ช่วงหลังๆ นี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับญาติธรรมกัลยาณมิตรหลายๆ คน ซึ่งแต่ละคนก็เจอสภาวะจิตที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการภาวนาที่แตกต่างกัน ตามจริต ตามเหตุ ปัจจัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนเจอกับสภาวะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่มากมายคละกันไป
กัลยาณมิตรที่ร่วมสนทนากันนี้มีอยู่ในหลายวัย หลากอาชีพ และมีความสนใจในการภาวนาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัว ปัญหากับที่ทำงาน ปัญหากับการเรียน และก็ล้วนแต่มองเห็นว่าการภาวนาโดยการเจริญสติรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวันนี้จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจความทุกข์และพ้นจากความทุกข์
หลายคนเริ่มต้นภาวนา โดยการตามรู้กายและตามรู้ใจ คือ รู้ถึงกายที่เคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน และ รู้ถึงสภาวะใจในแต่ละขณะ ไม่ว่าจะเป็นความอยาก ความโกรธ และความหลง ทุกๆ คนพยายามที่จะตามรู้กับสภาวะต่างๆ ให้ได้ เพื่อให้เกิดภาวะ "รู้สึกตัว" ให้มีสติระลึกรู้ในกายและใจ
สิ่งที่หลายคนภาวนานั้น เป็นสิ่งที่ดี แต่มีเรื่องที่ต้องย้ำในที่นี้ว่า การภาวนาแล้วในท้ายที่สุด เราไม่ได้ภาวนาเพื่อเอาดี หรือเอาร้าย ไม่ได้ภาวนาเพื่อหนีทุกข์ ไม่ได้ภาวนาเพื่อบังคับใจตัวเอง แต่เราภาวนาเพื่อ "ไม่เอาอะไร" นอกจาก ความจริง ของกายและใจ ณ ปัจจุบันขณะ
แม้ว่าสภาวะพ้นทุกข์คือที่สุดแห่งธรรม ที่สุดแห่งมรรค เป็นสภาวะที่หลายๆ คนปรารถนา แต่สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราเข้าใจได้คือ ก่อนที่เราจะพ้นทุกข์ เราอาจจะต้องเข้าใจความทุกข์ รู้ในความทุกข์ตามความเป็นจริง ไม่ปรุงแต่ง ผลักไส หลีกหนี หรือบังคับให้เอาแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว
มีเรื่องที่น่ามหัศจรรย์ในการภาวนานั้นคือ การรู้ทุกข์ ไม่ว่าที่กายหรือใจ เมื่อเราดูตามความเป็นจริงแล้ว ทุกข์ที่เกิดขึ้น กับกายและใจของเราก็นั้นจะคลายลง จากเดิมที่เคยมีความอยากมากก็จะลดลง จากเดิมที่เคยมีความโกรธมากก็จะลดลง จากเดิมที่เคยมีความหลงมากก็จะลดลง นั้นเพราะเกิดจากการที่จิตจดจำสภาวะต่างๆ ได้ จนนำไปสู่การละ เหตุ ปัจจัยอันจะนำความทุกข์มายึดมั่นถือมั่น
หลายคนที่ภาวนามักจะเครียด เพราะตั้งใจ จดจ่อ ตั้งท่า จะรู้สภาวะให้ได้ วันนี้จะต้องมีสติ จะไม่เผลอ ไม่เพ่ง พอเอาเข้าจริงแล้ว ก็ไม่เห็นอะไรเลย นอกจากความตึง ความเครียด แถมยังหดหู่ใจและโทษตัวเองอีก ทำไมวันนี้ภาวนาไม่ดีเลย หรือบางกรณีก็มีการเตรียมตัวเลย เมื่อเกิดความอยาก ความโกรธ ความหลง ขึ้นมาก็จะพยายามทำสมาธิเพื่อให้สภาวะต่างๆ เหล่านี้หายไป จะเอาความสุขมาเป็นที่ตั้ง เพราะกลัวจะเป็นคนไม่ดี จนเผลอหลงทำไปตามกิเลส
สิ่งที่ผมทำกับตัวเองก็คือ "ไม่ทำอะไรเลย" เพราะยิ่งเราเผชิญกับความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็น ความอยาก ความโกรธ ความหลง สิ่งที่เราควรวางใจนั้นคือ "ดู" ให้เห็นสภาวะเหล่านี้ตามความเป็นจริง เพราะเมื่อเรารู้สึกตัวเมื่อไหร่ โดยการตามรู้จนเห็นแล้ว สภาวะเหล่านี้จะคลายเบาบางลง และดับไปในที่สุด (ไม่ช้าก็เร็ว) ซึ่งหากยังไม่ดับเราก็รู้ว่าสภาวะเหล่านั้นยังคงตั้งอยู่ หากดับไปแล้วก็รู้ว่าดับ
เพราะเมื่อเกิดอกุศลจิตขึ้นมาแล้วเรารู้สึกตัวจิตดวงใหม่ก็เกิดขึ้นมา เป็นสภาวะตื่นรู้ หรือเมื่อเกิดกุศลจิตขึ้นมาแล้วเรารู้สึกตัวจิตดวงใหม่ก็เกิดขึ้นมา ที่เป็นแบบนี้เพราะจิตของเรามีหน้าที่แปรเปลี่ยนสภาพไปเรื่อยๆ เราไม่สามารถจะบังคับจิตใจของเราได้หรอกครับ เพราะจิตเรานี้เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง และไม่สามารถบังคับควบคุมได้
สิ่งเดียวที่เราจะทำได้คือ "เห็นทุกๆ อย่างตามความเป็นจริง" และ "รู้ลงปัจจุบัน" เพียงเท่านี้ ก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม ไม่ต้องแทรกแซง บังคับจิตใจ เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง หากใครที่อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้ว อย่าเครียดกับการภาวนานะครับ ให้รู้ซื่อๆ แบบสบายๆ ค่อยๆ ไป หลงบ้าง เผลอบ้าง รู้บ้าง ตื่นบ้าง ก็ไม่ว่ากัน ขอแค่รู้ลงปัจจุบันด้วยใจที่เป็นกลางก็พอแล้ว ^^