Skip to main content

เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า            
โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง
ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง 
             
แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน

ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า  
ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน
ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                             
ที่จะขับที่จะขานเพลงหวังดี
เหมือนบทเพลงเปลี่ยนท่วงทำนอง    
หัวใจจำร่ำร้องในวิถี...
ก่อนเคยร่วมสอดประสานดวงชีวี
      
มี-ไม่มี เรามิพรั่นมิหวั่นกลัว
บัดนี้,ความฝันพลันหมองหมาง        
ดุ่มเดินเคว้งคว้าง ทางสลัว
ยิ่งดั้นด้นค้นหา ยิ่งหม่นมัว               
                                                            
ดิ่งลึกท่ามความดี-ชั่ว ในตัวตน

\\/--break--\>
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า

หลายสิ่งรุมเร้าเศร้าสับสน
ชีวิตบนทางที่วกวน...                     
                 
กี่คนกี่คน ล้วนถูกมัด-พันธนาการฯ



















 

ลมหนาวมาเยือนอีกครั้ง ทำให้คุณนึกถึงบทกวีชิ้นนี้ขึ้นมาทันใด คุณเขียนไว้เมื่อครั้งยังทำงานกลางป่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน เขียนให้กับตัวเองและมิ่งมิตรในยามสับสนอ่อนล้า นึกถึงผองเพื่อนหลายคน บ้างก่นด่าชะตากรรม อีกทั้งยอมแพ้ระหว่างทาง หันหลังคืนกลับ ก่อนเดินพลัดหายไปในเมืองแห่งความลวงและกลวงดังเดิม                                                                                 

จริงสิ, ชีวิตคนเรานั้นล้วนต่างประสบพบเจออะไรๆ มามากต่อมาก ผสานผสมปนเปกันไปอยู่อย่างนั้น ทั้งสุขทุกข์ สมหวัง พ่ายหวัง หัวเราะ ร่ำไห้ บาดเจ็บ เหน็บหนาว นุ่มนวล ดิบเถื่อน สลัด เกาะกุม ไขว่คว้า ได้มาสูญเสีย พรากจาก ฯลฯ ทว่าหลายต่อหลายครั้ง เหมือนเราถูกมือที่มองไม่เห็นจับกระชากเหวี่ยงลงไปในหุบเหวของความดำมืด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากที่สุดแล้ว เรากลับผุดโผล่ ฮึดสู้ และพร้อมเผชิญกับมันได้อย่างเหลือเชื่อ ก้าวพ้นออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ประหนึ่งว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่ประเดประดังเข้ามา เป็นเพียงบททดสอบชีวิต ว่าเราจะก้าวข้ามและผ่านพ้นไปได้อีกบทหนึ่งหรือไม่เท่านั้นเอง          

"ชีวิตคนเราจำเป็นต้องเกิดใหม่หลายๆ หน..."            
คุณย้ำบอกตัวเองอย่างนี้ หลังจากใช้ชีวิตมาอย่างหน่วงหนักจนวัยใกล้เลขสี่แล้ว การเกิดใหม่ของคุณนั้นอาจหมายถึงการกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง แม้กระทั่งเรื่องของหน้าที่การงานหรือการใช้ชีวิต

เมื่อนั่งอยู่ในความเงียบลำพัง...คุณชอบย้อนมองชีวิตที่ผันผ่านมา บางครั้งรู้สึกเศร้า บ้างอดหัวเราะให้กับตัวเองไม่ได้ เกือบสี่สิบปี วิถีผ่านพบและเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดนิ่งเลยหรือนี่
!? จากลูกชาวนายากจนคนหนึ่งที่มีโอกาสหลุดเข้าไปเรียนในเวียงแล้วเจอกับสังคมแปลกแยกแปลกใหม่ที่สนุกและเลวร้ายระยำ พลัดหลงเข้าไปอยู่ในฝูงเพื่อนเกเรและร้ายกาจ แต่คุณก็หลุดออกจากวงโคจรอุบาทว์นั้นมาได้ทัน ในขณะที่เพื่อนหลายคนนั้นเลือกทางเดินสายโจร และสิ้นสุดที่คุกตารางกับความตายไม่ต่ำกว่าสิบราย               

คุณนั่งครุ่นคิด...บางทีอาจเป็นเพราะความจนทำให้คุณเห็นความจริง ทำให้คุณเล็ดลอดออกมาได้ ประกอบกับช่วงนั้น แม่ผู้ให้ความรัก ห่วงใย คอยเอาใจใส่คุณ พลันมาจากไปในห้วงนั้นด้วย จึงทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนและเลือกเดินไปอีกเส้นทางหนึ่ง...จำได้ว่า หลังแม่ตาย คุณเฝ้าถามตัวเองถี่มากขึ้นทุกวันๆ...เราเกิดมาทำไม เราอยู่เพื่ออะไร และจริงๆ แล้วในชีวิตคนเราต้องการอะไร!?                                             

และแล้วชีวิตคุณก็ออกเดินทางไกลมากขึ้นทุกที... 
จบมัธยมปลาย ก็เริ่มทำงานอยู่ร้านเหล็ก แบกเหล็ก พนักงานเก็บเงิน ครูอาสาสมัครเดินสอน ขายประกัน เป็นยามโรงแรมขณะเรียนวิทยาลัยครูอยู่พักหนึ่ง ก่อนไปเป็นลูกจ้างชั่วคราวให้กับโรงเรียนคนพิการทางสมอง และมาเป็นครูผลิตสื่อและครูพี่เลี้ยงกินนอนอยู่ร่วมกับเด็กพิการทางสายตา ในโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ


เด็กๆ ผู้พิการทางสายตานี่เองได้สอนคุณหลายอย่าง ในห้วงขณะชีวิตคุณกำลังทดท้อและมืดดำสับสน แต่พวกเขากลับมีส่วนกระตุกต่อมสำนึกคุณให้ฟื้นตื่น ให้ดวงจิตคุณสว่างวาบขึ้นมาได้

ใช่ พวกเขาและเธอสอนคุณให้รู้จักจินตนาการ ความฝันและความหวัง ซึ่งมีมากกว่าคนตาดีหลายเท่านัก จากนั้น คุณตัดสินใจขึ้นไปเป็นครูอาสาฯ บนดอยสูงติดกับชายแดนไทย-พม่า นานนับสิบปี แน่นอนว่า รายทางที่คุณแบกเป้ ดุ่มเดินลัดเลาะไปตามทุ่งนา ลำห้วย เนินเขา ป่าสน ไร่ข้าว ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพี่น้องชนเผ่ากลางป่าลึกนั้น ได้มีส่วนหนุนเสริมให้คุณรู้จักชีวิตตัวเองและชีวิตผู้อื่นมากขึ้น แน่นอน วิถีหมู่บ้านป่า อาจเปล่าเปลี่ยวและเหน็บหนาว แต่ที่นั่นทำให้คุณรู้จักกรุ่นอายความรักบริสุทธิ์ของเด็กๆและแววตาอาทรของพ่อเฒ่าแม่เฒ่า    

บนดอยนั้น ยังทำให้คุณรู้จักความอดอยาก ความป่วยไข้ การเกิดและความตาย คุณยังจำภาพเด็กน้อยวัยสามขวบป่วยหนัก คุณใช้ผ้าขะม้าพัดรวบร่างทั้งคุณ พ่อและเธอจนแนบแน่น กันหลุดลื่นล้มระหว่างทางอันเละด้วยดินโคลน ก่อนพาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ลงไปส่งโรงพยาบาลอำเภอเวียงแหง ในค่ำคืนมืดฝนพรำตลอดทาง ภาพนั้นยังติดตามคุณอยู่ไม่เคยเลือนหาย...ภาพพ่อของเด็กน้อยนั่งสะอื้นร้าวลึกอยู่ริมบันไดโรงพยาบาล เมื่อเราไม่อาจยื้อช่วยชีวิตเธอไว้ได้

บนดอยสูง ยังได้สอนคุณให้รู้จักภาวะดิ้นรน การเอาตัวรอดของผู้คน เห็นร่องรอยการข่มเหงกดขี่และความไม่เป็นธรรมกระจายไปทั่วหุบเขา แหละนั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งทำให้คุณตัดสินใจลาออกครู มาทำงานหนังสือพิมพ์ออนไลน์ ประชาไท' ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้ง ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนครูดอย บ้าหรือเปล่า...ลาออกทำไม เขากำลังจะบรรจุเป็นข้าราชการแล้ว แต่งานสื่อมวลชนก็ได้สอนคุณให้รู้จักพลังของสื่อ และทำให้คุณมองเห็นความทุกข์ยากของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทั้งชีวิต สิทธิ เสรีภาพไปทั่วทุกหนแห่ง งานสื่อทำให้คุณรู้จักทั้งด้านดีและด้านเลวร้ายของสังคมไปพร้อมๆ กัน ยิ่งเสาะค้น ยิ่งหมักหมม ยิ่งขุดคุ้ย ยิ่งเห็นความลึก กว้าง ทับซ้อน ทวีคูณ...

กระทั่งคุณตัดสินใจลาออกงานประจำได้ขวบปีกว่า มาใช้ชีวิตในสวนหุบผาแดง อันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิด และคุณถือว่าตนเองกำลังเกิดใหม่อีกหน                                                                                       

"เป็นคนสวนและคนเขียนหนังสือ..." 
"จน...แต่มีความสุข" คุณบอกใครต่อใครอย่างนั้น...และบอกกับตัวเองอยู่ย้ำๆ ว่า นับแต่นี้ ขอเลือกวิถีทางธรรมดา เรียบง่าย สงบ อยู่ร่วมกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร ในพื้นที่เล็กๆ ให้สมดุล สอดคล้อง อ่อนโยนกับโลกใบนี้ ที่สำคัญ...คุณพยายามสลัดทิ้งซึ่งพันธนาการที่ผูกมัดรัดรึงชีวิตและจิตวิญญาณให้หลุดออกไปให้มากที่สุด                                                                           

จริงสิ, ชีวิตคนเราล้วนเคยถูกผูกมัดอยู่กับพันธนาการมาแล้วทั้งนั้น ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่ง หน้าที่การงาน ความรัก ครอบครัว กิเลส อำนาจ ความเห็นแก่ตัว ความละโมบ เงินตรา ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่า แม้ว่าเราจะสลัดพันธนาการหนึ่งออกไป แต่ก็ดูเหมือนว่ามีพันธนาการตัวใหม่เข้ามารัดรึงเราไว้อีก กระนั้นก็ตามเถอะ มาถึงตอนนี้ คุณรู้แล้วว่า จริงๆ แล้ว คนเราไม่ต้องสะสมอะไรให้มากนัก ยิ่งเหลือน้อยเท่าไร ยิ่งโปร่งโล่ง สบาย...

"แล้วอยู่ได้อย่างไร...ไม่มีเงินเดือน ไม่มีงานประจำ ไม่กลัวอดตายเหรอ" ใครคนหนึ่งเอ่ยถามคุณ คุณได้แต่ยิ้ม แล้วหันไปมองรอบๆ บ้านปีกไม้ สวนชีวิตของคุณกำลังรกครึ้มกลายเป็นป่า ทั้งไม้ผล ผักไม้ไซร้เครือ รวมทั้งดอกไม้กำลังงอกเงย งอกงาม แต่ถ้าใครถามคุณเช่นนั้นอีก คุณคงบอกได้แต่เพียงว่า- -อย่ากังวลถึงวันพรุ่ง...แต่จงใช้ชีวิตวันต่อวัน...เพียงเท่านั้น                                                             

คงเหมือนกับดวงตะวันยามเช้าที่โผล่พ้นยอดดอยผาแดงทางทิศตะวันออก และลับลงตรงเหลี่ยมดอยหลวงเชียงดาวทางทิศตะวันตกทุกย่ำเย็น.        

* * * * *

หมายเหตุ : งานชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกใน คอลัมน์ปลายทางเส้นนี้มีดอกไม้ วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 81 กันยายน-ธันวาคม 2552

 

 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...