Skip to main content

ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ

เท่านี้นึกได้...การที่อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เพราะถ้าโยงมาที่เรื่องการปฏิบัติธรรม เห็นว่ามีอยู่หลายๆ อย่างที่ไม่ควรทำในการปฏิบัติธรรม นั่นคือ การดัดแปลงกายและการดัดแปลงจิต คือ การดัดแปลงกาย เช่น เวลาเราจะปฏิบัติธรรม เราจะตั้งท่าทาง ต้องนั่งแบบนี้ ต้องเดินแบบนี้ ต้องหายใจแบบนี้ กลายเป็นการไม่เป็นเรื่องปกติไป

 

ส่วนการดัดแปลงใจคือแทนที่เวลาโกรธเราจะรู้ แต่กลับไปหาสิ่งอื่นมากระทบใหม่ให้หายโกรธหรืออย่างเช่นเวลาเศร้า เหงา เราก็จะหาเพลงเพราะมาฟัง ซึ่งนี่รวมไปถึงการรู้ถึงอารมณ์ที่ผิดๆ เช่น เวลาโกรธอยู่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่โกรธ ต้องมีสติ ต้องนิ่ง ต้องไม่โกรธ แบบนี้ถือเป็นการดัดแปลงและแทรกแซงจิตไปโดยปริยาย

 

การดัดแปลงกายและดัดแปลงจิตนี้ จะทำให้เราอึดอัด ไม่สบาย ไม่ผ่อนคลาย เพราะเวลาปฏิบัติธรรมนั้นจิตจะแน่น อึดอัด ขึ้นมากลางอก หรือ แบบมีจิตหนักๆ ทึบๆ เกร็ง ดูไม่เป็นปกติ อันนี้ผมก็เคยทำในช่วงก่อนๆ เช่น เวลาจะทำสมาธิ ก็ตั้งท่าเลย ว่าต้องนั่งแบบนี้ นับลมหายใจแบบนั้น ค่อยๆ กำหนดลมหายใจ นั่งตัวตรงๆ นานๆ จะปวดจะเมื่อยก็ทนเอา ทนดูเวทนาไป ไม่สนใจว่ากายจะเมื่อยล้าเพียงใด

 

ทีนี้พอกลับมาดูอีกทีก็พบว่าจริงๆ แล้ว การที่เราไปนั่งแบบนั้น ไม่ได้ทำให้เรามีสมาธิเลย แต่เรากลับจะกลัวการนั่งไม่ถูกท่า หรือเดินไม่ถูกจังหวะ หรือ เคลื่อนไหวมือผิดรูปแบบมากกว่า ซึ่งมันทำให้เราลืมสาระสำคัญของการเจริญสติไปเลย ซึ่งก็คือการมีสติระลึกรู้ทุกๆ อิริยาบถ ทุกๆ จิตที่เกิดขึ้นและดับลง

 

พอไม่ได้ไปดัดแปลงกายและจิตมาก แล้วก็ใช้ชีวิตแบบปกติ ลองปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ก็จะพบเลยว่าธรรมะที่แท้จริง คือต้องสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้ และจะพบเลยว่าเราสามารถจะปลุกให้จิตที่หลับใหล ให้ตื่นรู้ ขึ้นมาได้ ในภาวะปัจจุบันขณะ ซึ่งไม่ต้องไปรอเวลานั่งสมาธิตอนเย็นๆ หรือตื่นมาทำในตอนเช้า เพราะเวลาๆ ทุกๆ ขณะเราสามารถที่จะเจริญสติได้

 

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงค่อยๆ พยายามตามรู้เอาเรื่อยๆ รู้ที่กาย รู้ที่ใจ พี่ๆ นักปฏิบัติหลายท่านที่ได้สนทนาด้วย เขาก็บอกแค่ว่า "แค่รู้" ก็พอแล้ว เพราะเมื่อเรารู้สึกตัวตามความเป็นจริงแล้ว จิตของเราจากที่ยังหลับใหลอยู่ก็จะตื่นขึ้นมา เมื่อจิตตื่นแล้ว สภาวะรู้สึกตัว และการมีสติสัมปชัญญะก็จะเกิดขึ้น

 

ตอนที่ผมยังง่วงหาวอยู่นี้ เหมือนจิตที่ไม่ตื่น ไม่หลับ เป็น "จิตละเมอ" คือ เดี๋ยวเผลอ เดี๋ยวตื่น เดี๋ยวรู้สึกตัว ตอนนี้จิตของผมรู้อะไรก็ไม่รู้ ไม่สามารถบอกได้ แต่รู้ว่ามันค่อยๆ รู้สึกตัวอยู่บ่อยๆ เนืองๆ และบางทีเมื่อเผลอก็รู้ทัน เมื่อโกรธก็รู้ทัน และสิ่งที่ต้องทำต่อไป คือ รู้สึกตัวไปเรื่อยๆ ดูสภาวะนี้ไปเรื่อยๆ และทำอย่างเนืองๆ

 

ผมพบว่าจิตที่ละเมอนี้ยังไม่ใช่จิตที่ตื่น หรือมีสติตลอดเวลา เพราะจิตของผมก็เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เป็นอนัตตา เราก็อาจปล่อยจิตได้เผลอบ้าง ได้หลงไปบ้าง ได้มีสติบ้าง เพื่อที่เราจะได้เห็นว่า จิตเรานั้นไม่เที่ยง เป็นอนัตตา และเราเองก็ทุกข์ต้องที่เรายึดจิตนั้นไว้ การจะทำให้จิตนั้นหลุดออกจากทุกข์ก็เพียงแค่ "รู้" ไปเรื่อยๆ ซึ่งก็น่าจะพอให้ใจได้ตื่นขึ้นมาบ้าง....

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ชีวิตนี้แสนสั้นและใจก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช้าสายบ่ายค่ำจิตใจไม่เหมือนเดิม กายก็มีทั้งสุขและทุกข์แปรปรวนไปตามธรรมดา ชีวิตแต่ละวันจึงแสนจะสั้นและดูแล้วไม่เที่ยงเอาเสียเลย จนบางครั้งรู้สึกกลัวว่าจะไม่ได้ทำอะไรก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป จึงต้องใคร่ครวญคิดคำนึงอยู่เสมอๆ ว่าตั้งแต่เกิดมามีอะไรที่ตัวเองยังไม่ได้ทำบ้าง และก็ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตนี้เพื่อลงมือทำสิ่งนั้นอย่างจริงจังไม่ใช่แค่คิดและปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ
พันธกุมภา
เร็วๆ นี้ผมและญาติธรรมกำลังร่วมกันดำเนินการจัดพิมพ์ธรรมใจไดอารี่ ฉบับธรรมทาน ซึ่งพี่ๆ ญาติธรรม ทุกๆ คน ที่ได้มาพบเจอ รู้จัก สนทนาธรรมกัน ได้ช่วยเหลือ เกื้อกูล ให้คำปรึกษา แนะนำต่างๆ มากมาย และเมื่อมีผู้เสนอให้ทำ ธรรมใจไดอารี่ขึ้น
พันธกุมภา
สำหรับผมกับแฟน เราทั้งสองคบกันด้วยเหตุแห่งความศรัทธาที่มีต่อกัน ในวันที่เราเจอกันครั้งแรก แม้ไม่ได้รู้สึกอยากจะได้มาครอบครองแต่ด้วยความที่เธอเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่สนใจในทางธรรม ทั้งการถือศีล และการปฏิบัติ ทำให้เราทั้งสองได้สนทนาและแบ่งปันการภาวนาของกันและกันและก็ได้คุยกันเรื่อยมา
พันธกุมภา
วันธรรมดาวันหนึ่ง ชีวิตประจำวันก็ผ่านไปด้วยเหตุปัจจัยเหมือนเดิม มีประชุม ทำค่าย อบรม เดินทางจัดกิจกรรมตามจังหวัดต่างๆ ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา มีโอกาสได้สนทนากันตามเรื่องราวที่แตกต่างกันไป แต่ข้างในใจกลับเต็มไปด้วยความเฉื่อยชา เบื่อหน่าย ไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก
พันธกุมภา
การได้สังเกตจิตใจของตัวเองตามความเป็นจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่าจิตใจนี้มีธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปมาตามเหตุปัจจัยเงื่อนไขชีวิต แล้วยังมีปกติไหลลงสู่ที่ต่ำ ไปสู่ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ความโกรธ ขุ่นเคือง หงุดหงิด ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขาดสติ เผลอหลงใหลไปกับโลกของความคิดและสิ่งภายนอกใจ
พันธกุมภา
คำอวยพรจากเพื่อนๆ พี่น้อง หลายๆ คน ส่งมายังผมหลายฉบับ ทำให้เกิดความปีติยินดี ที่ได้รับคำอวยพรอย่างยิ่ง และผมก็ได้ตอบกลับไปยังเพื่อนๆ พี่น้อง ทั้งที่ส่งมาและไม่ได้ส่งมา อีกหลายๆ คน การให้พรจึงเสมือนเป็นการให้กำลังใจและบอกให้กันและกันรู้ว่ายังคงระลึกถึงกันอยู่เสมอ
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่การเจริญสติของใครหลายคนติดอยู่กับอารมณ์คือหลงไปแช่อยู่กับอารมณ์นานจึงทำให้เกิดการเผลอยึดมั่นในอารมณ์นั้น กลายเป็นติดหลุม เผลอลงไปแช่ จะรู้สึกมัวๆ หรือเผลอไปแทรกแซง จนยากยิ่งนักที่จะรู้สึกตัวทัน ทั้งนี้ครูบาอาจารย์ท่านแนะไว้ว่าอาจเป็นเพราะจิตยังไม่ถึงฐานหรือจิตยังไม่ตั้งมั่น
พันธกุมภา
  ในการภาวนาบ่อยครั้งนักที่ผมมักจะได้ยินคนอื่นๆ มาเล่าให้ฟังทำนองว่า สถานที่นี้ไม่ดีเลย ไม่เหมาะที่จะภาวนาเลย เสียงก็ดัง คนก็เยอะ ไม่มีที่ ไม่มีทางเดินจงกรมหรือนั่งปฏิบัติเลย เพราะมองว่าการที่จะภาวนาได้นั้นจะต้องไปในสถานที่ที่มีรูปแบบ เช่น มีทางให้เดินจงกรม มีเบาะให้นั่งภาวนา เป็นต้น
พันธกุมภา
ปลายเดือนตุลาคม 2552 นี้ ผมได้มีโอกาสไปภาวนากับพี่ๆ ญาติธรรมเชียงใหม่ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพวกเราไปกัน 4 คน ได้แก่ พี่เอ้ พี่ยา พี่นา และผม ซึ่งผมรู้จักพี่ๆ ผ่านทางการสนทนาในอินเตอร์เน็ตและทุกๆ คนก็ภาวนาในแนวดูจิตเหมือนๆ กัน
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่รู้สึกตัว และอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นภายในใจ มันยิ่งทำให้เห็นว่าเราสามารถตามรู้ ตามดูสภาวะต่างๆ ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านบวก หรืออารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นภายในใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีหน้าที่เหมือนกันคือ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถควบคุมหรือบังคับบัญชาได้
พันธกุมภา
ในแต่ละวันชีวิตคนเราก็มีเวลา 24 ชั่วโมง เหมือนกัน ไม่มีใครมีเวลามากหรือน้อยไปกว่ากัน ทว่าอยู่ที่ว่าใครจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองมากน้อยเพียงใด ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และอื่นๆ อีกมายมาย ซึ่งการจัดระดับความสำคัญของภารกิจระหว่างวันแต่ลัอย่างนื้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้วันแต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณประโยชน์
พันธกุมภา
โดยปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ เป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหวตัวเองไปๆ มาๆ ดังนั้นการเจริญสติด้วยการรู้สึกที่กายและใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมานี้ จึงเป็นการภาวนาที่ทำให้ผมถนัดและสามารถรู้สึกตัวได้บ่อยที่สุด