โดยปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ เป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหวตัวเองไปๆ มาๆ ดังนั้นการเจริญสติด้วยการรู้สึกที่กายและใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมานี้ จึงเป็นการภาวนาที่ทำให้ผมถนัดและสามารถรู้สึกตัวได้บ่อยที่สุด
ในการภาวนาแต่ละครั้ง นอกจากจะได้เห็นสภาวะทางกายที่เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไปมา หรือบางครั้งก็มีเวทนาทางกาย ปวด เมื่อย เหนื่อย ล้า เข้ามาเยียมเยียนแล้ว ก็ยังเกิดสภาวะทางใจที่แปรเปลี่ยนไปอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งในทางใจนี้ก็สามารถรู้ที่ "อารมณ์" ที่เกิดขึ้น เช่น ความโกรธ ความอยาก ความสุข ความทุกข์ ความพอใจ ความไม่พอใจ เป็นต้น และเราสามารถรู้ที่ "อาการ" ที่เกิดขึ้น เช่น เผลอ หลง เพ่ง ประคอง จ้อง ตั้งท่า เป็นต้น
สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและใจ เรานี่ แท้แล้วก็คือการแสดงตัวของ "ธาตุขันธุ์" ที่ไหลมารวมกัน และเราก็สำคัญมั่นหมายเอาว่าสิ่งนี้คือตัวเรา ไปยึดมั่นถือมั่นเห็นผิดว่าธาตุขันธุ์หรือกายใจนี้เป็นตัวเรา เป็นของเรา จนนำพาความทุกข์ต่างๆ เข้ามาเยือน
ยิ่งหากเป็นสภาวะที่ดีมีสุข เรามักจะมีลักษณะทางใจคือ "ชอบ" หรือ "โลภะ" ซึ่งมีลักษณะของการดึงเข้าหาตัวเองและอยากให้อยู่กับตัวเองมากๆ นานๆ ส่วนถ้าเป็นสภาวะที่ไม่ดีทุกข์ เรามักจีลักษณะทางใจคือ "ไม่ชอบ" หรือ "โทสะ" ซึ่งมีลักษณะเป็นการผลักไสออกจากตัวเองและไม่อยากให้อยู่กับตัวเองนานๆ หรือหากจะพูดง่ายก็คือ อัตตาตัวตนเรานี้ มักจะยินดีกับความสุข และยินร้ายกับความทุกข์ เสมอๆ
สิ่งที่จะช่วยเราได้คือ การยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ จะยินดีหรือไม่ยินดี จะพอใจหรือไม่พอใจ ยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ด้วยใจที่เป็นกลางและเท่าทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มองเห็นสัจธรรมของการเกิดดับ ที่เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน บังคับควบคุมไม่ได้
ความเป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นนี้แหละ เหมาะที่เราจะสามารถรู้สึกตัวได้ในชีวิตประจำวันแบบ "ที่นี่" "เดี๋ยวนี้" ได้เลย โดยไม่ต้องไปรื้อฟื้นจากอดีต หรือ แสวงหาจากอนาคต เพราะความจริงได้ปรากฏต่อหน้าเรา ณ ปัจจุบันขณะ ซึ่งการรู้สึกตัวอยู่แต่ละขณะๆ นี้จะทำให้เราเกิดสติรู้ตัวทั่วพร้อมและใจจะเป็นกลางต่อสภาวะทางกายและใจที่เกิดขึ้นและแปรเปลี่ยนไป
การเห็นสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยใจเป็นกลาง จะทำให้จิตระลึกรู้ในสภาวะและจดจำสภาวะเมื่อนั้นก็จะคล้ายความยึดมั่นถือมั่น คลายความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา ลดลงเบาบางลง ไปตามลำดับของปัญญา
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้รู้ทันความจริงทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะบวกหรือลบ เพียงเราเผชิญความจริงเหล่านี้ได้ และยอมรับการเกิดขึ้นของสิ่งเหล่านั้น ก็ถือเป็นด้านแรกในการรู้ตัวทั่วพร้อม
และหากใจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้แล้ว เราก็อาจต้องอาศัยความเพียรพยายาม ความอดทน ในการขยันรู้ ขยันภาวนา เพื่อให้มีเหตุแห่งปัญญาเพิ่มขึ้น และอดทนต่อความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเห็น อยากบรรลุ เพราะเมื่อมีความอยากเกิดขึ้น แล้วใจหลงเผลอไปด้วยความลืมตัว เมื่อนั้นก็เกิดกิเลสเข้ามาแทรก และทำให้เกิดทุกข์เพิ่มขึ้นอีก วิธีที่จะช่วยได้คือยอมรับ "ความจริง" ว่าอยาก และขอให้รู้ซื่อๆ และนับหนึ่งใหม่ในแต่ละครั้งที่รู้...ก็พอ
ปิดท้ายด้วยคลิปการเจริญสติ