ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
ในยามที่ท้อแท้ หมดหวัง ไม่มีพลังในการทำงาน สิ่งที่น่าจะช่วยได้ดีอย่างแรกสุดๆ คือ "ตัวเรา" นั่นคือการสร้างความเข้มแข็งภายในใจของเราขึ้นมา อาจโดยการเจริญสติ การภาวนา ฝึกรู้สึกตัวในรูปแบบต่างๆ ถัดมาจากนั้น "คนรอบข้าง" ก็ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมาก ในการปลุกเร้าพลังในตัวเราให้ตื่นขึ้นมา
ช่วงที่ผ่านมา ในยามที่ผมและเพื่อนรอบข้างหมดพลัง หมดแรง หรือรู้สึกท้อ เราจะเข้าไป "สัมผัส" กับความรู้สึกเหล่านั้นตรงๆ โดยไม่หนีมัน ซึ่งพบว่ามันทำให้เราสามารถอยู่กับความรู้สึกเหล่านี้ได้ และเมื่อเราเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมาด้วยใจที่เป็นกลางแล้ว สภาวะที่หมดแรง ท้อแท้ ไร้พลัง ก็ได้กลายเป็นภาวะตื่นรู้และเบิกบานขึ้น
เพื่อนหลายคนงงมากว่าทำไม ภาวะทุกข์ต่างๆ เหล่านี้จึงหายไป เพราะที่ผ่านมาเวลาที่ความทุกข์ใจไร้พลังเข้ามา เรามักจะหาสิ่งต่างๆ ที่ดีๆ เข้ามากระทบ เข้ามาใส่ในใจใหม่ เช่น คิดเรื่องดีๆ หาหนังสือมาอ่าน ร้องเพลงเล่น หรือพยายามมองโลกในแง่ดี แต่ท้ายแล้ว ความทุกข์ต่างๆ ก็หายไปเพียงชั่วขณะหนึ่ง
ซึ่งแตกต่างกับการเข้าไปรู้ หรือ "รู้สึกตัว" ถึงสภาวะทุกข์ใจ ไร้พลัง เรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์อย่างเข้าใจในความเป็นจริงว่าทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้มันไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ซึ่งแรกๆ หลายคนก็รู้สึกกลัวๆ ว่ามันจะหายได้จริงหรือ แต่เมื่อมีการทำร่วมกันหลายๆ คน มีการสอบอารมณ์แล้วก็พบว่าภาวะทุกข์นั้นได้ดับไป กลายเป็นความเบิกบานขึ้นมา ซึ่งคล้ายดั่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชได้กล่าวไว้ว่า "มองโลกในแง่ดี มีความสุข มองโลกตามความเป็นจริง พ้นทุกข์"
ผมมีพลังใจในการทำงานมาขึ้น เมื่อเพื่อนร่วมงานมีพลัง แต่เมื่อเพื่อนร่วมงานไม่มีพลัง ผมก็ซึมซับภาวะไร้พลังนั้นมาด้วย บางทีเรื่องพลังใจ ก็เป็นเหมือนคลื่นพลังบางอย่างที่ฉุด ดึงให้เรามีสภาวะคลายๆ กัน เช่น คนหนึ่งเครียดอีกคนก็พลอยเครียดไปด้วย คนหนึ่งโมโหอีกคนก็โมโหตามไป หรือทำนองเดียวกัน คนหนึ่งดีใจอีกคนก็ดีใจไปด้วย ซึ่งนี่หมายความว่า ความรู้สึกของเรา สามารถดึงดูดให้คนอื่นๆ รับพลังจากตัวเราไปด้วย
ในเบื้องต้น เราต้องเผชิญความทุกข์ด้วยตัวเองก่อน และเมื่อเราตื่นรู้ เบิกบาน เราจึงค่อยๆ ขยายพลังงานแห่งการตื่นรู้ เบิกบานไปยังคนรอบข้าง โดยการสื่อสารที่ค่อนข้างส่งต่อพลังได้ชัดคือ การสื่อสารผ่าน "ความรู้สึก" และการเรียนรู้ผ่าน "ประสบการณ์จริง" ซึ่งจะช่วยให้คนรอบข้างเราได้รับพลังที่ดีไปด้วย
พลังงานที่ไหลเวียนหมุนผ่านไป เมื่อรับหรือส่งออกไปแล้ว ก็อย่าลืมว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีความไม่เที่ยง เป็นของธรรมดา เมื่อเราสุขเดี๋ยวก็ทุกข์ เมื่อเราทุกข์เราก็สุข เมื่อเรามีสุขมีทุกข์เราก็ไม่มีสุขไม่ทุกข์ เมื่อเราไม่สุขไม่ทุกข์เราก็มีสุขทุกข์ เพียงแค่เราเข้าใจความเป็นจริงของกายกับใจ ด้วยใจที่เป็นกลางไม่ปรุงแต่งแล้ว
เราจะค้นพบพลังใจของตัวเรา ภาวะที่ใจมันตื่นรู้ เบิกบาน นี้คงช่วยสะสมกำลังจิตของเราให้เกิดสติสัมปชัญญะและนำไปสู่ปัญญาแห่งสุขที่แท้ในที่สุด