Skip to main content


หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิต


แต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก

ในการอบรมคราวนี้ เป็นการเรียนรู้เรื่องสังคมวัฒนธรรม การใช้อำนาจเหนือกว่า-อำนาจร่วม-อำนาจภายใน, วัฒนธรรมอำนาจครอบงำ, วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่, การสร้างความเข้มแข็งภายในให้กับตัวเอง การเยียวยา การฟังอย่างตั้งใจ และอื่นๆ อีกมากมาย

กระบวนการเรียนรู้ 10 วัน เป็นการทำความเข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น และเข้าใจสังคม นั่นคือเป็นการเรียนรู้สังคมผ่านประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน ซึ่งทำให้เรื่องยากๆ สามารถเข้าใจได้ง่าย ชัดเจนและเป็นการเรียนรู้ที่เข้าถึงใจ เข้าถึงความรู้สึกอย่างยิ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม แต่ละวันเราจะมีการ “เชิญระฆัง” ก่อนการทำกิจกรรม และตอนกลางวัน ก็เป็นการ “รับประทานอาหารอย่างมีสติ” ในความเงียบ ตอนบ่ายก่อนเริ่มกิจกรรม มี “ผ่อนพักตระหนักรู้” และตอนเย็นหลังเสร็จกิจกรรม ก็เป็นการทำ “โยคะ” กลางคืน เป็นการภาวนาร่วมกัน

ผมรู้สึกดีที่การอบรมครั้งนี้ เขาไม่ได้มีกรอบว่าเราควรภาวนาแบบไหน เพราะเขามองว่าใครทำแบบไหนเป็นก็ทำไปเลย เช่น การภาวนาพุทโธ นับเลข เคลื่อนไหวมือ เดินจงกรม ตามความถนัดของแต่ละคน

ผมก็ทำทั้งในรูปแบบและนอกรูปแบบ แต่เน้นเคลื่อนไหวมือเพื่อดูรูปเคลื่อนไหว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น คือมีสภาวะเหมือนเป็นคนดู ตัวเองกำลังเคลื่อนไหวมือ วันหนึ่งตกใจมาก เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีแล้วเหรอ ทำไมเป็นแบบนี้ สงสัยมาก เพราะพึ่งจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ในช่วงหลังๆ เราก็ลองดูไปเรื่อยๆ ตามรู้ความคิด รู้กายไปเรื่อยๆ ก็เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่รู้

และมีอีกวันหนึ่ง ตอนที่คุยกับเพื่อน แล้วตอนนั้นเกิดความงอนขึ้นมา เรามีโมหะขึ้นที่ใบหน้า มันจะร้อนๆ พอรู้สึกตัวปุ๊บ ก็เห็นอารมณ์โกรธนั้นหายไปสดๆ เลย ตอนนั้นตกใจมาก เพราะไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้กับตัวเองบ่อยๆ แต่ก็ดูไปเรื่อยๆ พอเห็นมันดับ ใจก็ดีใจ ตอนนั้นดีที่รู้ตัวทัน เลยไม่ได้หลงไปดีใจนานเกิดควร

สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ทว่าบางทีก็ไม่เกิด ผมก็รู้สึกว่า จิตเรามันไม่สามารถบังคับได้จริงๆ กายเราก็บังคับไม่ได้ เสมือนทั้งสองเป็นเพียงทางผ่านของอารมณ์ต่างๆ แล้วเราทำได้เพียงดูมันไปเรื่อยๆ อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ไม่ควรไปแทรกแซงสภาวะ และความรู้สภาวะที่ถูกต้อง ต่อเนื่องอยู่เนืองๆ ตอนนี้เข้าใจมากขึ้นเลยครับว่าที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนนั้นมันเป็นแบบนั้นจริงๆ

ตอนนี้ ใจเกิดปีติ ตื้นตัน รู้สึกดีใจมากครับ ที่ได้เกิดมา รู้จักธรรม ได้เรียนรู้ธรรมะจากครูบาอาจารย์ ยิ่งได้ฟังหลวงพ่อปราโมทย์แล้ว ยิ่งทำให้หายสงสัยในหลายๆ เรื่อง และได้เห็นหนทางที่จะเดินอีกเป็นขั้นๆ

อ่อ อีกนิดหนึ่งครับ พอเห็นจิตเกิด ดับ (ในครั้งที่เห็นชัดๆ) แล้วมักจะดีใจ ใจเราก็เริ่มบอกว่า ดีใจไปเถอะ มันไม่เที่ยงนะ สภาวะทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา อย่าไปยึดมันไว้เลย ทำอะไรรู้สึกตัวเข้าไว้ก็พอ

ตอนนี้ต้องดูจิตแบบสำรวมๆ ไม่ไปขยายความ หรือแนะนำใครมาก เพราะเรารู้เท่าที่รู้ บางทีมีเพื่อนๆ ในที่ทำงานมาถาม เราก็บอกเท่าที่รู้ ส่วนที่ไม่รู้ก็ให้เขาไปศึกษาต่อกับครูบาอาจารย์ต่อ

กลับมาที่ตัวเองแล้ว ยิ่งเห็นว่าต้องพัฒนาไปอีกมากๆ ต้องขยันและอดทนต่อการ ตามดู ตามรู้ ในปัจจุบันให้มากขึ้น ทำเหตุให้มากๆ ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่จิตของผมแล้วกันว่าเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป



บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ชีวิตนี้แสนสั้นและใจก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช้าสายบ่ายค่ำจิตใจไม่เหมือนเดิม กายก็มีทั้งสุขและทุกข์แปรปรวนไปตามธรรมดา ชีวิตแต่ละวันจึงแสนจะสั้นและดูแล้วไม่เที่ยงเอาเสียเลย จนบางครั้งรู้สึกกลัวว่าจะไม่ได้ทำอะไรก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป จึงต้องใคร่ครวญคิดคำนึงอยู่เสมอๆ ว่าตั้งแต่เกิดมามีอะไรที่ตัวเองยังไม่ได้ทำบ้าง และก็ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตนี้เพื่อลงมือทำสิ่งนั้นอย่างจริงจังไม่ใช่แค่คิดและปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ
พันธกุมภา
เร็วๆ นี้ผมและญาติธรรมกำลังร่วมกันดำเนินการจัดพิมพ์ธรรมใจไดอารี่ ฉบับธรรมทาน ซึ่งพี่ๆ ญาติธรรม ทุกๆ คน ที่ได้มาพบเจอ รู้จัก สนทนาธรรมกัน ได้ช่วยเหลือ เกื้อกูล ให้คำปรึกษา แนะนำต่างๆ มากมาย และเมื่อมีผู้เสนอให้ทำ ธรรมใจไดอารี่ขึ้น
พันธกุมภา
สำหรับผมกับแฟน เราทั้งสองคบกันด้วยเหตุแห่งความศรัทธาที่มีต่อกัน ในวันที่เราเจอกันครั้งแรก แม้ไม่ได้รู้สึกอยากจะได้มาครอบครองแต่ด้วยความที่เธอเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่สนใจในทางธรรม ทั้งการถือศีล และการปฏิบัติ ทำให้เราทั้งสองได้สนทนาและแบ่งปันการภาวนาของกันและกันและก็ได้คุยกันเรื่อยมา
พันธกุมภา
วันธรรมดาวันหนึ่ง ชีวิตประจำวันก็ผ่านไปด้วยเหตุปัจจัยเหมือนเดิม มีประชุม ทำค่าย อบรม เดินทางจัดกิจกรรมตามจังหวัดต่างๆ ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา มีโอกาสได้สนทนากันตามเรื่องราวที่แตกต่างกันไป แต่ข้างในใจกลับเต็มไปด้วยความเฉื่อยชา เบื่อหน่าย ไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก
พันธกุมภา
การได้สังเกตจิตใจของตัวเองตามความเป็นจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่าจิตใจนี้มีธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปมาตามเหตุปัจจัยเงื่อนไขชีวิต แล้วยังมีปกติไหลลงสู่ที่ต่ำ ไปสู่ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ความโกรธ ขุ่นเคือง หงุดหงิด ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขาดสติ เผลอหลงใหลไปกับโลกของความคิดและสิ่งภายนอกใจ
พันธกุมภา
คำอวยพรจากเพื่อนๆ พี่น้อง หลายๆ คน ส่งมายังผมหลายฉบับ ทำให้เกิดความปีติยินดี ที่ได้รับคำอวยพรอย่างยิ่ง และผมก็ได้ตอบกลับไปยังเพื่อนๆ พี่น้อง ทั้งที่ส่งมาและไม่ได้ส่งมา อีกหลายๆ คน การให้พรจึงเสมือนเป็นการให้กำลังใจและบอกให้กันและกันรู้ว่ายังคงระลึกถึงกันอยู่เสมอ
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่การเจริญสติของใครหลายคนติดอยู่กับอารมณ์คือหลงไปแช่อยู่กับอารมณ์นานจึงทำให้เกิดการเผลอยึดมั่นในอารมณ์นั้น กลายเป็นติดหลุม เผลอลงไปแช่ จะรู้สึกมัวๆ หรือเผลอไปแทรกแซง จนยากยิ่งนักที่จะรู้สึกตัวทัน ทั้งนี้ครูบาอาจารย์ท่านแนะไว้ว่าอาจเป็นเพราะจิตยังไม่ถึงฐานหรือจิตยังไม่ตั้งมั่น
พันธกุมภา
  ในการภาวนาบ่อยครั้งนักที่ผมมักจะได้ยินคนอื่นๆ มาเล่าให้ฟังทำนองว่า สถานที่นี้ไม่ดีเลย ไม่เหมาะที่จะภาวนาเลย เสียงก็ดัง คนก็เยอะ ไม่มีที่ ไม่มีทางเดินจงกรมหรือนั่งปฏิบัติเลย เพราะมองว่าการที่จะภาวนาได้นั้นจะต้องไปในสถานที่ที่มีรูปแบบ เช่น มีทางให้เดินจงกรม มีเบาะให้นั่งภาวนา เป็นต้น
พันธกุมภา
ปลายเดือนตุลาคม 2552 นี้ ผมได้มีโอกาสไปภาวนากับพี่ๆ ญาติธรรมเชียงใหม่ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพวกเราไปกัน 4 คน ได้แก่ พี่เอ้ พี่ยา พี่นา และผม ซึ่งผมรู้จักพี่ๆ ผ่านทางการสนทนาในอินเตอร์เน็ตและทุกๆ คนก็ภาวนาในแนวดูจิตเหมือนๆ กัน
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่รู้สึกตัว และอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นภายในใจ มันยิ่งทำให้เห็นว่าเราสามารถตามรู้ ตามดูสภาวะต่างๆ ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านบวก หรืออารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นภายในใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีหน้าที่เหมือนกันคือ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถควบคุมหรือบังคับบัญชาได้
พันธกุมภา
ในแต่ละวันชีวิตคนเราก็มีเวลา 24 ชั่วโมง เหมือนกัน ไม่มีใครมีเวลามากหรือน้อยไปกว่ากัน ทว่าอยู่ที่ว่าใครจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองมากน้อยเพียงใด ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และอื่นๆ อีกมายมาย ซึ่งการจัดระดับความสำคัญของภารกิจระหว่างวันแต่ลัอย่างนื้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้วันแต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณประโยชน์
พันธกุมภา
โดยปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ เป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหวตัวเองไปๆ มาๆ ดังนั้นการเจริญสติด้วยการรู้สึกที่กายและใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมานี้ จึงเป็นการภาวนาที่ทำให้ผมถนัดและสามารถรู้สึกตัวได้บ่อยที่สุด