฝันอยู่ในดวงตาของเด็ก

ความจริงอยู่ในสีหน้าของผู้ใหญ่

 

(๑๔๘)

บ่อยครั้ง

ผู้ใหญ่ก็แปลงร่าง

กลายเป็นเด็กๆ

 

(๑๔๙)

ช่างน่าคิด ครูคนหนึ่งบอกว่าการเรียนรู้ชีวิตของเด็กๆ

ต้องเอาใจมาแลกใจ
สอนให้ไต่ตามฝัน แต่ต้องเดินบนความจริง

 

(๑๕๐)

ฝนมา

หญ้ารก

ปกคลุมหัวใจข้า

 

(๑๕๑)

นิ่งมองสักหน้าบ้านหน้าฝน

เผลอชั่วข้ามวันคืน

ใบช่างดกหนาคลุม

 

(๑๕๒)

นั่นน้ำเต้าอ่อนเยาว์

ห้อยกิ่งพาดกับระแนงไม้เลื้อย

ข้ามองเห็นระเบียงมีชีวิต

 

(๑๕๓)

หากวันนี้ข้าหิว จำใจปลิดขั้วน้ำเต้าน้อย

ไปต้มกินกับน้ำพริก,โปรดบอกข้า

ข้าโหดร้ายเกินไปไหม!?

 

(๑๕๔)

จู่ๆพลันนึกถึงคำพูดของอา ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่เคยถามข้า

"เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม,ชีวิต

อย่าลืมเป็นนักเขียนอย่าหวังว่าจะรวย"

 

(๑๕๕)

บอกกับตัวเอง

เราจะมีชีวิตอยู่

เพื่อวันนี้!

 

(๑๕๖)

ใช่,การเป็นอยู่ของชีวิตในแต่ละวัน

เพียงแค่นี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว

ที่เราได้อาศัยอยู่ในโลกใบนี้!

 

(๑๕๗)

ทันใดนั้นข้ามองเห็นคัมภีร์แห่งการปลดปล่อย

ปลิวล่องลอยอยู่ในทุกห้วงอณู

ธรรมชาติ

 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
“พระจันทร์กำลังขึ้นในหุบเขาผาแดง...” เสียงของเจ้าธันวา ลูกชายกวีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น กับภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้า พระจันทร์ดวงกลมโตกำลังเดินทาง โผล่พ้นหลังดอยผาแดงอย่างช้าๆ ก่อนลอยเด่นอยู่เหนือยอด ลอยสูงขึ้นไปบนเวิ้งฟ้าราตรี  0 0 0 0 อีกหนึ่งความทรงจำที่ตรึงผมไว้กับการเดินทางวันนั้น เป็นการเดินทางช้าๆ ไม่เร่งรีบ เรียบง่าย ไม่มีเป้าหมาย แต่เราได้อะไรๆ จากความเรียบง่ายนั้นมามากมาย เมื่อผมนัดกับพี่ชายกวี ‘สุวิชานนท์ รัตนภิมล’ คนเขียนหนังสือ คนเขียนเพลง คนเขียนคำกวี เพื่อไปค้นหาความลี้ลับบางอย่างกลางป่า
ภู เชียงดาว
เหมือนว่าอดีตกำลังกวักมือเรียกหาเหมือนว่าปัจจุบันกำลังคลี่เผยความลับอยู่เบื้องหน้าฉันรู้สึกตื่นเต้น อยากก้าวย่างไปบนทางสายนั้น ถนนความหวังและความใฝ่ฝันภูเขาลูกนั้นที่ฉันคุ้นเคย แม่น้ำสายนั้นที่ฉันฝันถึงป่าไม้ผืนนั้นยังตรึงไว้ในดวงตากับสายลมเริงร่า กลางทุ่งหญ้าสีทอง แหละนั่นตะวันเจิดจ้า กับท้องฟ้าสีฟ้าเบิกบานสดใสเพราะโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพราะโลกใบนี้ยังไม่โหดร้ายเกินไปนักฉันจึงออกเดินทาง ไกลแสนไกลไปตามหาความฝันอันกว้างใหญ่ไปค้นหาความหวังใหม่ไม่รู้จบเพราะโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพราะโลกใบนี้ยังไม่โหดร้ายเกินไปนักฉันจึงศรัทธา คิดและฝัน...ฉันจึงออกเดินทาง....…
ภู เชียงดาว
เธอมิใช่ผู้หญิงที่สูงศักดิ์หากคือหญิงผู้แน่นหนักรักยิ่งใหญ่รักในอิสรภาพ ความเป็นไทรักต่อสู้ เพื่อสิ่งยากไร้- -ในสังคมเธอมิใช่เป็นเจ้าหญิงในตำนานหากทำงานกับปัญหาอันหมักหมมกระชากแหวก กรอบมายา ค่านิยมเพียรเพาะบ่มความแกร่งกล้า- -พยายามเธอเฝ้าเรียน เฝ้าฝืนและตื่นรู้แม้อยู่ท่ามกลางสายตาที่เหยียดหยามหากเธอยังต่อสู้กับความเสื่อมทรามแม้จักผ่านกี่ห้วงยามความเลวร้าย !ใช่,และเธอไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเองหากเปล่งเสียงร้องปกป้องชนทั้งหลายเพื่อภราดรภาพ เสรีภาพของหญิงชายเพื่อเปล่งแสงแห่งความหมาย- -ความเท่าเทียม !เธอคือหญิงนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่มีจิตใจกล้าหาญชาญยอดเยี่ยมเธอประกาศยืนหยัด...“ความเท่าเทียม”…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : http://www.aromdee.net/pic_upload/Sep07/p2120_1.jpgในวันฟ้าเปลี่ยนสีข้ามองเห็นสัตว์การเมืองเปลี่ยนร่างบ้างสลัดคราบทิ้งกลายพันธุ์บ้างเกาะเกี่ยวกระหวัดรัดกันสมสู่ เสพสม กลิ้งเกลือกกองอาจมกิเลส ความใคร่อยาก อำนาจไม่รู้จบอา- - ข้ามองเห็นผู้คนเดินผ่านไปมา มองเห็นแล้วส่ายหน้าหดหู่ใจ...............ผมค้นบทกวีที่ผมแต่งเอาไว้นานแล้ว ออกมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง...หลังมีข่าวว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในนามว่า “เหี้ย” ออกมาผสมพันธุ์กันในทำเนียบรัฐบาล แหละนี่คือ "เบื้องหลัง 'เหี้ย' หลงฤดู โชว์อึดเสพเมถุน-เล้าโลมเป็นชั่วโมง ในทำเนียบหลังตึกไทยคู่ฟ้า" ที่เผยแพร่ใน ‘มติชนออนไลน์’…
ภู เชียงดาว
เมื่อวันก่อน เพื่อนนักเขียนสาวเมืองเหนือ นาม “สร้อยแก้ว คำมาลา” ส่งข่าวมาบอกว่า จะเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ที่ ‘ร้านเล่า’ เชียงใหม่ ในช่วงเย็น วันที่ 12 ก.พ.นี้ พร้อมกับชักชวนผมเข้าไปร่วมวงคุยกับศิลปินนักเขียนเมืองเหนือกันด้วย“ชื่อหนังสือ... เพราะคิดถึง... เป็นรวมความเรียงที่เคยเขียนไว้ในนิตยสารสานใจคนรักป่าเมื่อปีก่อนๆ แต่เพิ่งเอามารวมเล่มเจ้า” เสียงหวานๆ ของเธอบอกเล่าให้ฟัง“ปกสีชมพูอีกแม่นก่อ...” ผมแหย่เธอเล่น“แม่นแล้ว...สีชมพูหวานแหววเลยแหละ...” เธอรีบบอกพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ
ภู เชียงดาว
 ภาพประกอบโดย : ขวัญข้าวจากตาน้ำน้อยน้อยค่อยหยาดหยดผ่านขุนห้วยเคี้ยวคดรดรินไหลสู่ลุ่มน้ำสาขา -  -เดินทางไกลไปเลี้ยงชีพหล่อเลี้ยงในหัวใจคนกว่าจะเป็นแม่น้ำอันกว้างใหญ่ต้องผสานสายใยอันใหญ่ล้นดินอุ้มน้ำ  ป่าอุ้มฝน  คนอุ้มคนกว่าจะเป็นผลิตผลของแผ่นดินนั่นแสงแดด สายลมคอยห่มป่าโน่นเม็ดฝนหล่นโปรยมามิรู้สิ้น…ฟังสิเพลงนกป่า หญ้าผลิบานให้ได้ยินว่าชีวินนั้นสอดคล้องกันและกันลองหันมองจ้องดูสรรพสิ่ง…เราจะเห็นความจริงมิแปรผันคน ดิน น้ำ ป่า ฯ พึ่งพาอาศัยกันหากสิ่งหนึ่งผกผัน  สิ่งนั้นตาย !มาเถิด,  มาร่วมกันปกป้องป่ามารักษาสายน้ำ…
ภู เชียงดาว
อยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งส่งเรียงความ เรื่องวันเด็ก ของ ด.ช.ภูภู่ มาให้ แถมยังย้ำบอกอีกว่าต้องอ่าน อืมม...ใช่ พออ่านแล้วฮาเลยนะครับ ผมว่าอารมณ์ขัน แสบ มัน ฮา อย่างนี้ น่าจะเขียนส่ง ต่วยตูน นะเนี่ยไม่รู้ว่าใครได้อ่านกันหรือยัง ขออนุญาตนำมาแปะให้อ่านกันตรงนี้แล้วกันครับ...ขอย้ำ- -โปรดเขย่าอารมณ์ขันก่อนอ่าน...
ภู เชียงดาว
เย็นลมเหนือพัดโชยผ่านกิ่งไม้ เย็นเยียบเย็นตะวันโผล่พ้นฉายแสงเช้าละมุนอุ่นอ่อนหากชีวิตหลายชีวิตโหยหา หวนหาความงามครั้งเก่าก่อนแม้ผ่านนานหลายนาน กี่เดือนปี ความหลังยังคงกรุ่นกลิ่นหอมนิ่งฟังสิ- -คล้ายยินเสียงนางฟ้าครวญเพลงแว่วมาแต่ไกลยังจดจำภาพเธอติดตาอยู่เสมอนะนางฟ้าเธอผู้มีดวงตาสุกใสในวัยเยาว์ฝันแก้มเธอเปล่งปลั่งดั่งดอกไม้สีชมพูแย้มผลิหวานงามแสนงามในนามของความรักที่เธอโปรยปรายแจกจ่ายให้ทุกคนคราพบเห็นยัง เป็น อยู่ เช่นนั้นใช่ไหม...นางฟ้าจากเช้า สู่บ่าย ล่วงลับเย็นยามตะวันอำลาลับขอบเขาตะวันตก...ในเงียบนั้นเรามองเห็นแสงงามอยู่กลางทุ่งเมฆฝันยังระบำร่ายรำฝันอยู่อย่างนั้นเช่นเดิมอยู่ใช่ไหม...…
ภู เชียงดาว
1.ฤดูหนาว...เชื่อว่าใครหลายคนคงรู้สึกชื่นชอบฤดูกาลนี้กันเป็นพิเศษ บางคนชื่นชอบเพราะชีวิตได้สัมผัสกับไอหนาว หมอกขาว ตะวันอุ่น...หลายคนอาจหลงรักดอกไม้ที่พากันแข่งชูช่อเบ่งบานล้อลมหนาวกันดื่นดาษ บางคนอาจชื่นชอบ เพราะเป็นฤดูกาลแห่งการถวิลหาความหลังที่ครั้งหนึ่งนั้นมีหัวใจที่เคยระรื่นชื่นสุขบางคนอาจชื่นชอบเพราะความสะอาดสดของอากาศของฤดูหนาวทว่าเมื่อหันไปมองคนอีกกลุ่มหนึ่งบนดอยสูง ในพื้นที่ทุรกันดารและห่างไกล...ฤดูหนาวกลับกลายเป็นความทารุณ โหดร้ายมากพอๆ กับความตายกันเลยทีเดียวใช่, ความหนาวทำให้หลายชีวิตต้องเผชิญกับความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนแล้วหละนึกไปถึงร่างอันบอบบาง…
ภู เชียงดาว
ภาพโดย www.thaingo.org -งาม- เธองามดั่งดวงดอกไม้ป่าเบ่งบานสะพรั่งในหมู่มวลธรรมชาติสรรพสิ่งเพียงลมสายบริสุทธิ์พัดต้องล่องลอยมาสู่,ชีวิตเธอก็คลี่กลีบนวลยิ้มแย้มเบิกบานอยู่อย่างนั้นให้สัมผัสพบเห็นเป็นที่ชื่นชมในกัลยาณมิตรให้ชุ่มชื่นดวงจิตเธอช่วยชุบชูชีวิตหลายชีวิตให้มีหวังยิ่งยามแผ่นดินแล้งแห้งหรือเร่าร้อนดังไฟ-แกร่ง-เธอแกร่งดั่งภูผาที่ยืนท้าต้านแรงลม แดด ฝนวิถียังเฝ้าฝ่าฟัน บากบั่น ยึดมั่น ก้าวไปบนถนนของคนจนและความจน แหละผจญไปบนเส้นทางของความจริงแม้ร่างนั้นดูบอบบาง หากยังฝืนกำหมัดหยัดยืนชูมือขึ้นสู่ฟ้า เพียรวาดฝัน ปรารถนา ปวงประชาพบทางแห่งเสรีใช่, เหมือนกับที่เธอว่าไว้ในบทกวี...“…
ภู เชียงดาว
ข้าไม่สนใจที่จะก้าวไปข้างหน้า ข้าเดินอย่างสบายๆ ให้ทุกสิ่งดำเนินไปในวิถีของมัน มีข้าวสามทะนานอยู่ในย่าม มีฟืนใกล้เตาไฟ แล้วจะสนใจไยกับมายาและการบรรลุธรรม ชื่อเสียงและโชคลาภจะมีประโยชน์อันใด ข้านั่งในกระท่อม ฟังเสียงฝนยามค่ำ เหยียดขาอย่างอิสระอยู่ในโลก. ‘เรียวกัน’ ผมกลับมาพักอยู่ในสวนบนเนินเขาอีกครั้ง,ในวันที่ลมหนาวมาเยือน เป็นการกลับมาใช้วิถีของความเรียบง่ายและเป็นสุข, ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อมาพักอยู่ในบ้านสวน ซึ่งนับวันสวนยิ่งคล้ายป่าไปทุกที ใจผมรู้สึกนิ่ง สงบมากขึ้น ไม่ต้องเคร่งเครียด เร่งรน หากใช้ชีวิตให้กลมกลืนและใกล้กับวิถีธรรมชาติให้มากที่สุดมาถึงห้วงยามนี้ ผมบอกกับตัวเองว่า…