Skip to main content

20080213 ตะกวด ในทำเนียบหลังตึกไทยคู่ฟ้า
ที่มาภาพ : http://www.aromdee.net/pic_upload/Sep07/p2120_1.jpg

ในวันฟ้าเปลี่ยนสี
ข้ามองเห็นสัตว์การเมืองเปลี่ยนร่าง
บ้างสลัดคราบทิ้งกลายพันธุ์
บ้างเกาะเกี่ยวกระหวัดรัดกัน
สมสู่ เสพสม กลิ้งเกลือกกองอาจม
กิเลส ความใคร่อยาก อำนาจไม่รู้จบ
อา- - ข้ามองเห็น
ผู้คนเดินผ่านไปมา มองเห็นแล้วส่ายหน้า
หดหู่ใจ.

..............

ผมค้นบทกวีที่ผมแต่งเอาไว้นานแล้ว ออกมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง...หลังมีข่าวว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในนามว่า “เหี้ย” ออกมาผสมพันธุ์กันในทำเนียบรัฐบาล

แหละนี่คือ "เบื้องหลัง 'เหี้ย' หลงฤดู โชว์อึดเสพเมถุน-เล้าโลมเป็นชั่วโมง ในทำเนียบหลังตึกไทยคู่ฟ้า" ที่เผยแพร่ใน ‘มติชนออนไลน์’ และผมขออนุญาตนำมาเสนอตรงนี้อีกครั้ง...

'ตัวเหี้ยจะผสมพันธุ์กันช่วงต้นฤดูฝน พอดีช่วงนี้กรุงเทพฯ ฝนตกมาเกือบ 10 วัน ตัวเหี้ยมันเลยสับสนคิดว่าเข้าสู่หน้าฝน ซึ่งเท่ากับว่าฤดูกาลผสมพันธุ์ของพวกมันมาถึงแล้ว สำหรับการคลอเคลียในน้ำนานนับชั่วโมงเป็นเพียงการเกี้ยวพาราสีเท่านั้น' นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ กล่าว

จากเหตุการณ์ที่สร้างความฮือฮาในรั้วทำเนียบรัฐบาล เมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 มกราคม มีการผสมพันธุ์เป็นเวลานานของ 'ตัวเหี้ย' (ชื่ออย่างเป็นทางการ) หรือ ตัวเงินตัวทอง (ชื่อที่ใครหลายคนแสร้งเรียกเพื่อความดูดี) ในบ่อน้ำ หลังตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล จนทำให้ข้าราชการในทำเนียบพากันแตกตื่น และวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา บ้างก็มองเป็นเรื่องธรรมชาติในแง่มุมตลกขบขัน แต่ส่วนใหญ่ยังคงไม่ทิ้งความเป็นไทย ที่มองเป็นเรื่องของลางบอกเหตุ อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะโฟกัสไปในทิศทางไหน

ผู้สื่อข่าว 'มติชนออนไลน์' สัมภาษณ์ นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ มหรรณพ สัตวแพทย์ช่วยราชการ สำนักพระราชวัง ถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ว่า ตัวเหี้ยจะผสมพันธุ์กันช่วงต้นฤดูฝน พอดีช่วงนี้กรุงเทพฯ ฝนตกมาเกือบ 10 วัน ตัวเหี้ยมันเลยสับสนคิดว่าเข้าสู่หน้าฝน ซึ่งเท่ากับว่าฤดูกาลผสมพันธุ์ของพวกมันมาถึงแล้ว

สำหรับการคลอเคลียในน้ำนานนับชั่วโมงของ 'คุณเหี้ย' ทั้ง 2 ตัวนั้น นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ชี้แจงว่า ที่เห็นมัน 2 ตัวคลุกวงในอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน เป็นเพียงการเกี้ยวพาราสีกันเท่านั้น เพราะการผสมพันธุ์ที่เสร็จสรรพของมันจริงๆ คือ 'บนบก'

'การผสมพันธุ์ของเหี้ยมีท่วงท่าเดียวกับเพชฌฆาตลุ่มน้ำ หรือจระเข้นั่นเอง คือมันจะนอนทับกันในลักษณะคว่ำ พร้อมกับสอดใส่อวัยวะเพศ ซึ่งใช้เวลาเพียงประมาณ 10 นาทีเท่านั้น ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทำเนียบรัฐบาลนั้นไม่ใช่การผสมพันธุ์ เป็นเพียงการเล้าโลม การสร้างอารมณ์  เพราะใช้เวลานานเป็นชั่วโมง อีกทั้งภารกิจดังกล่าวก็อยู่ในน้ำ ไม่ใช่บนบก' สัตวแพทย์ยืนยันอีกครั้งว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้าราชการและสื่อมวลชนตีความกันไปเอง

'เหี้ย คือสัตว์เลื้อยคลาน อยู่ในตระกูล class repilia ออกลูกเป็นไข่ ไข่ที่ออกจะมีปริมาณตั้งแต่ 5-20 ฟอง เปลือกไข่มีความแข็งเหมือนไข่จระเข้ เหี้ยตัวแม่นิยมเลือกสถานที่ชื้นน้ำ เช่น ริมคลอง เป็นที่สำหรับวางไข่ ใช้เล็บขุดคุ้ยจนได้หลุมวางไข่สมใจ และเมื่อวางไข่เสร็จ ตัวแม่จะปล่อยให้ไข่เจริญพันธุ์ต่อไป ส่วนตัวเองจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ'

นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ให้ความรู้เรื่อง ลูกเหี้ย ที่เกิดใหม่ว่า ลูกเหี้ยที่รอดชีวิตจากฟักไข่ด้วยตัวเอง ด้วยระยะเวลาประมาณ 10 วัน ตามปกติจะมีลักษณะสีคล้ำดำ พร้อมลวดลายตามแต่สายพันธุ์ของผู้เป็นพ่อและแม่ อาทิ ลายพาดขวาง ลายดอก สวยงามไปตามๆ กัน เมื่อเกิดมาแล้วสิ่งที่ทุกตัวจำเป็นต้องมีคือ สัญชาตญาณการเอาตัวรอด จากเหล่านกล่าเหยื่อ ที่มีทั้งเหยี่ยว และอีกา เป็นสภาวะของการเอาตัวรอดเพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของพวกมันต่อไป

'อาหารการกินของเหี้ย เมนูหลักคือ ของเน่าเปื่อย เศษซากอาหาร ส่วนเมนูอื่นประกอบด้วย ไก่ เป็ด  ปลา ปู หอย งู หนู นก และไข่ของสัตว์ต่างๆ เมื่อเหล่าเหี้ยเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ตัวผู้จะแย่งชิงตัวเมีย ผ่านการต่อสู้ ทิ้งร่องรอยการถูกกัดจากฟันอันแหลมคม ตัวที่ชนะจะมีแผลน้อยที่สุดและได้ครอบครองตัวเมีย และเหี้ยยังเป็นสัตว์ที่มีคู่ไปเรื่อยๆ ไม่ซื่อสัตย์ฉบับผัวเดียว เมียเดียว เหมือนสัตว์บางชนิด'

อนิจจา...นอกจากชื่อ 'เหี้ย' จะเป็นอัปมงคลกับผู้ถูกเรียกแล้ว สัตวแพทย์ยังยืนยันกับเราด้วยว่า ส่วนสมองของเหี้ยนั้นไม่สามารถพัฒนาให้ทัดเทียมอย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่าง 'สิงโต' ได้ พฤติกรรมของมันจึงออกมาเป็นเช่นนี้...

อยากรู้จังว่าคุณเหี้ยเค้าจะรู้สึกอย่างไร?......กับการแยกชนชั้นโดยนำชื่อของมันไปใช้ในความหมายที่ไม่ดี พร้อมกับจำแนกสมองว่าเป็นสัตว์ต่ำต้อย

อย่างน้อยที่สุดก็เชื่อว่า เหี้ยสายพันธุ์แท้ คงกำพืดดีกว่า เหี้ยสายพันธุ์เทียม ที่พอถูกสะกดออกมาแล้วพบว่าคือ กลุ่มคนประเภทใส่สูทผูกไท พร้อมกับพร่ำออกมาตลอดว่า 'ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน'

ที่มาของข้อมูล เกี่ยวกับเหี้ย : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=19173&catid=1

   

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
“พระจันทร์กำลังขึ้นในหุบเขาผาแดง...” เสียงของเจ้าธันวา ลูกชายกวีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น กับภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้า พระจันทร์ดวงกลมโตกำลังเดินทาง โผล่พ้นหลังดอยผาแดงอย่างช้าๆ ก่อนลอยเด่นอยู่เหนือยอด ลอยสูงขึ้นไปบนเวิ้งฟ้าราตรี  0 0 0 0 อีกหนึ่งความทรงจำที่ตรึงผมไว้กับการเดินทางวันนั้น เป็นการเดินทางช้าๆ ไม่เร่งรีบ เรียบง่าย ไม่มีเป้าหมาย แต่เราได้อะไรๆ จากความเรียบง่ายนั้นมามากมาย เมื่อผมนัดกับพี่ชายกวี ‘สุวิชานนท์ รัตนภิมล’ คนเขียนหนังสือ คนเขียนเพลง คนเขียนคำกวี เพื่อไปค้นหาความลี้ลับบางอย่างกลางป่า
ภู เชียงดาว
เหมือนว่าอดีตกำลังกวักมือเรียกหาเหมือนว่าปัจจุบันกำลังคลี่เผยความลับอยู่เบื้องหน้าฉันรู้สึกตื่นเต้น อยากก้าวย่างไปบนทางสายนั้น ถนนความหวังและความใฝ่ฝันภูเขาลูกนั้นที่ฉันคุ้นเคย แม่น้ำสายนั้นที่ฉันฝันถึงป่าไม้ผืนนั้นยังตรึงไว้ในดวงตากับสายลมเริงร่า กลางทุ่งหญ้าสีทอง แหละนั่นตะวันเจิดจ้า กับท้องฟ้าสีฟ้าเบิกบานสดใสเพราะโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพราะโลกใบนี้ยังไม่โหดร้ายเกินไปนักฉันจึงออกเดินทาง ไกลแสนไกลไปตามหาความฝันอันกว้างใหญ่ไปค้นหาความหวังใหม่ไม่รู้จบเพราะโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพราะโลกใบนี้ยังไม่โหดร้ายเกินไปนักฉันจึงศรัทธา คิดและฝัน...ฉันจึงออกเดินทาง....…
ภู เชียงดาว
เธอมิใช่ผู้หญิงที่สูงศักดิ์หากคือหญิงผู้แน่นหนักรักยิ่งใหญ่รักในอิสรภาพ ความเป็นไทรักต่อสู้ เพื่อสิ่งยากไร้- -ในสังคมเธอมิใช่เป็นเจ้าหญิงในตำนานหากทำงานกับปัญหาอันหมักหมมกระชากแหวก กรอบมายา ค่านิยมเพียรเพาะบ่มความแกร่งกล้า- -พยายามเธอเฝ้าเรียน เฝ้าฝืนและตื่นรู้แม้อยู่ท่ามกลางสายตาที่เหยียดหยามหากเธอยังต่อสู้กับความเสื่อมทรามแม้จักผ่านกี่ห้วงยามความเลวร้าย !ใช่,และเธอไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเองหากเปล่งเสียงร้องปกป้องชนทั้งหลายเพื่อภราดรภาพ เสรีภาพของหญิงชายเพื่อเปล่งแสงแห่งความหมาย- -ความเท่าเทียม !เธอคือหญิงนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่มีจิตใจกล้าหาญชาญยอดเยี่ยมเธอประกาศยืนหยัด...“ความเท่าเทียม”…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : http://www.aromdee.net/pic_upload/Sep07/p2120_1.jpgในวันฟ้าเปลี่ยนสีข้ามองเห็นสัตว์การเมืองเปลี่ยนร่างบ้างสลัดคราบทิ้งกลายพันธุ์บ้างเกาะเกี่ยวกระหวัดรัดกันสมสู่ เสพสม กลิ้งเกลือกกองอาจมกิเลส ความใคร่อยาก อำนาจไม่รู้จบอา- - ข้ามองเห็นผู้คนเดินผ่านไปมา มองเห็นแล้วส่ายหน้าหดหู่ใจ...............ผมค้นบทกวีที่ผมแต่งเอาไว้นานแล้ว ออกมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง...หลังมีข่าวว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในนามว่า “เหี้ย” ออกมาผสมพันธุ์กันในทำเนียบรัฐบาล แหละนี่คือ "เบื้องหลัง 'เหี้ย' หลงฤดู โชว์อึดเสพเมถุน-เล้าโลมเป็นชั่วโมง ในทำเนียบหลังตึกไทยคู่ฟ้า" ที่เผยแพร่ใน ‘มติชนออนไลน์’…
ภู เชียงดาว
เมื่อวันก่อน เพื่อนนักเขียนสาวเมืองเหนือ นาม “สร้อยแก้ว คำมาลา” ส่งข่าวมาบอกว่า จะเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ที่ ‘ร้านเล่า’ เชียงใหม่ ในช่วงเย็น วันที่ 12 ก.พ.นี้ พร้อมกับชักชวนผมเข้าไปร่วมวงคุยกับศิลปินนักเขียนเมืองเหนือกันด้วย“ชื่อหนังสือ... เพราะคิดถึง... เป็นรวมความเรียงที่เคยเขียนไว้ในนิตยสารสานใจคนรักป่าเมื่อปีก่อนๆ แต่เพิ่งเอามารวมเล่มเจ้า” เสียงหวานๆ ของเธอบอกเล่าให้ฟัง“ปกสีชมพูอีกแม่นก่อ...” ผมแหย่เธอเล่น“แม่นแล้ว...สีชมพูหวานแหววเลยแหละ...” เธอรีบบอกพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ
ภู เชียงดาว
 ภาพประกอบโดย : ขวัญข้าวจากตาน้ำน้อยน้อยค่อยหยาดหยดผ่านขุนห้วยเคี้ยวคดรดรินไหลสู่ลุ่มน้ำสาขา -  -เดินทางไกลไปเลี้ยงชีพหล่อเลี้ยงในหัวใจคนกว่าจะเป็นแม่น้ำอันกว้างใหญ่ต้องผสานสายใยอันใหญ่ล้นดินอุ้มน้ำ  ป่าอุ้มฝน  คนอุ้มคนกว่าจะเป็นผลิตผลของแผ่นดินนั่นแสงแดด สายลมคอยห่มป่าโน่นเม็ดฝนหล่นโปรยมามิรู้สิ้น…ฟังสิเพลงนกป่า หญ้าผลิบานให้ได้ยินว่าชีวินนั้นสอดคล้องกันและกันลองหันมองจ้องดูสรรพสิ่ง…เราจะเห็นความจริงมิแปรผันคน ดิน น้ำ ป่า ฯ พึ่งพาอาศัยกันหากสิ่งหนึ่งผกผัน  สิ่งนั้นตาย !มาเถิด,  มาร่วมกันปกป้องป่ามารักษาสายน้ำ…
ภู เชียงดาว
อยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งส่งเรียงความ เรื่องวันเด็ก ของ ด.ช.ภูภู่ มาให้ แถมยังย้ำบอกอีกว่าต้องอ่าน อืมม...ใช่ พออ่านแล้วฮาเลยนะครับ ผมว่าอารมณ์ขัน แสบ มัน ฮา อย่างนี้ น่าจะเขียนส่ง ต่วยตูน นะเนี่ยไม่รู้ว่าใครได้อ่านกันหรือยัง ขออนุญาตนำมาแปะให้อ่านกันตรงนี้แล้วกันครับ...ขอย้ำ- -โปรดเขย่าอารมณ์ขันก่อนอ่าน...
ภู เชียงดาว
เย็นลมเหนือพัดโชยผ่านกิ่งไม้ เย็นเยียบเย็นตะวันโผล่พ้นฉายแสงเช้าละมุนอุ่นอ่อนหากชีวิตหลายชีวิตโหยหา หวนหาความงามครั้งเก่าก่อนแม้ผ่านนานหลายนาน กี่เดือนปี ความหลังยังคงกรุ่นกลิ่นหอมนิ่งฟังสิ- -คล้ายยินเสียงนางฟ้าครวญเพลงแว่วมาแต่ไกลยังจดจำภาพเธอติดตาอยู่เสมอนะนางฟ้าเธอผู้มีดวงตาสุกใสในวัยเยาว์ฝันแก้มเธอเปล่งปลั่งดั่งดอกไม้สีชมพูแย้มผลิหวานงามแสนงามในนามของความรักที่เธอโปรยปรายแจกจ่ายให้ทุกคนคราพบเห็นยัง เป็น อยู่ เช่นนั้นใช่ไหม...นางฟ้าจากเช้า สู่บ่าย ล่วงลับเย็นยามตะวันอำลาลับขอบเขาตะวันตก...ในเงียบนั้นเรามองเห็นแสงงามอยู่กลางทุ่งเมฆฝันยังระบำร่ายรำฝันอยู่อย่างนั้นเช่นเดิมอยู่ใช่ไหม...…
ภู เชียงดาว
1.ฤดูหนาว...เชื่อว่าใครหลายคนคงรู้สึกชื่นชอบฤดูกาลนี้กันเป็นพิเศษ บางคนชื่นชอบเพราะชีวิตได้สัมผัสกับไอหนาว หมอกขาว ตะวันอุ่น...หลายคนอาจหลงรักดอกไม้ที่พากันแข่งชูช่อเบ่งบานล้อลมหนาวกันดื่นดาษ บางคนอาจชื่นชอบ เพราะเป็นฤดูกาลแห่งการถวิลหาความหลังที่ครั้งหนึ่งนั้นมีหัวใจที่เคยระรื่นชื่นสุขบางคนอาจชื่นชอบเพราะความสะอาดสดของอากาศของฤดูหนาวทว่าเมื่อหันไปมองคนอีกกลุ่มหนึ่งบนดอยสูง ในพื้นที่ทุรกันดารและห่างไกล...ฤดูหนาวกลับกลายเป็นความทารุณ โหดร้ายมากพอๆ กับความตายกันเลยทีเดียวใช่, ความหนาวทำให้หลายชีวิตต้องเผชิญกับความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนแล้วหละนึกไปถึงร่างอันบอบบาง…
ภู เชียงดาว
ภาพโดย www.thaingo.org -งาม- เธองามดั่งดวงดอกไม้ป่าเบ่งบานสะพรั่งในหมู่มวลธรรมชาติสรรพสิ่งเพียงลมสายบริสุทธิ์พัดต้องล่องลอยมาสู่,ชีวิตเธอก็คลี่กลีบนวลยิ้มแย้มเบิกบานอยู่อย่างนั้นให้สัมผัสพบเห็นเป็นที่ชื่นชมในกัลยาณมิตรให้ชุ่มชื่นดวงจิตเธอช่วยชุบชูชีวิตหลายชีวิตให้มีหวังยิ่งยามแผ่นดินแล้งแห้งหรือเร่าร้อนดังไฟ-แกร่ง-เธอแกร่งดั่งภูผาที่ยืนท้าต้านแรงลม แดด ฝนวิถียังเฝ้าฝ่าฟัน บากบั่น ยึดมั่น ก้าวไปบนถนนของคนจนและความจน แหละผจญไปบนเส้นทางของความจริงแม้ร่างนั้นดูบอบบาง หากยังฝืนกำหมัดหยัดยืนชูมือขึ้นสู่ฟ้า เพียรวาดฝัน ปรารถนา ปวงประชาพบทางแห่งเสรีใช่, เหมือนกับที่เธอว่าไว้ในบทกวี...“…
ภู เชียงดาว
ข้าไม่สนใจที่จะก้าวไปข้างหน้า ข้าเดินอย่างสบายๆ ให้ทุกสิ่งดำเนินไปในวิถีของมัน มีข้าวสามทะนานอยู่ในย่าม มีฟืนใกล้เตาไฟ แล้วจะสนใจไยกับมายาและการบรรลุธรรม ชื่อเสียงและโชคลาภจะมีประโยชน์อันใด ข้านั่งในกระท่อม ฟังเสียงฝนยามค่ำ เหยียดขาอย่างอิสระอยู่ในโลก. ‘เรียวกัน’ ผมกลับมาพักอยู่ในสวนบนเนินเขาอีกครั้ง,ในวันที่ลมหนาวมาเยือน เป็นการกลับมาใช้วิถีของความเรียบง่ายและเป็นสุข, ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อมาพักอยู่ในบ้านสวน ซึ่งนับวันสวนยิ่งคล้ายป่าไปทุกที ใจผมรู้สึกนิ่ง สงบมากขึ้น ไม่ต้องเคร่งเครียด เร่งรน หากใช้ชีวิตให้กลมกลืนและใกล้กับวิถีธรรมชาติให้มากที่สุดมาถึงห้วงยามนี้ ผมบอกกับตัวเองว่า…