Skip to main content

200802061 ภาพทางขึ้นดอย

เมื่อวันก่อน เพื่อนนักเขียนสาวเมืองเหนือ นาม “สร้อยแก้ว คำมาลา” ส่งข่าวมาบอกว่า จะเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ที่ ‘ร้านเล่า’ เชียงใหม่ ในช่วงเย็น วันที่ 12 ก.พ.นี้ พร้อมกับชักชวนผมเข้าไปร่วมวงคุยกับศิลปินนักเขียนเมืองเหนือกันด้วย

“ชื่อหนังสือ... เพราะคิดถึง... เป็นรวมความเรียงที่เคยเขียนไว้ในนิตยสารสานใจคนรักป่าเมื่อปีก่อนๆ แต่เพิ่งเอามารวมเล่มเจ้า” เสียงหวานๆ ของเธอบอกเล่าให้ฟัง
“ปกสีชมพูอีกแม่นก่อ...” ผมแหย่เธอเล่น
“แม่นแล้ว...สีชมพูหวานแหววเลยแหละ...” เธอรีบบอกพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ

จริงสิ, จึงไม่แปลก ที่เธอจะชอบสีชมพูเป็นพิเศษ เพราะว่าเธอเป็นนักเขียนที่มีถ้อยคำภาษานุ่มนวล อ่อนหวานและจริงใจ ซึ่งเข้ากับบรรยากาศแบบเมืองเหนือ และนี่คือเสน่ห์แห่งถ้อยคำของเธอ

ในบางบทนำเสนอของหนังสือเล่มนี้ บอกไว้ว่า “เพราะคิดถึง...” เป็นรวมความเรียงว่าด้วยเรื่องของเด็ก ดวงดาว ท้องฟ้า ป่าเขา แม่น้ำ และความคิดถึง จากปลายปากกาของนักเขียนหญิงร่วมสมัย--สร้อยแก้ว คำมาลา ที่จะโน้มนำใจผู้อ่านให้ร่วมย้อนรำลึกถึงวันคืนยามเยาว์วัยในบ้านเมืองชนบทและป่าเขา ซึ่งคงกรุ่นกลิ่นอายความรัก ความอบอุ่น ความผูกพันระหว่างครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนบ้านร้านตลาด ตลอดจนธรรมชาติรายรอบตัว ประหนึ่งการเปิดลิ้นชักความทรงจำที่ไล่เรียงฤดูกาลแห่งชีวิตของผู้เขียน

"เพราะคิดถึง..." จะจับจูงผู้อ่านให้ร่วมดื่มด่ำบรรยากาศความน่ารัก ความใสซื่อบริสุทธิ์ ความสนุกสนาน และความคิดใคร่ครวญ ผ่านความเรียง 4 ภาค ได้แก่ ภาคดวงดาวและท้องฟ้า ภาคจากป่าเขา ภาคเปลี่ยนแปลงและเป็นไป และสุดท้าย ภาคการเดินทาง ความงามของภาษาเขียนที่ สร้อยแก้ว คำมาลา บรรจงเรียงร้อยภายในเล่ม นับเป็น "เสน่ห์" อย่างหนึ่งของหนังสือเล่มนี้

ผมกลับมาพักบ้านสวนที่เชียงดาว ค้นหนังสือ ‘สานใจคนรักป่า’เล่มเก่าๆ ออกมาพลิกอ่านคอลัมน์ “เพราะคิดถึง” ของเธออีกครั้ง  เจอเรื่อง “ตลาดสด” อ่านแล้วพลอยให้หวนนึกถึงภาพเก่าๆ เมื่อครั้งยังเยาว์วัยไม่ได้...

...ยามนึกถึงบรรยากาศวันนั้น ฉันรู้สึกว่ามันอบอุ่นอ่อนหวานเสียจริงๆ
    แม่ค้าและลูกสาวที่ฉันเจอเมื่อครู่มีบางอย่างที่คล้ายคลึงฉันกับแม่ หรือจริงๆ แล้วแม่ลูกทุกคู่ในโลกนี้ย่อมมีบางอย่างคล้ายคลึงกันเหมือนในหนัง the joy luck club แรงทะเยอทะยาน มานะพยายามทั้งหมดของแม่ไม่ได้มีไว้เพื่ออะไรเลย นอกจากให้ลูกได้พบสิ่งที่ดีกว่า
    แม่ขายของไม่ได้ ย่อมหมายถึงปากท้องทุกคนในครอบครัว ถูกแม่ค้าเจ้าอื่นตัดราคา นั่นหมายถึงกำไรที่น้อยลงหรืออาจขาดทุน
    ชีวิตแม่ค้าตลาดสด หรือแม้กระทั่งแผงริมทางเท้าเป็นอาชีพที่เขาเรียกว่าหาเช้ากินค่ำจริงๆ รายได้วันต่อวันไม่มีอะไรมารับประกันได้เลยนอกจากต้องฝากไว้กับโชคชะตา เคล็ดความเชื่อบางอย่างจึงต้องถือปฏิบัติด้วยความศรัทธายิ่ง
    ห้ามเอาทัพพีหรือตะหลิวคากระทะ
    วันไหนกลับมาแล้วเห็นภาพนี้ แม่จะโวยวายลั่นบ้าน “ว่าแล้วเชียว วันนี้ขายปลาไม่ได้เลย” นี่เป็นสิ่งที่เราต้องจำกันแต่เล็กแต่น้อย
    ห้ามนับเงินถ้ายังไม่เลิกขาย
    ครั้งหนึ่งฉันไม่รู้ เห็นแม่ขายของดี อยากรู้ตอนนี้ได้เท่าไหร่แล้ว จึงหยิบเงินมานับ แม่ซัดเพียะที่มือให้ ฉันน้ำตาไหล แม่รู้สึกผิด แต่ฉันก็ไม่โกรธ แม่เครียดและจริงจังกับการขาย เพราะ...เราจน.



นี่เป็นบางบทตอนของความเรียงเรื่องเล่าของเธอที่ฉายให้เห็นภาพ บรรยากาศ ความรู้สึกที่บริสุทธิ์ ใสซื่อและจริงใจอย่างยิ่งกับบทสะท้อนเรื่องราวความเชื่อของวัฒนธรรมท้องถิ่นกับความเปลี่ยนของสังคมสมัยใหม่

ซึ่งเห็นได้ชัดเจนกับตอนสุดท้ายของเรื่องนี้...


...ขณะที่เดินกลับห้องพักในวันที่ไกลบ้าน กลิ่นของความทรงจำคอยเล็ดลอดปะปนกับลมหายใจให้ฉันหวนคำนึงถึงเรื่องราวบางอย่าง ภาพบางภาพ
กลิ่นตลาดสด กลิ่นกะปิ กลิ่นกุ้งแห้งปลาหมึกแห้ง กลิ่นปลาร้า กลิ่นหมาก กลิ่นเส้นยาสูบแห้ง เสียงสับหมูโป๊ก โป๊ก เสียงตะโกนของพ่อค้าแม่ค้า แสงวอมแวมของเทียนไข ดวงไฟสีส้ม
ฉันเพิ่งนึกได้อีกอย่าง
ชาวลัวะแบกก๋วยขายใบตองตึง บุคคลสำคัญของตลาดสดที่นี่ แม่ค้าพ่อค้าทุกคน ไม่ว่าจะขายขนม ขายผัก ขายหมู ขายเนื้อ ขายปลา เราต้องใช้ใบตองตึงห่อ ฉันยังจำได้แม่นว่า แม่จะห่อปลาด้วยใบตองตึงห่อ แม่จะห่อปลาด้วยใบตองตึงเก่งมาก ห่อดีจนน้ำในตัวปลาไม่ไหลออก
ใบตองตึงมัดละ 50 สตางค์ มัดเป็นระเบียบเรียบร้อยใส่ก๋วยพาดสะพายกับหัวเดินให้ ขวักทั่วตลาด ดูคึกคัก
ตอนเย็นๆ ฉันมักจะเห็นพวกเขาเดินขึ้นภูเขา และขากลับจะหอบใบตองตึงกลับมาเป็นจุดสีเขียวไหวๆ คล้ายแมลงทับ โบกบินเป็นแถวๆ
แต่ปีไหนก็จำไม่ได้เหมือนกันที่ลุงคนหนึ่งโฆษณาผ่านไมโครโฟน ก้องดังไปทั้งตลาด
“ซื้อของที่ร้านเราวันนี้ แถมถุงก๊อบแก๊บฟรีหนึ่งถุง !”
นับจากนั้น ก๋วยใบตองตึงก็ค่อยทยอยจางจากไป...



เชิญร่วมงานเปิดตัวหนังสือ ‘เพราะคิดถึง...’ ของ ‘สร้อยแก้ว คำมาลา’ที่ ‘ร้านเล่า’ ถ.นิมมานฯ เชียงใหม่ วันที่ 12 ก.พ.นี้ เวลาหกโมงเย็น... ร่วมเสวนาโดย เทพศิริ สุขโสภา, มาลา คำจันทร์ นักเขียนซีไรต์แห่งล้านนา, สุวิชานนท์ รัตนภิมล (อดีตบรรณาธิการ เสียงภูเขา) แสงดาว ศรัทธามั่น, และ นันทา เบญจศิลารักษ์ (อดีตบรรณาธิการสารล้านนา) ดำเนินรายการโดย ภู เชียงดาว สอบถามได้ที่ ร้านเล่า 053 -214888


บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
        ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ…
ภู เชียงดาว
    เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา… จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’
ภู เชียงดาว
  กี่ครั้งที่เราทุกข์ กี่ครั้งที่เราล้ม กี่ครั้งที่เราจม อยู่ในท้องทะเลน้ำตา…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : www.oknation.net/blog/fontree/2008/08/20/     อีกคืนค่ำ,ผมถวิลหาคำปลอบโยนของอา “เป็นไงบ้าง อยู่ได้ไหม...ชีวิต” นั่นคือถ้อยคำของอาเคยไถ่ถาม น้ำเสียงยังกังวานหากอุ่นอ่อนโยน อาเหมือนดอกไม้กลางป่าอวลกลิ่นหอม อาคงรับรู้ว่างานข่าว งานเขียน มันยากหนักเพียงใด “ที่ถามเพราะอาเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...” ผมได้แต่พยักหน้าบอกไป “อยู่ได้ครับอา...” ในขณะหัวใจผมตื้นตันในถ้อยคำห่วงใยนั้น
ภู เชียงดาว
ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง “ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย” “ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้” “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...” “สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...” “แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
ภู เชียงดาว
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า             โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง               แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า   ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                        …
ภู เชียงดาว
        ที่มาภาพ : โอ ไม้จัตวา http://blogazine.prachatai.com/user/omaijattava/post/2171
ภู เชียงดาว
ยามหมอกขาวห่มคลุมดอย และลมหนาวพัดมาเยือนเมืองเหนือคราใด ทำให้ผมอดครุ่นคำนึงถึงวิถีเก่าๆ เมื่อครั้งเที่ยวท่องไปตามภูเขา ทุ่งไร่ สายน้ำ และชุมชนของพี่น้องชนเผ่านั้นไม่ได้ แน่ละ ในเส้นทางที่ย่ำไปนั้น มักเจอทั้งเรื่องราวมากมายให้เรียนรู้ พานพบ และหยุดทบทวนดูภาพผ่านในบางสิ่ง และละทิ้งภาพผ่านในบางอย่าง แต่โดยรวมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกข์สุข สดชื่นรื่นรมย์ หรือปวดปร่าในห้วงลึก เราไม่อาจเกลี่ยทิ้งไปได้ เพราะนั่นล้วนคือวิถีแห่งความจริงทั้งสิ้น...