Skip to main content

 

 

 

 

 หลังรอยคราบเลือดและม่านหมอกควันความขัดแย้ง

ข้าพลิกอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน

พลันพบว่าบางแผ่นหายไป บางหน้ามีร่องรอยบาดแผล

แหว่งขาดและชำรุด                                    

ทว่าเมืองทั้งเมืองดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

อัตราราคาสินค้าลดราคาได้กลบค่าราคาชีวิตที่ด่าวดิ้นนั้นไปเสียสิ้น

อึงอลกระแสโหมโฆษณา- -โลกนี้ร้ายนักเพราะไร้รักและปรองดอง

มาเถิดมา,เราทั้งผองมาเร่งปัดกวาด

บางสิ่งที่หักพัง บางอย่างที่หมักหมม,ไม่เป็นไร

มันเลวร้ายมากนักก็ซุกซ่อนไว้ใต้พรมของความลวงอย่างเงียบๆ

แล้วควบคุมด้วยพลังเหนือธรรมชาติ ด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น

แน่ละ มันไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อ มันไม่เหนือการคาดการณ์ไว้

และมันกำลังบ่าไหลเอ่อท้นในสังคม!

ชั่วข้ามวันคืน...

เมืองทั้งเมืองดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

และข้ามองเห็นใบหน้านั้น

ยังคงเปื้อนยิ้ม ยะเยือก

และเย็นชา

  

* * * * * * * * * *

เมืองทั้งเมืองดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น...                                                                  

นั่นข้ามองเห็นเหล่านักการเมืองเลวกับนักบิดเบือนแห่งชาติ                                                        

 จูงมือกันไปในห้องลับอันหรูหราและฉ้อฉล                                                                                         

พวกเขากำลังร่วมกันคิดค้นแต่งตำราประวัติศาสตร์รัฐชาติ-รักชาติ

เตรียมยัดใส่โพลงสมองอันว่างโหวงสับสนและมึนงง                                                                                 

ในเหล่าอาณาประชาราษฎร์, ทั้งฝ่ายยังคงรื่นเริงยินดี

ทั้งฝ่ายจำนนจำยอมค้อมรับอย่างผะอืดผะอม                                                                                           

ไปจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย

จนกว่าจะสิ้นยุคสุดท้าย  

* * * * * * * * * *  

                                                                                     

 

 

ในตรอกซอยร้าว ในซอกตึกร้าง

ท่ามกลางเสียงเพลงเต้นรำข้างกองไฟและซากศพ

ข้าเหมือนยินเสียงวิญญาณร้องคร่ำครวญ

เหมือนอยากย้ำเตือนสั่งเสีย...                                                                   

จำไว้ อย่าลืม เซฟภาพ เก็บคำ ความจริงอันเลวร้ายเหล่านั้น                                                     

ไว้ชำระประวัติศาสตร์อันแหว่งวิ่นและผุพัง

                                                               

อา- -นี่คือเรื่องจริง

หรือข้ากำลังฝันไป!?

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
ค่ำนั้น, ผมกลับมานั่งในบ้านปีกไม้ในหุบผาแดง นิ่งมองภาพเก่าๆ ของพ้อเลป่า สลับกับภาพครั้งสุดท้ายของเขาก่อนจะละสังขารไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา
ภู เชียงดาว
เดาะ บื่อ แหว่ ควา สี่ จื้อ เนอ มู้ โข่ ลอ ปก้อ เฉาะ ถ่อ เจอพี่น้องประสานนิ้วมือฟ้าถล่มช่วยกันค้ำไว้ โถ่ ศรี ซี้ เล้อ แหม่จอ ป่า ซี้ ด่า แคนกยูงตายเพราะขนหางขุนนางตายเพราะเชื่อคนยุยง
ภู เชียงดาว
  ที่มาภาพ : www.thaioctober.com/forum/index.php?topic=308.105เมื่อเราพูดถึงเรื่อง การพัฒนาและความเจริญ ที่คนส่วนใหญ่ต่างมุ่งไปทางนั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา และมันกำลังรุกคืบคลานเข้ามาในวิถีบนบ้านป่าบ้านดอยอย่างต่อเนื่อง
ภู เชียงดาว
ผมหยิบงานที่ผมเขียนถึง ‘พ้อเลป่า' ปราชญ์ปกากะญอขึ้นมาอ่านอีกครั้ง หลังทราบข่าวจาก ‘หญ้าน้ำ ทุ่งขุนหลวง' ว่า ‘พ้อเลป่า' เสียชีวิตอย่างสงบแล้วเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา... ก่อนที่ผมและเพื่อนกำลังออกเดินทางไปบนทางสายเก่า สายนั้น...
ภู เชียงดาว
                          (๑) หอมกลิ่นภูเขาล่องลอยโชยมาในห้วงยามเย็นฉันยืนอยู่บนเนินเขาเหนือหมู่บ้านปล่อยให้สายแดดสีทองส่องสาดกายมองไปเบื้องล่าง- -ท้องทุ่งแห่งชีวิตยังเคลื่อนไหวไปมา ไม่หยุดนิ่งในความหม่นมัว ในความบดเบลอฉันมองเห็นภาพซ้อนแจ่มชัด แล้วเลือนราง
ภู เชียงดาว
ผมเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตในเมืองนั้นคงเหน็ดหน่ายและเหนื่อยหนักจากการงาน ชีวิตหลายชีวิตอาจถูกทับถมด้วยภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง ยังไม่นับนานาปัญหาที่เข้ารุมสุมแน่นหนาอีกหลายชั้น จนดูเหมือนว่าชั่วชีวิตนี้คงยากจะสลัดให้หลุดพ้นไปได้ ที่ผมพูดเช่นนี้เพราะครั้งหนึ่งตัวผมเองเคยเอาชีวิตไปวางไว้อยู่ในเมืองนานหลายปี แน่นอน ใครหลายคนในสังคมเมืองจึงชอบเอา ‘การเดินทาง' เป็นหนทางเดียวที่จะหลุดพ้นออกจากกงล้อแห่งการงานนั้นได้ และมักเอาช่วงสิ้นปีหรือวันปีใหม่ เป็นวันแห่งการปลดปล่อย ในขณะที่ตัวผมนั้น กลับไม่ได้เดินทางไปไหนเลย ยังมีชีวิตแบบวันต่อวัน อยู่กับปัจจุบันขณะ ในหุบเขาผาแดงแห่งนี้
ภู เชียงดาว
ผมไม่รู้ว่าในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรา จะมีสักกี่คนสามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้กี่ครั้งกี่หนกันแน่นอน ความฝันใครบางคนอาจเกลื่อนกล่น ความฝันใครหลายคนอาจหล่นหาย ใครหลายใครอาจมองว่าความฝันคือความเพ้อฝัน ไกลจากความจริง แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายๆ คน ไม่เคยละทิ้งความฝันพยายามฟูมฟักความฝัน กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู แม้บ่อยครั้งอาจอาจเหนื่อยหนัก เหน็ดหน่าย กว่าจะทำให้ความฝันนั้นกลายเป็นจริงได้...เหมือนชายคนนี้...ที่ทำให้ฝันหนึ่งนั้นกลายเป็น ความงาม และความจริง... ผมมีโอกาสเดินทางไปเยือน เวียงแหง อำเภอเล็กๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ อยู่ติดกับชายแดนไทย-พม่า ซึ่งผมเคยบันทึกไว้ว่า เป็นดินแดนหุบเขาที่มีชีวิต…
ภู เชียงดาว
ผมรู้แล้วว่า วิถีคนสวนกับคนเขียนกวีนั้นไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก ต้องฝึก ทดลอง เรียนรู้ ลงมือทำ ทุกวัน ทุกวัน และแน่นอนว่า เมื่อลงมือทำแล้ว เราจำเป็นต้องหมั่นรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย เติมความรักความเอาใจใส่ลงไปอย่างต่อเนื่อง (ถ้าไม่อย่างนั้น พันธ์พืชที่เราหว่านลงไปอาจเฉาเหี่ยวแห้งไป หรือไม่ผืนดินอันอุดมก็อาจแข็งด้านดินดานไปหมด) หลังจากนั้น เรายังต้องอดทนและรอคอยให้มันออกดอกออกผล กระทั่งเราสามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวผลผลิตที่งอกเงยในบั้นปลายได้ ทุกวันนี้ ผมยังถือว่าตนเองเป็นเพียงคนสวนมือใหม่ และเป็นคนฝึกเขียนบทกวีอยู่เสมอ ทุกวัน หลังจากพักงานสวน ผมจะลงมือเขียนบทกวี โดยเฉพาะในยามนี้…