Skip to main content

พันธกุมภา


ถึง มีนา

 

ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก

 

แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน

ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน, ในตอนที่ผมเพิ่งรู้เรื่องการอาพาธของหลวงปู่ จาก "พี่อุ๊" พี่สาวผู้เป็นญาติธรรมที่แสนดี ได้โทรศัพท์มาบอกกับผมว่า หลวงปู่ไม่สบายและกำลังจะเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬา

 

"หลวงปู่เป็นอะไรครับ" ผมถามด้วยความตกใจ

พี่อุ๊ ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "หลวงปู่เป็นมะเร็งตับ ไม่รู้ระยะที่ไหน แต่ท่านฉันอาหารไม่ได้แล้ว ยังไงเราไปเยี่ยมทันกันไหม เพราะท่านจะมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ ที่โรงพยาบาลจุฬา"

 

ผมตอบตกลง และในใจรู้สึกถึงความเศร้าที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น ผมทำอะไรไม่ถูก พยายามรู้สึกตัว และตั้งสติ ก่อนที่จะติดต่อไปยังโรงพยาบาลจุฬา เพื่อถามนัดหมายเกี่ยวกับการเข้ารักษาอาการของหลวงปู่ หรือ "พระอาจารย์วรเทพ ฉนฺทพหุโล"

 

เมื่อติดต่อโรงพยาบาลจุฬา ได้แล้ว และรับรู้ การเดินทางเข้ารักษาตัวของหลวงปู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมติดต่อทางหลวงปู่ไมได้ จึงเลือกติดต่อโดยตรงกับโรงพยาบาลจุฬาเลย และเมื่อทราบแล้ว ผมจึงได้ติดต่อกลับไปหาพี่อุ๊ เพื่อเดินทางไปเยี่ยมหลวงปู่

 

เมื่อไปถึง เราพบหลวงปู่กับหลวงพี่ตุ้ม หรือ "พระอาจารย์ สันติพงศ์ เขมปญฺโญ" หลวงปู่นอนพักอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดผอมลงมากกว่าเดิม ปากซีดจาง หลวงปู่ยิ้มและทักทายเราสองคนด้วยความเอ็นดู หลวงพี่ตุ้ม ยืนอยู่ปลายเตียงนอน และร่วมทักทายเราสองคนด้วยเช่นกัน

 

ผมสอบถามอาการป่วยของหลวงปู่ ท่านเล่าให้ฟังว่าอาการป่วยด้วยมะเร็งตับนี้เกิดขึ้นนานมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน และก็ค่อยๆ เบาลง และหลังจากที่ท่านได้ไปที่สวนแสงอรุณ ท่านก็เกิดอาการกินอะไรไม่ได้ และอาหารดูจะหวานๆ ในตอนนั้นหลวงพี่ตุ้มได้พาไปตรวจและภายหลังทราบว่าเกิดจากมะเร็งที่ตับออกอาการ

 

หลวงปู่เล่าด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา แวบตาของท่านมีเมตตาต่อผมมาก ส่วนผมนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ท่าน พี่อุ๊ ยืนอยู่ถัดไป หลวงปู่บอกว่าท่านคิดไว้เสมอว่าวันหนึ่งจะต้องเกิดอาการนี้ขึ้น เพื่อเมื่อก่อนที่ท่านจะบวช ท่านก็เคยดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และรับประทานอาหารที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไหร่นัก ท่านยังคิดอยู่ว่าจะเป็นอะไรก่อน จะเป็นที่ตับหรือที่ปอด

 

"หลวงปู่คงจะอยู่กับตัวนี้ เราเคยรับรู้มาแล้วว่าเป็นอย่างไร อาการที่เราเป็น จิตเราบันทึกได้ มีความจำ มันอยู่ในความจำ แต่ถ้าให้ยา อาการคงแรง ไม่รู้จะทนได้ไหม เพราะจิตเรายังไม่เคยรับรู้อารมณ์นั้น แต่ยังไงก็จะพยายามดู ต้องอยู่กับเขาให้ได้ กายป่วยแต่ใจเราไม่ป่วยด้วยอยู่แล้ว" หลวงปู่เล่าด้วยรอยยิ้มแล้ว ทำให้ผมสัมผัสถึงธรรมที่ท่านถ่ายทอด

 

ขณะที่ผมฟังและสนทนากับท่าน ผมไม่กล้าที่จะร้องไห้ให้ท่านรู้ว่าผมเสียใจเพียงใด ในใจมีแต่ความกลัว กลัวหลวงปู่จะมรณภาพ และท่านเองก็ดูเหมือนจะเลือกที่จะอยู่กับมะเร็งและไม่ขอฉีดคีโม ผมน้ำตาเอ่อนองเล็กน้อย พี่อุ๊ ปลอบผมโดยลูบที่ไหล่เบาๆ ....

 

ในช่วงที่สนทนากับหลวงปู่ หลวงพี่ตุ้มท่านก็ได้ร่วมพูดคุยกับเราด้วย ท่านแนะนำเรื่องการปฏิบัติธรรม สอนให้เรา "ดูจิต" เหมือนเรา "แอบมอง" คนที่เราชอบ คือมองเขาแบบไม่ให้เขารู้ตัว ไม่งั้นเขาจะอาย เหมือนกับการดูจิตที่ค่อยๆ ดู ไม่จงใจไปเพ่ง แต่ให้รู้ไปทีละนิดๆ สะสม สภาวะไปเรื่อยๆ และจิตจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่จิตของเรา

 

ผมและพี่อุ๊รับฟังด้วยความตั้งใจ และเราคุยกันว่า คืนนี้จะให้ผมเฝ้าดูแลหลวงปู่ แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องสุขภาพของผมที่ต้องรับการตรวจไตและข้อหัวเข่า ทำให้ไม่สามารถอยู่ดูแลท่านได้ จนสุดท้ายต้องขอลาท่าน และกลับไปทำภารกิจของตัวเอง....ก่อนกลับ ผมเอื้อมมือไปจับกับมือของหลวงปู่ เรากุมมือกันไว้ แม้ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ได้รับจากท่าน

 

ภายหลังจากกลับออกมาจากโรงพยาบาลจุฬา ผมก็ไม่ได้มีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมท่านอีกเลย เพราะงานที่ต้องจัดการมากมาย และภาระที่ทำไม่เสร็จ แต่ผมก็ได้บอกกับพี่อุ๊ไว้ว่า ปลายปีนี้ ผมจะไปหาหลวงปู่ เพราะตอนที่คุยกับหลวงปู่ ผมได้บอกท่านแล้วว่าจะไปหาตอนปลายปี

 

ผมจำได้ว่าเมื่อครั้งที่เดินทางไปวัดป่าสุคะโตตอนแรกนั้น หลวงปู่ได้รับผมไว้สอนปฏิบัติ น้ำเสียงฉะฉานของท่าน ความอ่อนโยนและเมตตาที่ได้รับจากท่านทำให้ผมรู้สึกดีใจที่ได้พบครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบท่านหนึ่ง และ "ดงไผ่" คือพื้นที่ฝึกตนอันเปี่ยมด้วยความสงบ สัปปายะ อย่างยิ่ง

 

แม้ว่าตอนแรกผมจะคิดว่าหลวงปู่คือ หลวงพ่อไพศาล วิสาโล แต่เมื่อผมได้รู้ว่าท่านไม่ใช่ ผมก็ไม่ได้เสียใจ แต่กลับดีใจมากกว่าที่ได้พบกับท่าน และท่านยังเมตตาพาผมและพี่ๆ บางท่านไปพบหลวงพ่อไพศาล ที่ "ภูหลง" หรือวัดป่ามหาวัน ซึ่งห่างจากวัดป่าสุคะโตประมาณ 13 กิโลเมตร

 

ต่อมาเมื่อกลับจากวัดป่าสุคะโตในครานั้น ผมก็ได้ติดต่อ โทรศัพท์นมัสการหลวงปู่ และส่งการบ้าน รายงานผลของการปฏิบัติให้ท่านรับทราบและสอนอยู่เสมอๆ ผมจำได้ว่าท่านคอยเตือนผมเรื่องการทำงาน เรื่องการแบ่งเวลา การไม่ส่งใจไปไว้กับคนอื่นมากเกินไป และยังเตือนให้รู้สึกกายและมีสติอยู่เสมอๆ

 

ผมดีใจที่ได้พบและเป็นศิษย์คนหนึ่งของท่าน และผมยังได้บอกกับท่านว่าจะไปนมัสการท่านอีกครั้งตอนปลายปี 2551 ประมาณ 5 วัน แต่ท่านก็เสนอว่าน่าจะมาสัก 10 วัน จะได้อะไรมากกว่ามาสั้นๆ และผมก็บอกกับท่านว่าคงต้องดูก่อน แต่คิดว่าจะไปที่วัดอย่างแน่นอน

 

วันคืนผ่านล่วงมา ภายหลังจากที่ผมได้ไปเยี่ยมหลวงปู่ที่โรงพยาบาลจุฬาได้ไม่กี่อาทิตย์ พี่อุ๊ได้โทรมาบอกกับผมว่า "หลวงปู่เสียแล้ว" ท่านได้มรณภาพไปแล้ว ซึ่งทางวัดป่าสุคะโตจะทำพิธีเพียงไม่กี่วัน เพราะหลวงปู่ท่านได้บริจาคร่างกายให้กับทางโรงพยาบาล

 

ผมร้องไห้ ใจสั่น ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ดูแลหลวงปู่มากกว่านี้ ตอนที่ท่านมารักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬา เสียใจที่ตัวเองจัดการอะไรไม่ได้ และต้องสูญเสียครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพและนับถือไปอย่างไม่หวนกลับมาได้...

 

ช่วงขณะที่ผมเสียใจนั้น จิตภายในก็บอกกับผมว่า เราเสียใจไปจะได้อะไร สู้เราตั้งใจพากเพียรปฏิบัติและตั้งมั่นในหนทางธรรม ตามที่หลวงปู่สอนไว้จะดีกว่า และอย่าลืมว่าทุกชีวิตไม่เที่ยง ความตายคือความจริงที่ทุกคนต้องพบเจอไม่ช้าก็เร็ว ฉะนั้นจึงควรใช้เวลาที่มีอยู่ของชีวิตให้ดีที่สุด และควรมุ่งมั่นกับการภาวนา พาใจให้พบกับธรรมอันสูงสุด

 

ผมตระหนักรู้ถึงความจริงในแง่ที่ว่าความตายคือการแปรเปลี่ยนสภาพจากแบบหนึ่งไปสู่สภาวะอีกแบบหนึ่ง ซึ่งแม้หลวงปู่จะละสังขารทิ้งกายเนื้อไว้คืนแก่ผืนโลกและธาตุขันธ์ต่างๆ แต่ผมก็รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าท่านอยู่ข้างๆ และเฝ้าดูผมอยู่เสมอ

 

หลวงปู่ทำให้ผมคิดถึงวัดป่าสุคะโต คิดถึงวันเก่าๆ ที่ผมได้เรียนรู้หลายอย่างจากที่นั้น เรียนรู้ธรรมที่นำพากายและใจนี้ให้เกิดสติปัญญา .....

 

ปลายปีนี้ ผมตัดสินใจไปที่วัดป่าสุคะโต ตามคำมั่นที่ให้ไว้กับหลวงปู่ และผมได้ชวนเพื่อนผองให้ร่วมเดินทางไปด้วยกันในครั้งนี้ด้วย หลายคนยินดีไปร่วมด้วย หลายคนอนุโมทนาในการเดินทาง พี่ๆ หลายคนนัดแนะการเดินทางและเตรียมที่จะไปที่นั่น

 

ณ เวลาปัจจุบันนี้ ความคิดของผมอยู่ในสภาวะที่ว่า ถ้าไปวัดป่าสุคะโต ในวันที่ไม่มีหลวงปู่...จะเป็นอย่างไร....

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ชีวิตนี้แสนสั้นและใจก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช้าสายบ่ายค่ำจิตใจไม่เหมือนเดิม กายก็มีทั้งสุขและทุกข์แปรปรวนไปตามธรรมดา ชีวิตแต่ละวันจึงแสนจะสั้นและดูแล้วไม่เที่ยงเอาเสียเลย จนบางครั้งรู้สึกกลัวว่าจะไม่ได้ทำอะไรก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป จึงต้องใคร่ครวญคิดคำนึงอยู่เสมอๆ ว่าตั้งแต่เกิดมามีอะไรที่ตัวเองยังไม่ได้ทำบ้าง และก็ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตนี้เพื่อลงมือทำสิ่งนั้นอย่างจริงจังไม่ใช่แค่คิดและปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ
พันธกุมภา
เร็วๆ นี้ผมและญาติธรรมกำลังร่วมกันดำเนินการจัดพิมพ์ธรรมใจไดอารี่ ฉบับธรรมทาน ซึ่งพี่ๆ ญาติธรรม ทุกๆ คน ที่ได้มาพบเจอ รู้จัก สนทนาธรรมกัน ได้ช่วยเหลือ เกื้อกูล ให้คำปรึกษา แนะนำต่างๆ มากมาย และเมื่อมีผู้เสนอให้ทำ ธรรมใจไดอารี่ขึ้น
พันธกุมภา
สำหรับผมกับแฟน เราทั้งสองคบกันด้วยเหตุแห่งความศรัทธาที่มีต่อกัน ในวันที่เราเจอกันครั้งแรก แม้ไม่ได้รู้สึกอยากจะได้มาครอบครองแต่ด้วยความที่เธอเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่สนใจในทางธรรม ทั้งการถือศีล และการปฏิบัติ ทำให้เราทั้งสองได้สนทนาและแบ่งปันการภาวนาของกันและกันและก็ได้คุยกันเรื่อยมา
พันธกุมภา
วันธรรมดาวันหนึ่ง ชีวิตประจำวันก็ผ่านไปด้วยเหตุปัจจัยเหมือนเดิม มีประชุม ทำค่าย อบรม เดินทางจัดกิจกรรมตามจังหวัดต่างๆ ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา มีโอกาสได้สนทนากันตามเรื่องราวที่แตกต่างกันไป แต่ข้างในใจกลับเต็มไปด้วยความเฉื่อยชา เบื่อหน่าย ไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก
พันธกุมภา
การได้สังเกตจิตใจของตัวเองตามความเป็นจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่าจิตใจนี้มีธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปมาตามเหตุปัจจัยเงื่อนไขชีวิต แล้วยังมีปกติไหลลงสู่ที่ต่ำ ไปสู่ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ความโกรธ ขุ่นเคือง หงุดหงิด ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขาดสติ เผลอหลงใหลไปกับโลกของความคิดและสิ่งภายนอกใจ
พันธกุมภา
คำอวยพรจากเพื่อนๆ พี่น้อง หลายๆ คน ส่งมายังผมหลายฉบับ ทำให้เกิดความปีติยินดี ที่ได้รับคำอวยพรอย่างยิ่ง และผมก็ได้ตอบกลับไปยังเพื่อนๆ พี่น้อง ทั้งที่ส่งมาและไม่ได้ส่งมา อีกหลายๆ คน การให้พรจึงเสมือนเป็นการให้กำลังใจและบอกให้กันและกันรู้ว่ายังคงระลึกถึงกันอยู่เสมอ
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่การเจริญสติของใครหลายคนติดอยู่กับอารมณ์คือหลงไปแช่อยู่กับอารมณ์นานจึงทำให้เกิดการเผลอยึดมั่นในอารมณ์นั้น กลายเป็นติดหลุม เผลอลงไปแช่ จะรู้สึกมัวๆ หรือเผลอไปแทรกแซง จนยากยิ่งนักที่จะรู้สึกตัวทัน ทั้งนี้ครูบาอาจารย์ท่านแนะไว้ว่าอาจเป็นเพราะจิตยังไม่ถึงฐานหรือจิตยังไม่ตั้งมั่น
พันธกุมภา
  ในการภาวนาบ่อยครั้งนักที่ผมมักจะได้ยินคนอื่นๆ มาเล่าให้ฟังทำนองว่า สถานที่นี้ไม่ดีเลย ไม่เหมาะที่จะภาวนาเลย เสียงก็ดัง คนก็เยอะ ไม่มีที่ ไม่มีทางเดินจงกรมหรือนั่งปฏิบัติเลย เพราะมองว่าการที่จะภาวนาได้นั้นจะต้องไปในสถานที่ที่มีรูปแบบ เช่น มีทางให้เดินจงกรม มีเบาะให้นั่งภาวนา เป็นต้น
พันธกุมภา
ปลายเดือนตุลาคม 2552 นี้ ผมได้มีโอกาสไปภาวนากับพี่ๆ ญาติธรรมเชียงใหม่ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพวกเราไปกัน 4 คน ได้แก่ พี่เอ้ พี่ยา พี่นา และผม ซึ่งผมรู้จักพี่ๆ ผ่านทางการสนทนาในอินเตอร์เน็ตและทุกๆ คนก็ภาวนาในแนวดูจิตเหมือนๆ กัน
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่รู้สึกตัว และอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นภายในใจ มันยิ่งทำให้เห็นว่าเราสามารถตามรู้ ตามดูสภาวะต่างๆ ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านบวก หรืออารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นภายในใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีหน้าที่เหมือนกันคือ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถควบคุมหรือบังคับบัญชาได้
พันธกุมภา
ในแต่ละวันชีวิตคนเราก็มีเวลา 24 ชั่วโมง เหมือนกัน ไม่มีใครมีเวลามากหรือน้อยไปกว่ากัน ทว่าอยู่ที่ว่าใครจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองมากน้อยเพียงใด ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และอื่นๆ อีกมายมาย ซึ่งการจัดระดับความสำคัญของภารกิจระหว่างวันแต่ลัอย่างนื้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้วันแต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณประโยชน์
พันธกุมภา
โดยปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ เป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหวตัวเองไปๆ มาๆ ดังนั้นการเจริญสติด้วยการรู้สึกที่กายและใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมานี้ จึงเป็นการภาวนาที่ทำให้ผมถนัดและสามารถรู้สึกตัวได้บ่อยที่สุด