Skip to main content

โดยปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ เป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหวตัวเองไปๆ มาๆ ดังนั้นการเจริญสติด้วยการรู้สึกที่กายและใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมานี้ จึงเป็นการภาวนาที่ทำให้ผมถนัดและสามารถรู้สึกตัวได้บ่อยที่สุด

ในการภาวนาแต่ละครั้ง นอกจากจะได้เห็นสภาวะทางกายที่เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไปมา หรือบางครั้งก็มีเวทนาทางกาย ปวด เมื่อย เหนื่อย ล้า เข้ามาเยียมเยียนแล้ว ก็ยังเกิดสภาวะทางใจที่แปรเปลี่ยนไปอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งในทางใจนี้ก็สามารถรู้ที่ "อารมณ์" ที่เกิดขึ้น เช่น ความโกรธ ความอยาก ความสุข ความทุกข์ ความพอใจ ความไม่พอใจ เป็นต้น และเราสามารถรู้ที่ "อาการ" ที่เกิดขึ้น เช่น เผลอ หลง เพ่ง ประคอง จ้อง ตั้งท่า เป็นต้น

สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและใจ เรานี่ แท้แล้วก็คือการแสดงตัวของ "ธาตุขันธุ์" ที่ไหลมารวมกัน และเราก็สำคัญมั่นหมายเอาว่าสิ่งนี้คือตัวเรา ไปยึดมั่นถือมั่นเห็นผิดว่าธาตุขันธุ์หรือกายใจนี้เป็นตัวเรา เป็นของเรา จนนำพาความทุกข์ต่างๆ เข้ามาเยือน

ยิ่งหากเป็นสภาวะที่ดีมีสุข เรามักจะมีลักษณะทางใจคือ "ชอบ" หรือ "โลภะ" ซึ่งมีลักษณะของการดึงเข้าหาตัวเองและอยากให้อยู่กับตัวเองมากๆ นานๆ ส่วนถ้าเป็นสภาวะที่ไม่ดีทุกข์ เรามักจีลักษณะทางใจคือ "ไม่ชอบ" หรือ "โทสะ" ซึ่งมีลักษณะเป็นการผลักไสออกจากตัวเองและไม่อยากให้อยู่กับตัวเองนานๆ หรือหากจะพูดง่ายก็คือ อัตตาตัวตนเรานี้ มักจะยินดีกับความสุข และยินร้ายกับความทุกข์ เสมอๆ

สิ่งที่จะช่วยเราได้คือ การยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ จะยินดีหรือไม่ยินดี จะพอใจหรือไม่พอใจ ยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ด้วยใจที่เป็นกลางและเท่าทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มองเห็นสัจธรรมของการเกิดดับ ที่เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน บังคับควบคุมไม่ได้

ความเป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นนี้แหละ เหมาะที่เราจะสามารถรู้สึกตัวได้ในชีวิตประจำวันแบบ "ที่นี่" "เดี๋ยวนี้" ได้เลย โดยไม่ต้องไปรื้อฟื้นจากอดีต หรือ แสวงหาจากอนาคต เพราะความจริงได้ปรากฏต่อหน้าเรา ณ ปัจจุบันขณะ ซึ่งการรู้สึกตัวอยู่แต่ละขณะๆ นี้จะทำให้เราเกิดสติรู้ตัวทั่วพร้อมและใจจะเป็นกลางต่อสภาวะทางกายและใจที่เกิดขึ้นและแปรเปลี่ยนไป

การเห็นสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยใจเป็นกลาง จะทำให้จิตระลึกรู้ในสภาวะและจดจำสภาวะเมื่อนั้นก็จะคล้ายความยึดมั่นถือมั่น คลายความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา ลดลงเบาบางลง ไปตามลำดับของปัญญา

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้รู้ทันความจริงทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะบวกหรือลบ เพียงเราเผชิญความจริงเหล่านี้ได้ และยอมรับการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านั้น ก็ถือเป็นด้านแรกในการรู้ตัวทั่วพร้อม

และหากใจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้แล้ว เราก็อาจต้องอาศัยความเพียรพยายาม ความอดทน ในการขยันรู้ ขยันภาวนา เพื่อให้มีเหตุแห่งปัญญาเพิ่มขึ้น และอดทนต่อความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเห็น อยากบรรลุ เพราะเมื่อมีความอยากเกิดขึ้น แล้วใจหลงเผลอไปด้วยความลืมตัว เมื่อนั้นก็เกิดกิเลสเข้ามาแทรก และทำให้เกิดทุกข์เพิ่มขึ้นอีก วิธีที่จะช่วยได้คือยอมรับ "ความจริง" ว่าอยาก และขอให้รู้ซื่อๆ และนับหนึ่งใหม่ในแต่ละครั้งที่รู้...ก็พอ

ปิดท้ายด้วยคลิปการเจริญสติ  

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ชีวิตนี้แสนสั้นและใจก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช้าสายบ่ายค่ำจิตใจไม่เหมือนเดิม กายก็มีทั้งสุขและทุกข์แปรปรวนไปตามธรรมดา ชีวิตแต่ละวันจึงแสนจะสั้นและดูแล้วไม่เที่ยงเอาเสียเลย จนบางครั้งรู้สึกกลัวว่าจะไม่ได้ทำอะไรก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป จึงต้องใคร่ครวญคิดคำนึงอยู่เสมอๆ ว่าตั้งแต่เกิดมามีอะไรที่ตัวเองยังไม่ได้ทำบ้าง และก็ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตนี้เพื่อลงมือทำสิ่งนั้นอย่างจริงจังไม่ใช่แค่คิดและปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ
พันธกุมภา
เร็วๆ นี้ผมและญาติธรรมกำลังร่วมกันดำเนินการจัดพิมพ์ธรรมใจไดอารี่ ฉบับธรรมทาน ซึ่งพี่ๆ ญาติธรรม ทุกๆ คน ที่ได้มาพบเจอ รู้จัก สนทนาธรรมกัน ได้ช่วยเหลือ เกื้อกูล ให้คำปรึกษา แนะนำต่างๆ มากมาย และเมื่อมีผู้เสนอให้ทำ ธรรมใจไดอารี่ขึ้น
พันธกุมภา
สำหรับผมกับแฟน เราทั้งสองคบกันด้วยเหตุแห่งความศรัทธาที่มีต่อกัน ในวันที่เราเจอกันครั้งแรก แม้ไม่ได้รู้สึกอยากจะได้มาครอบครองแต่ด้วยความที่เธอเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่สนใจในทางธรรม ทั้งการถือศีล และการปฏิบัติ ทำให้เราทั้งสองได้สนทนาและแบ่งปันการภาวนาของกันและกันและก็ได้คุยกันเรื่อยมา
พันธกุมภา
วันธรรมดาวันหนึ่ง ชีวิตประจำวันก็ผ่านไปด้วยเหตุปัจจัยเหมือนเดิม มีประชุม ทำค่าย อบรม เดินทางจัดกิจกรรมตามจังหวัดต่างๆ ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา มีโอกาสได้สนทนากันตามเรื่องราวที่แตกต่างกันไป แต่ข้างในใจกลับเต็มไปด้วยความเฉื่อยชา เบื่อหน่าย ไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก
พันธกุมภา
การได้สังเกตจิตใจของตัวเองตามความเป็นจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่าจิตใจนี้มีธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปมาตามเหตุปัจจัยเงื่อนไขชีวิต แล้วยังมีปกติไหลลงสู่ที่ต่ำ ไปสู่ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ความโกรธ ขุ่นเคือง หงุดหงิด ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขาดสติ เผลอหลงใหลไปกับโลกของความคิดและสิ่งภายนอกใจ
พันธกุมภา
คำอวยพรจากเพื่อนๆ พี่น้อง หลายๆ คน ส่งมายังผมหลายฉบับ ทำให้เกิดความปีติยินดี ที่ได้รับคำอวยพรอย่างยิ่ง และผมก็ได้ตอบกลับไปยังเพื่อนๆ พี่น้อง ทั้งที่ส่งมาและไม่ได้ส่งมา อีกหลายๆ คน การให้พรจึงเสมือนเป็นการให้กำลังใจและบอกให้กันและกันรู้ว่ายังคงระลึกถึงกันอยู่เสมอ
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่การเจริญสติของใครหลายคนติดอยู่กับอารมณ์คือหลงไปแช่อยู่กับอารมณ์นานจึงทำให้เกิดการเผลอยึดมั่นในอารมณ์นั้น กลายเป็นติดหลุม เผลอลงไปแช่ จะรู้สึกมัวๆ หรือเผลอไปแทรกแซง จนยากยิ่งนักที่จะรู้สึกตัวทัน ทั้งนี้ครูบาอาจารย์ท่านแนะไว้ว่าอาจเป็นเพราะจิตยังไม่ถึงฐานหรือจิตยังไม่ตั้งมั่น
พันธกุมภา
  ในการภาวนาบ่อยครั้งนักที่ผมมักจะได้ยินคนอื่นๆ มาเล่าให้ฟังทำนองว่า สถานที่นี้ไม่ดีเลย ไม่เหมาะที่จะภาวนาเลย เสียงก็ดัง คนก็เยอะ ไม่มีที่ ไม่มีทางเดินจงกรมหรือนั่งปฏิบัติเลย เพราะมองว่าการที่จะภาวนาได้นั้นจะต้องไปในสถานที่ที่มีรูปแบบ เช่น มีทางให้เดินจงกรม มีเบาะให้นั่งภาวนา เป็นต้น
พันธกุมภา
ปลายเดือนตุลาคม 2552 นี้ ผมได้มีโอกาสไปภาวนากับพี่ๆ ญาติธรรมเชียงใหม่ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพวกเราไปกัน 4 คน ได้แก่ พี่เอ้ พี่ยา พี่นา และผม ซึ่งผมรู้จักพี่ๆ ผ่านทางการสนทนาในอินเตอร์เน็ตและทุกๆ คนก็ภาวนาในแนวดูจิตเหมือนๆ กัน
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่รู้สึกตัว และอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นภายในใจ มันยิ่งทำให้เห็นว่าเราสามารถตามรู้ ตามดูสภาวะต่างๆ ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านบวก หรืออารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นภายในใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีหน้าที่เหมือนกันคือ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถควบคุมหรือบังคับบัญชาได้
พันธกุมภา
ในแต่ละวันชีวิตคนเราก็มีเวลา 24 ชั่วโมง เหมือนกัน ไม่มีใครมีเวลามากหรือน้อยไปกว่ากัน ทว่าอยู่ที่ว่าใครจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองมากน้อยเพียงใด ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และอื่นๆ อีกมายมาย ซึ่งการจัดระดับความสำคัญของภารกิจระหว่างวันแต่ลัอย่างนื้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้วันแต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณประโยชน์
พันธกุมภา
โดยปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ เป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหวตัวเองไปๆ มาๆ ดังนั้นการเจริญสติด้วยการรู้สึกที่กายและใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมานี้ จึงเป็นการภาวนาที่ทำให้ผมถนัดและสามารถรู้สึกตัวได้บ่อยที่สุด