Skip to main content



ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้

แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...


0 0 0 0 0


ร่วมกว่าสามสิบชีวิตที่หลบหนีความสับสนวุ่นวายของผู้คนล้นหลามและเครื่องยนต์อึงอลก่นคำรามในวิถีเมืองใหญ่ ทุกคนต่างพกพาหัวใจใส่เป้พาชีวิตไต่ไปตามถนนบนภูเขา ที่สูงทอดยาวสลับทับซ้อนกันเรียงราย เพื่อแสวงหาความบริสุทธิ์ สงบ เรียบง่ายของธรรมชาติ และผู้คนชนเผ่าบนดอยสูง


เช้านั้น, แดดส่องใส ท้องฟ้าสีฟ้าเข้ม อากาศสดสะอาด สายลมฤดูหนาวพัดโชย

เรา- - ลัดเลาะไปตามดงป่าที่รกครึ้มร่มรื่นชื่นเย็น สัมผัสกับกรุ่นกลิ่นหอมของป่า

เป้าหมายนั้นคือ ‘มูเส่คี ป่าสนวัดจันทร์’ อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่


ในแผ่นพับเชื้อเชิญของ ‘สานใจคนรักป่า’ ได้บอกไว้ว่า เป็นกิจกรรมสัญจรสู่ต้นน้ำ มุ่งหวังที่จะสร้างความเข้าใจต่อสังคม ในเรื่องที่กลุ่มชาวบ้านจากชุมชนหลายแห่ง ได้พยายามทำหน้าที่ในการดูแลรักษาป่า หุบห้วย ดงดอยในภาคเหนือ และต้องการได้รับการสนับสนุนจากทุกคนในสังคม ที่เห็นความสำคัญในการดูแลรักษาป่า


นี่เป็นครั้งแรก ที่ชีวิตผมมีโอกาสได้สัมผัสกับผืนป่าสนวัดจันทร์

ซึ่งก่อนหน้านั้นรู้จักรับรู้เพียงเรื่องราวของป่าสนธรรมชาติในหนังสือในเสียงเพลงและบทกวี

และรับรู้ถึงตำนานการต่อสู้ของพี่น้องชนเผ่าปวาเก่อญอที่ได้ร่วมกันปกป้องรักษาผืนป่าสนสดเขียวผืนนี้มานานและนาน ด้วยวิถีและจิตสำนึกของเผ่าพันธุ์ที่บรรพบุรุษคอยสั่งสอนให้ลูกหลานรู้จักรักและหวงแหน ธรรมชาติ ผืนดิน ผืนป่า และสายน้ำ เช่นดั่งชีวิตตน


เพียงแค่ยินเสียงแผ่วแผ่วเบาของผู้เฒ่าปวาเก่อญอคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า- -ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว รัฐเคยคิดจะให้นายทุนสัมปทานตัดต้นไม้ต้นสนให้หมดทั้งผืนป่า ตัดโค่นป่าสนที่กำเนิดเติบใหญ่ขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยธรรมชาติ นับแสนๆ ไร่


ใครกันบ้างหนอ…ได้ยินได้ฟังเรื่องราวเช่นนี้ หัวใจคุณจะไม่ปวดร้าว!!


โอ มนุษย์เราช่างโหดร้ายต่อแม่แห่งธรรมชาติเพียงนี้เชียวหรือ!?...” ใครคนหนึ่งรำพึงอยู่อย่างนั้น


ในห้วงนั้น ผมหยิบ”สานใจคนรักป่า” เล่มเก่า ในถุงย่ามออกมาอ่านครุ่นคำนึงถึงคำเขียน ของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ พญาอินทรีแห่งดอยสูง ผู้พำนักอยู่กับมวลธรรมชาติสงัดและสงบ ณ สวนทูนอิน บนดอยโป่งแยง


กับงานที่ชื่อ “คนเป่าขลุ่ยผู้เอกา“…ในบทท้ายสุด- - -


ฯลฯ คนเป่าขลุ่ยวางเลาลงบนปุยแห้งของตะไคร่ สแปนิช มอสส์

ควานมือลงในย่ามล้วงขวดเหล้า40 ดีกรี ออกมารินลงในกระบอกไม้ไผ่บง

เหล้านั้นดองกับเถาตะค้านและว่านโด่ไม่รู้ล้ม

ใบหน้าของเขาปริยิ้ม กับการได้ยินหนอนขับขานกวีว่า…

กู,ชีวิตกูเกิดในดินและบนดิน,

มึงอย่าบอกว่ามึงเกิดในขี้,

ผู้ทรยศกับดิน,

ผู้ทรยศกับรังไข่และมดลูกของแม่แห่งโลก,ฯลฯ

 

ผ่านไปนานหลายนาน- - จนถึงบัดนี้ ป่าสนวัดจันทร์ผืนนั้น ยังคงดำรงอยู่อย่างอุดม…

ว่ากันว่า หากพี่น้องชนเผ่าปวาเก่อญอหลายหมู่บ้านในเขตป่าสนวัดจันทร์ ไม่รวมพลัง ไม่ร่วมกันเรียกร้องต่อสู้ เพื่อรักษาสิทธิในการปกป้องดูแลป่าผืนนั้นแล้ว ป่านนี้, ทั้งสนชรา สนหนุ่ม ลูกหลานแห่งธรรมชาติที่หยัดยืนตระหง่านอยู่นับแสนๆไร่ คงถูกโค่นฆ่าล้มตายลงจนหมดสิ้น!!


ด้วยหัวใจอันมืดดำและมือแห่งอำนาจอันฉ้อฉล ของมนุษย์กลุ่มหนึ่งในนาม“รัฐแห่งนายทุน”

 

 

 


บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
   
ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
  จู่ๆ คุณก็รู้สึกเหนื่อยเพลีย ข้างในเหมือนว่างโหวง ไม่สดชื่นรื่นรมย์เหมือนแต่ก่อน มือเท้าชา ร่างกายอ่อนแรง สมองมึนงง คิดโน่นลืมนี่อยู่อย่างนั้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่คุณก็หลีกหนีห่างจากเมืองอันสับสน ไกลจากผู้คนของความอึงอล มาอยู่ในหุบเขาสงบเงียบแบบนี้  
ภู เชียงดาว
  1.
ภู เชียงดาว
-1- หลังการเก็บเกี่ยวข้าว นวดข้าว ขนข้าวมาเก็บไว้ในหลอง(ยุ้งฉาง)ของชาวนา ไม่นาน ท้องทุ่งเบื้องล่างก็ดูเปิดโล่ง มองไปไกลๆ จะเห็นตอซังข้าว กับกองฟางสูงใหญ่กองอยู่ตรงนั้น ตรงโน้น กระนั้น ท้องทุ่งก็ไม่เคยหยุดนิ่ง มันมีชีวิต มีการเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เท่าที่เขาเฝ้าดู ในหน้าแล้ง หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว คนเลี้ยงวัวประจำหมู่บ้านคงมีความสุขกันถ้วนหน้า พวกเขารู้ดีว่าจะทำอย่างไงหลังจากชาวนาขนข้าวขึ้นหลองเสร็จเรียบร้อย คนเลี้ยงวัวจะรีบปล่อยฝูงวัวสีขาวสีแดงหลายสิบตัวลงไปในทุ่งโดยไม่ต้องบอกเจ้าของนา ไม่มีใครว่า ปล่อยให้มันเล็มยอดอ่อนจากตอซังข้าว บ้างก้มเคี้ยวเศษฟางข้าว…
ภู เชียงดาว
เกือบค่อนปีที่ข้าตัดสินใจหันหลังให้กับใบหน้าของเมืองใหญ่ มุดออกมาจากกล่องของความหยาบ แออัดและหมักหมม ถอยห่างออกมาจากความแปลก แยกออกมาจากความเปลี่ยน สลัดคราบมนุษย์เงินเดือน สลัดความเครียดที่สะสม สลัดทิ้งซึ่งพันธนาการ ตำแหน่ง หน้าที่การงาน และความโลภ ที่นับวันยิ่งพอกพูนสุมหัวใจข้า - - กระชาก ขว้างทิ้งมันไว้ตรงนั้น อา,ทุกอย่างช่างหน่วงหนักและเหน็ดหน่าย - -ย้อนถามตัวตน ข้าระเหระหนเดินทางมาไกลและแบกรับสัมภาระมากเกินไปแล้ว !